บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 843 งั้นก็ขวางไว้
กลับมาถึงจวน หยวนชิงหลิงกลับมาแล้ว หยู่เหวินเห้าเล่าเรื่องอาการป่วยหนักของไท่ซ่างหวงให้นางฟัง ยังเล่าถึงท่าทีของไท่ซ่างหวงเองออกมาด้วย หยวนชิงหลิงกังวลพะวงอย่างที่สุด ถือกล่องยาแล้วก็พูดว่าจะเข้าวัง
“ตอนนี้ดึกมากแล้ว ประตูวังปิดแล้ว พรุ่งนี้เช้าข้าไปเป็นเพื่อนเจ้าอีกครั้ง” หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วพร้อมพูดขึ้นว่า “แต่ข้ากลัวเจ้ายิ่งเข้าไม่ได้แล้ว และก็ไม่ได้เจอเสด็จปู่ วันนี้ตอนที่ข้าออกมา ฉางกงกงได้เรียกองครักษ์ลับผีมาเฝ้าไว้ ไม่ให้ข้าเข้าไปแล้ว”
หยวนชิงหลิงก็รู้สึกแปลกใจมาก จึงพูดขึ้นว่า “ทำไมถึงให้ข้าไปรักษาไม่ได้? ข้าไม่ได้เกรงกลัวที่จะต้องรับโทษอะไรเสียหน่อย”
“ไม่รู้ ทุกคนต่างเก็บเป็นความลับ ไม่รู้ว่าคนที่คอยขัดขวางอยู่เบื้องหลังคือใคร”หยู่เหวินเห้าครุ่นคิดอยู่ตั้งนาน ก็คิดไม่ออกบุคคลที่น่าสงสัยสักคน ที่สำคัญก็คือ ใครมีความสามารถนี้ที่สามารถห้ามเสด็จพอได้
“นี่ทำให้คิดยังไงก็ไม่เข้าใจ” หยวนชิงหลิงร้อนใจจนทนไม่ไหวพูดขึ้นว่า “เสด็จพ่อบอกว่าเป็นโรคหอบหืดหรือ? โรคหอบหืด ไม่ถึงขั้นที่จะต้องไอรุนแรงขนาดนั้น แม้แต่เลือดก็ไอออกมาแล้ว”
“จะเป็นโรคเหมือนกับเจ้าหกแบบนั้นหรือเปล่า?”
“วัณโรค?” หยวนชิงหลิงอึ้ง แล้วก็พูดปฏิเสธขึ้นทันทีว่า “นี่….ไม่น่าเป็นไปได้ โรคแบบนี้ข้าเคยรักษามาแล้วสองราย หากเป็นวัณโรค เสด็จพ่อจะต้องตามข้าเข้าวังไปเป็นอันดับแรกแน่”
“ก็ถูก”ยังไงหยู่เหวินเห้าก็ยังรู้สึกไม่ปกติ ถึงแม้ท่าทีของไท่ซ่างหวงจะแข็งกร้าว แต่เขาคิดว่าความแข็งกร้าวของไท่ซ่างหวงนี้ ไม่มีความจำเป็นเลย แต่ต่อให้อาการป่วยรุนแรงอย่างมากจริงๆ ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องห้ามไม่ให้เจ้าหยวนเข้าวังไปรักษานี่
นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“วันนี้เจ้าเจอไท่ซ่างหวง นอกจากไปแล้ว ยังมีอาการอะไรอีก?”
“หอบอย่างรุนแรง ราวกับแทบจะหายใจไม่ออก และเมื่อไอขึ้นมาก็หยุดไม่ได้ ข้าฟังดูแล้วก็เหมือน….. อาการไอนี้หากไม่สามารถบรรเทาลงได้ก็จะขาดใจ”
“สีหน้าล่ะ?”
