บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 848 ทูลขอปลดตนเอง
เหลิ่งจิ้งเหยียนทูลลา เพิ่งหันตัวไป ก็หันกลับมาถามขึ้นอีกว่า “ฮ่องเต้ ทางด้านอ๋องอาน ต้องหาคนไปชี้แนะไหม?”
ฮ่องเต้หมิงหยวนได้ยินเช่นนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะเยาะ พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่จำเป็น เจาะหาช่องทางเป็นนิสัยของเขา ขอเพียงมีโอกาส เขาไม่มีทางปล่อยไปเด็ดขาด เจ้าสองคนไปชี้แนะ กลับจะเป็นการทำให้เขาระมัดระวังตัว คนเป็นพ่อย่อมรู้จักลูกตัวเองดี เอาแบบนี้แหละ”
เหลิ่งจิ้งเหยียนโค้งคำนับทูลลา แล้วก็จากไป
ไท่ซ่างหวงถูกส่งไปยังพระที่นั่ง ในขณะที่ป่วยหนักขนาดนี้ กู้ซือส่งไปพร้อมกับขบวนใหญ่ หลังจากส่งเสร็จแล้ว ก็รีบเดินทางไปยังจวนอ๋องฉู่ทันที แล้วก็เล่าเรื่องนี้ให้หยู่เหวินเห้าฟัง
หยู่เหวินเห้าโกรธอย่างเดือดดาลจริงๆ รีบเข้าวังไปขอเข้าเฝ้าทันที ฮ่องเต้หมิงหยวนกำลังหารืองานอยู่กับเราขุนนาง ปล่อยเขารออยู่ด้านนอก หยู่เหวินเห้ารออยู่ตั้งนานก็ไม่ได้เจอฮ่องเต้หมิงหยวน สุดท้ายก็จากไปอย่างโมโหสุดขีด
กลับมาถึงจวน เหลิ่งจิ้งเหยียนได้รออยู่ในจวนแล้ว หยู่เหวินเห้าตากลมหนาวอยู่กว่าครึ่งวัน หัวสมองมีสติขึ้นมามากแล้ว บีบบังคับพาเหลิ่งจิ้งเหยียนไปยังห้องหนังสือ พร้อมพูดขึ้นว่า “คำพูดที่เจ้าพูดพวกนั้น ข้าไม่เชื่อ เจ้ากับเสด็จพ่อปิดบังเรื่องอะไรไว้กันแน่”
เหลิ่งจิ้งเหยียนแลดูเหมือนจะคาดเดารู้ว่าเขาจะพูดเช่นนี้ จึงพูดขึ้นอย่างจนใจว่า “เจ้าจะเชื่อก็ดี ไม่เชื่อก็ช่าง นี่เป็นความหมายของฮ่องเต้จริง ที่มาในครั้งนี้ ข้าจะพูดกับเจ้าให้ชัดเจนอีกครั้ง ตอนนี้เป็นไท่ซ่างหวง ต่อไปจะเป็นใครข้าไม่รู้ ดีที่สุดเจ้ารีบลาออกจากราชการเถอะ วันนี้ฮ่องเต้พูดขึ้นมาว่า พระชายารัชทายาทมักจะออกไปแต่เช้าแล้วก็กลับค่ำ ไม่ดูแลเลี้ยงซื่อจื่อให้ดี ส่งเข้าวังมาให้ฮองเฮากับหวงกุ้ยเฟยร่วมกันเลี้ยงดูจะดีกว่า”
หยู่เหวินเห้าหรี่ตาลง พร้อมพูดขึ้นว่า “เหลิ่งจิ้งเหยียน เจ้าไม่ได้พูดความจริง นี่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ค่ะไม่เชื่อว่าเสด็จพ่อจะเป็นคนเช่นนี้ พวกเจ้าวางแผนอะไรบ้างกันแน่?”
เหลิ่งจิ้งเหยียนมองดูเขา โบกมือพร้อมพูดขึ้นว่า “สิ่งที่ควรพูดก็พูดออกมาหมดแล้ว”
เหลิ่งจิ้งเหยียนมาถึงก็พูดจาเหมือนจะใช่แต่ความจริงไม่ใช่เช่นนี้ จะไม่ทำให้หยู่เหวินเห้าบ้าคลั่งได้อย่างไร?
