บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 845 นี่เป็นไปไม่ได้
“ไม่” หยู่เหวินเห้าคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วก็พูดปฏิเสธขึ้นทันทีว่า “เสด็จพ่อเคารพกตัญญูต่อเสด็จปู่มาตลอด เขาให้ความสนใจเสด็จปู่มากกว่าใครทั้งหมด จะกระทำเรื่องเนรคุณเพียงเพราะเรื่องเล็กแบบนี้ได้อย่างไร? ใช่ว่าเป็นครั้งแรกที่เสด็จปู่เข้ามายุ่งกับการเมือง การแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาทที่ถือเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ เขาก็ยังเชื่อฟังเสด็จปู่ไม่ใช่หรือ? อีกอย่าง ต่อให้เสด็จพ่อไม่ยอมไล่เจ้าสี่ไป ไท่ซ่างหวงก็ไม่มีทางขัดขืน ทำไมถึงเป็นอย่างนี้?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้านั่งลงก่อน ฟังข้าค่อยๆพูด หลังจากฟังเสร็จแล้ว เจ้าก็จะรู้ว่าทำไมฮ่องเต้ถึงทำเช่นนี้”
หยวนชิงหลิงเช็ดน้ำตาอย่างไม่ใส่ใจ ดึงหยู่เหวินเห้ามานั่งลง หยู่เหวินเห้ายังคงแสดงสีหน้าไม่อยากเชื่อ แต่แววตาที่กระสับกระส่ายเปิดเผยความในใจของเขาแล้ว
“ได้ เจ้าพูดมา ข้าฟังดูก่อนว่าเจ้าพูดอย่างไรแล้วข้าค่อยตอบโต้”น้ำเสียงของหยู่เหวินเห้าแฝงไปด้วยความสั่นเทา
เหลิ่งจิ้งเหยียนพูดขึ้นว่า “ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า ฮ่องเต้เป็นคนกตัญญูจริง ก่อนขึ้นครองราชย์ เป็นองค์ชายรัชทายาทนานหลายปีขนาดนั้น เขามีความจงรักภักดีและความกตัญญูกตเวทีครบถ้วนทั้งสองอย่างต่อไท่ซ่างหวงมาตลอด ไท่ซ่างหวงสละบัลลังก์จนถึงตอนนี้ รวมกันก็แปดปีกว่าแล้ว เรื่องใหญ่มากมายในราชสำนัก มีบางครั้งที่เขาก็จะไปถามความเห็นของไท่ซ่างหวง ปกติไท่ซ่างหวงจะชี้แนะสิ่งที่สำคัญ แทรกแซงน้อยครั้งมาก บ่อยครั้ง แม้แต่ความเห็นก็มีให้ไม่มาก…..”
“งั้นก็ถูกแล้วไม่ใช่หรือ? ในเมื่อเจ้าพูดได้อย่างมีสายสัมพันธ์ขนาดนี้ แล้วจะเป็นความคิดของเสด็จพ่อได้อย่างไร?”ในใจหยู่เหวินเห้าวุ่นวายเป็นอย่างมาก ได้ยินเหลิ่งจิ้งเหยียนพูดเช่นนี้ ก็รีบพูดตัดบทตอบโต้เขาทันที
เหลิ่งจิ้งเหยียนมองดูเขาด้วยสายตาลึกล้ำ พร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ ฮ่องเต้ทำเช่นนี้มาตลอด จนกลายเป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง แต่เมื่ออยู่บนบัลลังก์นานแล้ว ผ่านเรื่องราวมามากมาย เรื่องใหญ่มากมายเขาเองก็มีความคิดเป็นของตนเอง ในตอนนี้ เขาก็ไม่ยินยอมที่จะไปถามไท่ซ่างหวง แต่เมื่อกี้ก็พูดแล้ว นี่เป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง ต่อให้ไม่ยินยอมเขาก็จะไปถาม
ในเวลาเช่นนี้ หากไท่ซ่างหวงยังคงเป็นเหมือนปกติ ไม่แสดงความคิดเห็นอะไรมากมาย เพียงแค่พูดชมว่าเขาทำได้ดี แบบนั้น ในใจของฮ่องแต่ก็จะไม่มีความทุกข์ระทมใจ ในทางกลับกัน เรื่องการแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาท ที่จริงฮ่องเต้กับไท่ซ่างหวงมีความเห็นไม่ตรงกัน แต่ฮ่องเต้ไม่ได้พูดออกมา ไท่ซ่างหวงกลับทำเรื่องหลายอย่างเพื่อเป็นการพูดอ้อมให้ฮ่องเต้ฟัง องค์ชายรัชทายาทเขาเลือกไว้แล้ว นี่ทำให้ในใจของฮ่องเต้เกิดความไม่พอใจ ยังจำก่อนที่จะมีพิธีการแต่งตั้งองค์ชายรัชทายาทไหม ฮ่องเต้เคยหาเรื่องเจ้าอยู่บ่อยครั้งไหม?
