บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 856 ความรุ่งโรจน์ที่เป็นของพวกเขา
ทั้งสองไปถึงห้องครัว แม่นมสี่ยังคงยุ่งอยู่กับการตุ๋นน้ำซุป เห็นทั้งสองคนเดินเข้ามาพร้อมกัน ก็พูดว่า “พวกท่านมาทำอะไร ข้าจะทำเสร็จแล้ว ประเดี๋ยวจะให้คนยกออกไปให้”
“เสด็จปู่อยากจะดื่มเหล้า ให้เขาดื่มสักคำสองคำ ”หยวนชิงหลิงพูดยิ้มๆ
แม่นมสี่ขมวดคิ้วขึ้นมา “ห้ามอย่างเด็ดขาดมิใช่หรือ ทำไมจึงมีเหล้าให้ดื่มได้เล่า”
“เป็นเหล้าที่เซียวเหยากงกับโสวฝู่ฉู่นำมา”หยวนชิงหลิงยักไหล่ “ห้ามดื่มมาเป็นเวลาหลายวันแล้ว วันขึ้นปีใหม่ทั้งทีก็ให้เขาได้ดื่มให้หายอยากเสียหน่อย”
แม่นมสี่ได้ยิน ก็พูดอย่างโมโหว่า “เขามาก็พอแล้ว ทำไมต้องนำเหล้ามาด้วย ไท่ซ่างหวงไม่สามารถดื่มได้ เขาเองก็สามารถดื่มได้หรืออย่างไร พูดตั้งหลายครั้งแล้วก็ไม่ฟัง สุขภาพของเขาก็ไม่ค่อยดีอยู่ด้วย”
หยู่เหวินเห้าคิดไม่ทัน “เซียวเหยากงสุขภาพไม่ดีอย่างนั้นหรือ ข้าเห็นเขาอายุมากแล้วแต่ยังแข็งแรงดี ดีมากๆเลยด้วย”
“แม่นมพูดถึงท่านโสวฝู่”หยวนชิงหลิงยิ้มและตีหยู่เหวินเห้าทีหนึ่ง
หยู่เหวินเห้าออหนึ่งเสียง เพิ่งจะนึกถึงเรื่องของพวกเขาสองคนขึ้นมา พูดว่า “แม่นม ท่านต้องพูดกับเขาดีๆ ต้องดูแลสุขภาพให้ดี ข้าเองก็พบว่าช่วงนี้สุขภาพของเขาแย่ลงไปมาก ความจำก็ไม่ดี”
แม่นมได้ยินก็ตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง “จริงหรือ ความจำไม่ดีแล้วหรือ”
“ไม่เพียงแต่ความจำไม่ดี สมองก็แล่นได้ช้ากว่าเมื่อก่อนมาก ”หยู่เหวินเห้าพูด
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ท่านอย่าเจตนาพูดให้คนอื่นตกใจไปเลย แม่นมตกใจหมดแล้ว”
หยู่เหวินเห้าพูดแก้ตัวว่า “ไม่ได้พูดให้กลัว เป็นเรื่องจริง เมื่อก่อนไม่ว่าจะเรื่องอะไรโสวฝู่ล้วนวางแผนได้เป็นอย่างดี ในใจชัดเจนยิ่งนัก ตอนนี้แม้แต่เสด็จพ่อเขาก็อ่านใจไม่ออกแล้ว”
แม่นมมองหยู่เหวินเห้า สายตาเต็มไปด้วยความกังวล
หยวนชิงหลิงรีบพูดปลอบว่า “แม่นมอย่าไปฟังเขา ใจคนไหนเลยจะมองออกได้ ส่วนเรื่องความจำ อายุมากแล้ว ความจำย่อมต้องถดถอยไปบ้าง ก่อนหน้านี้ท่านเองก็เคยบอกกับข้าไม่ใช่หรือว่าความจำของท่านก็ไม่ค่อยดี ล้วนเป็นเหมือนกันหมด”
เห็นได้ชัดว่าแม่นมมีท่าทีใจหาย ถอนหายใจหนึ่งเฮือก “ใช่ ต่างก็แก่แล้ว แต่ข้ายังคงจดจำเขาตอนอยู่ในวัยหนุ่มเสมอ ”
หยวนชิงหลิงค้อนให้กับหยู่เหวินเห้าแวบหนึ่ง ดูเจ้า ทำไมต้องพูดเหลวไหลด้วย