“ผอมอย่างมาก สีหน้าก็บางครั้งขาวซีด บางครั้งแดง แต่แดงแบบนี้ดูไม่เหมือนปกติ เจ้าว่าจะถูกผิดหรือเปล่า?”หยู่เหวินเห้าคิดขึ้นมาได้ในทันใด เพราะยังไงที่ผ่านมาใช่ว่าจะไม่เคยมีคนเคยลองวางยาพิษไท่ซ่างหวง
หยวนชิงหลิงส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “น่าจะไม่ได้ถูกพิษ ตั้งแต่หลังจากครั้งนั้น ฉางกงกงได้เฝ้าระวังเป็นอย่างดี ของกินของใช้ทุกอย่าง ล้วนผ่านการตรวจก่อนแล้วถึงจะส่งไปยังในพระตำหนักฉินคุน และอาหารภายในตำหนัก ก็ทำเองในครัวเล็ก คนที่คอยรับใช้ก็เป็นคนที่ไว้ใจได้ การถูกพิษความเป็นไปได้น้อยมาก”
หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกว่าความเป็นไปได้มีไม่มาก เพียงแต่เรื่องนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันมาก หัวสมองของเขาสับสนรุ่นวายไปหมดแล้ว จึงคิดเรื่อยเปื่อยอยู่อย่างไม่หยุด และพูดขึ้นว่า “พักผ่อนกันเถอะ พรุ่งนี้เราเข้าวังกันไปตั้งแต่เช้า ไม่ว่ายังไง ก็ต้องบุกเข้าไปในพระตำหนักฉินคุนให้เจ้าได้ดู”
“ดี”หยวนชิงหลิงหยิบกล่องยาออกมา อยากดูว่าข้างในมียาอะไรเปลี่ยนแปลงไหม บางทีอาจจะเห็นความผิดปกติจากในกล่องยานี้
แต่ยาภายในกล่องยาไม่เปลี่ยนแปลง ยังเป็นยาชุดเดิมพวกนั้น ไม่มากไม่น้อย
นางปิดกล่องยาอย่างเป็นกังวล มองดูสีหน้าหยู่เหวินเห้าก็เป็นกังวลเหมือนกัน ในใจของนางมีความรู้สึกหวาดกลัวอย่างบอกไม่ถูก
นางมาถึงในราชวงศ์นี้ เป็นตอนที่คนในจวนอ๋องฉู่ทั้งหมด ต่างก็เกลียดชังนางเห็นนางเป็นศัตรู เป็นไท่ซ่างหวง ที่ให้ความหวังให้นางได้มีชีวิตต่อ ในช่วงเวลาสองปีมานี้ ในใจของนางเห็นไท่ซ่างหวง เป็นเหมือนกับปู่แท้ๆของตนเอง ไม่ตรีจิตตราตรึงอยู่ในใจ
หากเกิดอะไรขึ้นกับไท่ซ่างหวง นางยอมรับไม่ได้
ทั้งสองสามีภรรยานอนลง ต่างก็ลืมตาโต พลิกตัวไปมา ไม่สามารถนอนหลับได้
ในตอนกลางดึก หยู่เหวินเห้าลุกขึ้นมาดื่มน้ำ หยวนชิงหลิงก็ลุกตามมา ภายในห้องจุดตี้หลงไว้ อบอุ่นอย่างมาก แต่น้ำชาเย็นแต่แรกแล้ว ดื่มลงไปแล้วก็รู้สึกเย็นไปทั้งตัว
มือหยวนชิงหลิงที่ถือแก้วสั่นเทาเล็กห้อย พร้อมพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงก็สั่นเทาว่า “เจ้าห้า จะเกิดอะไรขึ้นกับไท่ซ่างหวงไม่ได้”
หยู่เหวินเห้ามองดูหนังด้วยแววตาหนักแน่น นางปล่อยผมยาวสลวย คางแหลมเงยขึ้น ดวงตาฉายแววน่าสงสาร ตั้งแต่อยู่กับน้ำมา เคยเห็นนางโกรธ เคยเห็นนางโมโห เคยเห็นนาเสียใจ กลับไม่เคยเห็นนางมีท่าทีน่าสงสารทำอะไรไม่ถูกแบบนี้
เขาหยิบแก้ววางลง แล้วโอบกอดนางแนบอก พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเจ็บปวดว่า “ไม่เป็นเช่นนั้น ไม่เป็นเช่นนั้น ก่อนหน้านี้หัวใจวายรุนแรงขนาดนี้ เจ้ายังรักษาให้หายได้ นับประสาอะไรกับครั้งนี้? จะต้องรักษาได้อย่างแน่นอน”
ในหัวสมองของหยวนชิงหลิง นึกถึงภาพเรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนที่เพิ่งมาถึงที่นี่ ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่เคยชัดเจนขนาดนี้มาก่อน
นางในตอนนั้น เขาวังไปด้วยอาการบาดเจ็บไปทั้งตัว นางจำไม่ได้แล้วว่าตอนนั้นทำเพื่อ ความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นหมอคนหนึ่ง หรือเพราะอยากที่จะมีชีวิตรอด วางยาสลบเจ้าห้าอย่างไม่สนใจอะไรทั้งนั้น และยังวางยาไท่ซ่างหวง