ที่จริงก็เนื่องจากสาเหตุนี้ แต่ต่อมาอ๋องจี้ไม่ได้เรื่อง เจ้าเองก็ลงมือกระทำงานบางอย่างได้อย่างจริงจัง ที่สำคัญที่สุดก็คือเจ้ามีลูกเป็นแฝดสาม เรื่องนี้ทำให้ฮ่องเต้ดีใจเป็นอย่างมาก ทำให้มองเห็นเจ้าแตกต่างไป และยินยอมที่จะแต่งตั้งเจ้าเป็นองค์ชายรัชทายาท ฮ่องเต้ไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้น ความสัมพันธ์ที่มีกับไท่ซ่างหวงก็ไม่ได้เปลี่ยนเป็นแข็งกระด้าง ยังเข้ากันได้ดีเหมือนเดิม แต่ที่จริงในใจฮ่องเต้ยังมีความไม่พอใจอยู่
เพราะสุดท้ายสิ่งที่เขาเลือกกับสิ่งที่ไท่ซ่างหวงเลือก เหมือนกันโดยบังเอิญ ทำให้ไท่ซ่างหวงแลดูมีความมองการณ์ไกล ขัดกับความตั้งใจเดิม ที่เขาตั้งใจจะแต่งตั้งอ๋องจี้ให้เป็นองค์ชายรัชทายาท เขามองคนผิดไป ดังนั้นความแน่นอนในท้ายสุด กลายเปลี่ยนเป็นสิ่งที่เขาเคยทำมาทั้งหมดถูกปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ทำให้เขาตระหนักได้อย่างแผ่วเบาว่า เขาฉลาดหลักแหลมได้ไม่เท่าไท่ซ่างหวง สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกหวาดกลัวและถือเป็นภัยคุกคาม เพราะหากไท่ซ่างหวงยังมีชีวิตอยู่ ความจงรักภักดีของขุนนางล้วนเป็นไท่ซ่างหวง และองค์ชายรัชทายาทองค์ปัจจุบัน
ไท่ซ่างหวงก็เป็นคนเลือกเองกับมือ หากวันหนึ่ง ไท่ซ่างหวงจะปลดเขา ก็ถือเป็นเรื่องที่ง่ายดายอย่างมาก เจ้าอย่างเถียงข้า ข้าติดตามอยู่ข้างกายฮ่องเต้มามากกว่า ความคิดอ่านในใจของเขาข้าสามารถเข้าใจ เขาถึงขั้นเคยพูดถามล้อเล่นกับข้าว่า มีความเป็นไปได้เช่นนี้ไหม”
“เสด็จปู่ไม่มีทางทำเช่นนี้แน่”หยู่เหวินเห้าพูดพึมพำขึ้น
เหลิ่งจิ้งเหยียนมองดูเขา พร้อมพูดขึ้นว่า “ไท่ซ่างหวงจะทำเช่นนี้หรือไม่ค่อยว่ากัน แต่ข้าขอถามเจ้าหนึ่งประโยค หากไท่ซ่างหวงต้องการปลดฮ่องเต้ เขาสามารถทำได้ไหม?”