สองสามวันนี้ เขาสั่งคนไปสืบอยู่ตลอด แต่ก็สืบไม่ได้ความอะไรเลย ภายในวังเหมือนซ่อนความลับที่น่าตกใจอะไรไว้ แล้วก็เหมือนตั้งใจที่จะปิดบังไม่ให้เขารู้เรื่อง
แล้วฉางกงกงก็ส่งคนเอาจดหมายมาให้ บอกว่าอาการป่วยของไท่ซ่างหวงยิ่งทรุดหนักแล้ว ด้วยความที่หยู่เหวินเห้าโกรธจัด จึงบุกเข้าไปในพระที่นั่ง แต่ยังไม่ทันได้เข้าไปข้างใน ก็ถูกองครักษ์ลับผีไล่ตะเพิดออกมาแล้ว
หยู่เหวินเห้าเข้าวังไปขอเข้าเฝ้าอีกครั้งด้วยความโกรธจัด แล้วก็ยังคงถูกขัดขวางไว้ เขาก็ไม่สามารถที่จะทนรอได้อีกต่อไปแล้ว ดังนั้นจึงได้ปรึกษากับหยวนชิงหลิงว่า จะทูลขอปลดตนเองและลาออกจากราชการในที่ว่าราชการเช้า
นี่เป็นการไม่น่าไว้วางใจอย่างมาก ตำแหน่งราชการไม่สามารถรักษาไว้ได้ไม่พอ ยังจะส่งผลกระทบต่อหยวนชิงหลิงกับลูกต้องเดือดร้อนไปด้วย ดังนั้นเขาจึงต้องปรึกษากับหยวนชิงหลิง
ทางด้านหยวนชิงหลิง ร้อนใจเหมือนดั่งถูกไฟแผดเผาอย่างไม่อาจบรรยาย ยังจะสนใจผลกระทบที่จะทำให้เดือดร้อนหรือไม่ที่ไหนรีบพูดเห็นด้วยกับความคิดเห็นของเขาทันทีว่า “ยังไม่ต้องสนใจ ให้พวกเราได้จากคนแล้วค่อยว่ากัน”
“ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พรุ่งนี้ข้าจะทูลขอปลดตนเอง แล้วก็ลาออกจากตำแหน่งเจ้ากรมการพระนคร”
หลังจากตัดสินใจแล้ว หยู่เหวินเห้ากลับรู้สึกโล่งไปทั้งตัว หลายวันนี้ทานไม่ลง นอนไม่หลับ ทั้งร่างกายและจิตใจจมปลักอยู่กับอารมณ์ความรู้สึก เดี๋ยวก็พูดปลอบให้ตนเองเชื่อเสด็จพ่อ เดี๋ยวก็ตำหนิเขาอยู่ในใจอย่างเจ็บปวด ความรู้สึกแบบนี้ช่างทรมานยิ่งนัก
ทานอาหารค่ำเสร็จ เขากับหยวนชิงหลิงเดินเล่นอยู่ในลาน อากาศหนาวแบบนี้ที่จริงไม่ควรที่จะออกมา แต่อารมณ์กระสับกระส่ายอย่างมาก ไม่ออกมาผ่อนคลาย ก็ไม่สามารถที่จะนั่งตรงได้อย่างสบายใจ
หยวนชิงหลิงอยู่ในจวนอ๋องฉู่นี้ มองเห็นดอกไม้ผลิบานแล้วก็ร่วงหล่นสามรอบแล้ว ช่วงครึ่งปีมานี้ค่อนข้างงานยุ่ง มีเวลาอยู่ในจวนน้อยมาก ไม่มีเวลานั่งลงชมวิวงดงามเต็มสวนนี้อย่างสงบ
ทั้งสองสามีภรรยาเดินจับมือไปด้วยกัน ลมหยุดกะทันหัน ตะเกียงไฟในลานเพิ่งถูกจุด ส่องสว่างต้นไม้ในสวน ทั้งสองคนเดินอย่างเชื่องช้าอยู่บนถนนกรวดก้อนเล็ก มีความรู้สึกเหมือนเมื่อตอนเพิ่งมีความรักต่อกัน
ตอนที่พวกเขาแต่งงานกัน นางไม่ได้ผ่านประสบการณ์นั้น ถึงแม้จะมีภาพความทรงจำเดิมของคนเดิม แต่ยังไงก็เป็นความทรงจำของคนอื่น ต่อมาที่รักกัน อยู่ด้วยกัน มีลูก ชีวิตหลังแต่งงานจึงเกิดขึ้นก่อนอย่างรวดเร็ว น้อยครั้งมากที่จะหยุดแล้วก็พูดคุยกันถึงเรื่องราวระหว่างทั้งสองคน
ยืนอยู่ข้างริมทะเลสาบ ผิวน้ำทะเลสาบกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่มีตะเกียงแขวนอยู่ที่นี่แล้ว พื้นผิวทะเลสาบส่องแสงระยิบระยับเล็กน้อย หยู่เหวินเห้าสวมกอดนางไว้แนบอก หอมแก้มนางที่เย็นยะเยือกเพราะถูกลมพัด พร้อมพูดขึ้นว่า “หยวน เจ้าว่าหากต่อไปพวกเราจะต้องไปอยู่บ้าน เหมือนอย่างที่แม่นางเหยาอยู่ก่อนหน้านี้แบบนั้น ทานอาหารที่ธรรมดาที่สุด ไม่มีขนมหวานที่งดงาม อาการเลิศหรู รอยกายไม่มีคนใช้ห้อมล้อม เจ้ายังอยู่กับข้าตลอดไปไหม?”