การตอบโต้ของนาง ที่จริงล้วนอาศัยความรักใคร่และปกป้องของไท่ซ่างหวง จากตำแหน่งที่มั่นคงสู่การพระราชทานไม้ปราบ หยกมรกตสามลูก องครักษ์ลับผี จนต่อมาคลอดพวกขนมหวาน เขาประทานทองคำให้ ล้วนเป็นการพยายามอย่างเต็มที่ ในการดูแลให้นางปลอดภัย จนมีชีวิตอย่างปราศจากความกังวลในชั่วชีวิตนี้
หยวนชิงหลิงยิ่งคิดยิ่งทรมาน ยังไงก็นอนไม่หลับ จึงพูดขึ้นว่า “เราเปลี่ยนเสื้อผ้าออกเดินทางกันเถอะ ไปเฝ้ารออยู่หน้าประตูวัง เมื่อประตูวังเปิดก็เข้าไปทันที”
หยู่เหวินเห้ารู้ว่านางไม่สามารถสงบจิตสงบใจได้ อยู่ในจวนนี้ก็เหมือนดั่งถูกขังไว้ในกรง บวกกับตัวเขาเองก็เป็นกังวลอย่างมาก จึงทำตามที่นางต้องการ
เปลี่ยนผ้าล้างหน้าล้างตาหวีผม หน้าตาก็ไม่ได้แต่งอะไรมาก แล้วก็พาหมันเอ๋อกับสวีอีออกเดินทางไป
สวีอีขับรถม้าอย่างง่วงเหงาหาวนอน ดีที่หมันเอ๋อคอยเรียกเขาอยู่ด้านข้าง เขาค่อยตื่นมีสติขึ้นมา
รุ่งเช้าตอนตีสี่ ที่จริงก็ไม่นับว่าเช้ามาก ประตูวังเปิดตอนตีห้า วันนี้เป็นวันว่าราชการเช้า พวกเขารออยู่ที่หน้าประตูวังสักพัก ก็เห็นรถม้าของพวกขุนนางต่างก็ทยอยมาถึง
เพราะหยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้าต่างก็อยู่ในรถม้า ถึงแม้พวกขุนนางจะลงมาทักทาย กลับต่างก็คิดว่าหยู่เหวินเห้ามาเพื่อร่วมว่าราชการ ยังชื่นชมว่าองค์ชายรัชทายาทขยันหมั่นเพียรในงานการเมือง เช้าขนาดก็มาแล้ว
เมื่อประตูวังเปิดอออก รถม้าก็เข้าไปแล้ว
มาถึงประตูเป่ยหวู่ก็ห้ามรถม้าเข้าแล้ว ทั้งสองลงมาจากรถม้าแล้วก็เดินไป ความรู้สึกเย็นยะเยือก ลึกเข้าสู่ถึงไขกระดูกมาตลอดทาง หยวนชิงหลิงเดินไปด้วยหนาวสั่นไปด้วย
หยู่เหวินเห้าถอดเสื้อคลุมของตนเองให้กับนาง สวมไว้อย่างแน่นหนา นางก็ยังสั่นเทาอยู่อย่างไม่หยุด
ในใจของนางหวาดกลัวมากกว่า ไม่ใช่เพราะความหนาว
ภายในพระตำหนักฉินคุน มีคนเข้ามารายงานแต่แรกแล้วว่า รถม้าจวนอ๋องฉู่มารออยู่นอกประตูวังตั้งแต่ตีสี่แล้ว เมื่อคืนในพระตำหนักฉินคุนโกลาหลวุ่นวายอย่างมาก หมอหลวงต่างไม่ได้ไปไหน ตั้งแต่เที่ยงคืน ไท่ซ่างหวงก็หายใจลำบากมาตลอด ต่อให้ฝังเข็มให้ทานยาก็ไม่ได้ผล วุ่นวายกันจนถึงเมื่อกี้ ค่อยบรรเทาลงบ้าง
ไท่ซ่างหวงนอนอยู่บนเตียง ฟังฉางกงกงรายงาน เขาอ้าปากหายใจ ตอนที่เปลี่ยนลมหายใจนั้น ไม่เป็นธรรมชาติอย่างมาก ต้องกดดันอย่างแรง ไม่สามารถเปลี่ยนลมหายใจออกมาได้
“ห้ามพวกเขาเข้ามา”ไท่ซ่างหวงหลับตา ดวงตาไร้ร่องรอยแววประกาย มืดมนเหมือนดั่งท้องฟ้ายามค่ำคืน
“เกรงว่าจะห้ามไว้ไม่ไหว”ฉางกงกงพูดขึ้นด้วยเสียงเบา
“งั้นเรียกองครักษ์ลับผีขวางไว้”
ฉางกงกงรับคำสั่ง เฝ้าอยู่ด้านข้างอย่างเงียบๆ มองเห็นไท่ซ่างหวงหายใจอย่างลำบาก ก็อดไม่ได้เอื้อมมือไปเช็คน้ำตา เจ็บปวดทรมานใจอย่างมาก
หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงมาถึงพระตำหนักฉินคุน โคมที่แขวนภายในลานดับลงแล้ว มีเพียงตะเกียงที่อยู่หน้าทางเดินเท่านั้นที่ยังเปล่งแสงจางๆ เมื่อถูกลมหนาวพัด แสงและเงาพร่าพรางเลือนลาง ด้วยสายลมที่แผดเสียงนั้น เหมือนดั่งเสียงผีในตำนาน
องครักษ์ลับผีขวางทางพวกเขาไว้ ขวางอยู่ด้านหน้าสุดคือแม่ทัพหลอแม่ทัพใหญ่ขององครักษ์ลับผี