สีหน้าหยู่เหวินเห้ายิ่งอยู่ยิ่งขาวซีด ไท่ซ่างหวงยังคงมีความสามารถนี้จริง เสด็จพ่อขึ้นของราชย์มาแปดปี จำนวนคนกลัวครึ่งในราชสำนัก ยังเป็นขุนนางในรัชสมัยของไท่ซ่างหวง และขุนนางพวกนี้ส่วนใหญ่มีอำนาจยศสูง อย่างเช่นเซียวเหยากงกับโสวฝู่ฉู่ สองคนนี้จงรักภักดีต่อไท่ซ่างหวงด้วยชีวิต
“ยังจำเรื่องที่โสวฝู่ฉู่เสนอฎีกา ต้องการให้หยู่เหวินจุนได้สถานะองค์ชายคืนไหม?”เหลิ่งจิ้งเหยียนถามเขา
หยู่เหวินเห้าหัวเราะอย่างขมขื่น พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าว่าเสด็จพ่อรักใคร่เอ็นดูเจ้าใหญ่ขนาดนี้ โสวฝู่ทำเช่นนี้ ไม่เป็นการสมความปรารถนาของเขาหรือ? หรือว่าเรื่องนี้ก็มีส่วนเกี่ยวข้องหรือ?”
“มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างมาก ฮ่องเต้จะคืนสถานะองค์ชายให้กับหยู่เหวินจุนหรือไม่ ดีที่สุดคือเขาตัดสินใจเอง แล้วก็มอบหมายให้ใครเป็นคนพูดขึ้น ไปกระทำเรื่องนี้ ไม่ใช่โสวฝู่ฉู่คิดเอาเอง ที่สำคัญที่สุดก็คือ โสวฝู่ฉู่กระทำเรื่องนี้ หลังจากเรื่องจบลงแล้วไปสืบความมา ใช้เวลาไปเพียงแค่ครึ่งวัน พูดอีกอย่างก็คือ โสวฝู่ฉู่เพียงแค่สั่งคนไปบอก ทุกคนก็ตอบรับทั้งหมดแล้ว ถึงขั้นล้วนไม่ต้องพูดโน้มน้าว นี่ถือเป็นการมีอำนาจขนาดไหน?
ความอันตรายนี้ไม่ใหญ่หลวงหรือ? นี่ยังไม่นับ ยังไงโสวฝู่ฉู่ก็เป็นขุนนาง เขาจะทำอะไรโสวฝู่ฉู่ไม่ได้หรือ แต่ยังมีไท่ซ่างหวงอยู่ ขอเพียงไท่ซ่างหวงมีพระราชโองการ เขาจะทำอย่างไรได้? มองดูสถานการณ์ทั้งหมดจากมุมมองของฮ่องเต้ คนที่เขาสามารถควบคุมได้ ไท่ซ่างหวงล้วนควบคุมได้ทั้งหมด ส่วนคนที่ไท่ซ่างหวสามารถควบคุมได้ เขาไม่สามารถควบคุมได้ นี่เท่ากับว่าอำนาจยังคงอยู่ในมือของไท่ซ่างหวง องค์ชายรัชทายาทไท่ซ่างหวงเป็นคนเลือกเอง นี่เป็นกำลังที่แข็งแกร่งอย่างมาก และในเวลาเช่นนี้เจ้ากลับสั่งคนปล่อยข่าวรือเรื่องอ๋องอานทำร้ายลู่หยวนจนบาดเจ็บ เป็นการทำให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าเจ้าจะบีบบังคับไล่อ๋องอานไป เพราะเมื่อข่าวนี้ถูกพูดออกไป ก็มีขุนนางยื่นฎีกาจะไล่อ๋องอานไปจากเมืองหลวงทันที แม้แต่ไท่ซ่างหวงก็เห็นด้วย นี่จึงช่วยไม่ได้ที่จะทำให้เขาเข้าใจผิดคิดว่าพวกเจ้าแอบร่วมมือกัน เพื่อบีบบังคับไล่อ๋องอาน ที่มีความเสี่ยงในการแย่งชิงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทคนนี้