หยวนชิงหลิงฟังประโยคนี้แล้ว ก็หัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ทำไม? เจ้าเห็นว่าตอนนี้พวกเรามีชีวิตอยู่อยากหรูหราหรือ? อาหารเลิศรส พวกเราก็กินตอนปีใหม่มีเทศกาล ไม่ขาดแคลนผ้าไหมผ้าซาติน กว่าครึ่งได้มาจากในวังพระราชทาน เงินทองมุกนิลจินดาไม่เคยต้องซื้อเอง ส่วนบ่าวใช้ ที่จริงข้าไม่จำเป็นต้องมีคนคอยปรนนิบัติรับใช้ เดิมข้าก็ไม่ได้มีชีวิตเหมือนอย่างเจ้าหญิง รักษาผู้ป่วยช่วยชีวิตคน ซักผ้าทำกับข้าว เลี้ยงดูอบรมสั่งสอนลูก ถึงแม้จะวุ่นวาย แต่ความวุ่นวายภายในบ้านแบบนี้ ที่จริงเป็นควันและไฟอย่างหนึ่ง เป็นการดำรงชีวิต”
หยู่เหวินเห้าหัวเราะ ตาคิ้วต่ำลง พร้อมพูดขึ้นว่า “วันอันแสนขมขื่นธรรมดานี้ เจ้ากลับพูดออกมาอย่างน่ารอคอย”
“เจ้าคิดว่าวันเวลาแบบนั้นไม่ดีหรือ?”
หยู่เหวินเห้าคิดสักพัก แล้วก็พูดขึ้นว่า “ไม่รู้ ไม่เคยมีชีวิตแบบนั้น ไม่รู้ว่าดีหรือไม่ ฟังดูแล้วก็น่าดึงดูด แต่ข้ากลัวว่าเป็นการทำให้เจ้ากับลูกต้องลำบาก ตอนนี้ถึงแม้เราก็ประหยัด แต่ก็มีสมบัติไง ประหยัดแล้วมีสมบัติอยู่ถือเป็นคุณธรรม ประหยัดอย่างไม่มีสมบัติ นั่นเพราะไม่มีทางเลือก”
หยวนชิงหลิงเอามือถูกัน กระทืบเท้า รู้สึกค่อนข้างหนาวจึงซบแนบอกหยู่เหวินเห้า พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าห้า ข้ายังไม่เคยเล่าเรื่องชีวิตของข้าในยุคสมัยของข้าให้เจ้าฟังมาตลอด เจ้ากลัวที่จะได้ยินมาตลอด แต่ตอนนี้เจ้ายินยอมฟังไหม?”
ท่าทีหยู่เหวินเห้าค่อนข้างไม่เป็นธรรมชาติ ทุกครั้งที่พูดถึงเรื่องนี้ ในใจของเขามักเกิดความหวาดกลัว กลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก จึงพูดขึ้นว่า “เจ้าเคยพูดบ้างแล้ว”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นอย่างเชื่องช้าว่า“ที่เจ้ารู้ เป็นเพียงส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ที่จริงขาอยากที่จะหาคนพูดคุยระบายออกมา โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ ในใจข้าไม่สามารถสงบลงได้ มักจะคิดถึงเรื่องราวในภพก่อน ข้ากับท่านย่าแทบจะไม่พูดคุยกัน ห่างจากครอบครัวดั่งภูเขามากกว่าพันลูกกั้น? ในใจของนางต้องคิดถึง หากพวกเราพูดขึ้นมาก็จะเป็นการทำให้เสียความรู้สึก”
หยู่เหวินเห้าโอบไหล่ของนางไว้ พร้อมพูดขึ้นว่า “ได้ เจ้าอยากพูด งั้นข้าก็ฟัง แต่ตรงนี้หนาวมาก เรากลับไปค่อยเล่า”
“ได้”หยวนชิงหลิงจับมือของเขาไว้ แล้วกลับไปยังตำหนักเซี่ยวเยว่ด้วยกัน
หยวนชิงหลิงเล่าให้เขาฟังเยอะแยะมาก นางเล่าให้เขาฟังว่า เป็นนักเรียนที่ชอบเรียนรู้อย่างที่สุดมาตลอด เมื่อมาถึงชีวิตในสังคม ก็มีคนนับถือในความเป็นแพทยศาสตร์บัณฑิต นางทำวิจัยพัฒนายาลักษณะพิเศษ ตีพิมพ์วิจัยหลายฉบับ
ครั้งนี้หยู่เหวินเห้าไม่ได้พูดว่ายางเป็นคนขายชาหรือคนขายเหล้า ฟังเขาอยู่เงียบๆแบบนั้น มองดูแสงระยิบระยับเป็นประกายภายในดวงตาของนาง
ที่จริงเขาไม่เคยบอกกับนางมาตลอดว่า ในใจของเขาก็นับถือชื่นชมนางอย่างมาก เพราะไม่ว่าโรคอะไรนางก็ล้วนสามารถรักษาได้ ไม่ว่าเรื่องอะไรนางก็สามารถแก้ปัญหาได้ เป็นคนที่ไม่ใจร้อนจนเกินไป ไม่ใจเย็นจนเกินไป ไม่แข็งกร้าวจนดูเย่อหยิ่ง ภายในใจเขา นางเป็นคนที่ไม่มีข้อด้อยเลย