พูดง่ายๆก็คือ เขาทำเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้ายึดวัง เขาเป็นองค์ชายรัชทายาทมาตั้งนานหลายปีขนาดนี้ เข้าใจความรู้สึกขององค์ชายรัชทายาทเป็นอย่างดี ดังนั้น เขาจึงพูดออกมาอย่างโหดร้ายว่า หากพระชายารัชทายาทเข้าวังไปรักษา จะส่งผลกระทบต่อองค์ชายรัชทายาท
คำพูดนี้พูดอย่างชัดเจนขนาดนี้ ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน เจ้าคอยดู ต่อไปเขาจะต้องหาเหตุผลเพื่อช่วยอ๋องอาน ให้เป็นคนถ่วงสมดุลกับเจ้า เขาจะไม่ปลดเจ้าจากการเป็นองค์ชายรัชทายาท เพราะเขาก็เห็นด้วยจากใจจริงว่า เจ้าเหมาะสมที่จะเป็นองค์ชายรัชทายาท แต่เขาต้องเลือกคนเลื่อนตำแหน่งให้เร็วเพื่อทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น เพื่อใช้เป็นการตรวจสอบและถ่วงดุลกันกับเจ้า อย่างน้อย สิบปีในอนาคตนี้ เขาจะต้องป้องกันเจ้า เขาจะให้ความหวังอ๋องอานอย่างตั้งใจ ให้อ๋องอานรู้สึกว่าตนเองยังมีโอกาส”
หยู่เหวินเห้าฟังแล้ว ท่าทีนิ่งทื่อ ไม่พูดไม่จาเนิ่นนาน
ในใจหยวนชิงหลิงก็เศร้าวิเวกวังเวง ที่เรียกว่าความกตัญญูกตเวทีต่อพ่อ ความสามัคคีในครอบครัว กลับกลายเป็นไม่มีอะไรมากไปกว่าความสำเร็จร่วมกัน เมื่อมีอำนาจและผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง ภาพลวงตาของความสามัคคีก็จะถูกฉีกขาดอย่างรวดเร็ว
แสงสุดท้ายในดวงตาของหยู่เหวินเห้า ล้วนหืดหายไปหมด มองดูเหลิ่งจิ้งเหยียน พร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไมเจ้าถึงได้รู้ชัดเจนขนาดนั้น?”
“ฮ่องเต้ไม่ได้ปิดบังข้า สิ่งที่เขาทำ ต้องมีคนเห็นด้วย ต่อให้เป็นเพียงภายนอก เขาก็ต้องการที่จะได้ยินถึงเสียงที่เห็นด้วย”
“และเจ้าก็ไม่ได้พูดกล่อมเขา”น้ำเสียงหยู่เหวินเห้าเยือกเย็น
เหลิ่งจิ้งเหยียนหัวเราะขึ้นมา หัวเราะอย่างโศกเศร้า พร้อมพูดขึ้นว่า “พูดกล่อม? ข้าไม่เพียงพูดกล่อมไม่ได้ หากเมื่อไท่ซ่างหวงสิ้นพระชนม์แล้ว ศีรษะของข้านี้ ยังไม่รู้ว่าจะไปตามหาที่ไหน เมื่อฮ่องเต้ตัดสินใจพูดเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟัง ชีวิตของข้านี้ก็ไม่ใช่ของข้าแล้ว”
หยู่เหวินเห้าตกตะลึงขึ้นมาอย่างกะทันหัน