พวกผู้ชายขวานผ่าซากไม่รู้เรื่องความเสียใจของผู้หญิงที่มีต่อการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลา ได้แต่สนใจที่จะยกน้ำแกงออกไปเท่านั้น
แม่นมให้คนทำกับข้าวที่เหลือให้เสร็จ ให้บ่าวรับใช้ในพระที่นั่งได้กินอาหารดีๆสักมื้อ
นางออกไปพร้อมกับหยวนชิงหลิง เพิ่งจะกลับไปถึงหน้าประตูห้องโถงใหญ่ ก็เห็นแม่นมทั้งสามคนอุ้มเหล่าของว่างเดินเรียงกันออกมาทีละคน
“นอนแล้วหรือ”แม่นมสี่ประหลาดใจมาก “ข้าวยังไม่ทันได้กินก็นอนหลับไปเสียแล้ว กลางคืนคงต้องหิวแน่ๆ”
“เมาเหล้าแล้ว ”แม่นมเอ่ยอย่างระอาใจ
แม่นมสี่นิ่งอึ้งไป อ้อมไปทางด้านหลังเพื่อดูข้าวเหนียวที่แม่นมอุ้มเอาไว้ ใบหน้าถูกย้อมจนกลายเป็นสีแดงชาด เรียกได้ว่าเมาหนักมาก
“หมาป่าหิมะก็เมาด้วย”แม่นมพูดอย่างยิ่งรู้สึกระอาใจ
หยวนชิงหลิงกับแม่นมสี่มองเข้าไปด้านใน เห็นว่าหมาป่าหิมะทั้งสามตัวนอนอยู่กับพื้นจริงๆ ท่าทางเหมือนกัน ลิ้นที่ห้อยออกมานอกปากลู่ลง นอนกรนกันใหญ่
แม่นมสี่รู้สึกโมโหขึ้นมากระทืบเท้าทีหนึ่งแล้วเข้าไป ก้าวเท้าเข้าไปคว้าหมับและบิดใบหูของเซียวเหยากงเอาไว้ “เจ้าตาแก่ไม่รู้จักโต ทำตัวก่อกวนตอนวัยหนุ่ม อายุปูนนี้แล้วก็ยังทำตัวก่อกวน เด็กเล็กแค่นี้สามารถดื่มเหล้าได้หรือ วันๆเอาแต่รู้จักดื่มเหล้า ท่านสุขภาพดี นั่นเพราะท่านไม่ต้องทำอะไรเลย เกียจคร้านไม่ยอมทำงานทำการ ย่อมต้องมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงอยู่แล้ว เอาแต่ทำให้คนที่เขายุ่งเรื่องงานทั้งวัน กินไม่ดีนอนไม่ดีต้องลำบากไปตามกัน ”
“เบาหน่อยเบาหน่อย หลุดแล้วหลุดแล้ว”เซียวเหยากงหดศีรษะลงทันที พูดแก้ตัวว่า “ข้าไม่ได้เป็นคนให้ดื่ม เป็นไท่ซ่างหวงให้ดื่ม เดิมทีให้แค่คำเล็กๆ ใครจะไปรู้ว่าพวกเขาจะดื่มไปเยอะขนาดนี้”
ไท่ซ่างหวงกำลังกินกับข้าว พูดเสียงเรียบเฉยว่า “ข้าไม่เคยให้ดื่ม”
“ท่าน……”เซียวเหยากงสูดอากาศเย็นๆเข้าไปหนึ่งเฮือก แตกคอกันเร็วเหลือเกิน ได้แต่รีบร้องขอชีวิต “ได้ ข้าผิดไปแล้ว ข้าผิดไปแล้ว รีบปล่อยข้า หูจะหลุดแล้ว ฉู่ต้า ฉู่ต้า ขอร้อง รีบขอร้องเร็วเข้า ”
โสวฝู่ฉู่จึงเหลือบตาขึ้นไป ไม่อยากจะร่วมวงด้วย
แม่นมสี่ปล่อยเขา คว้าเหล้าบนโต๊ะขึ้นมา“คืนนี้อนุญาตให้ดื่มแค่น้ำแกง กินกับข้าว ไม่ให้แตะต้องเหล้าแม้แต่หยดเดียว ”
ไม่มีคนคัดค้าน เซียวเหยากงรู้สึกน่าเบื่อมาก ถ้ารู้ตั้งแต่แรกเขาคงอยู่กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับที่บ้าน เขาเอ่ยอย่างจิตใจแห้งเหี่ยวว่า “ไม่นานมานี้ การรวมตัวของพวกเราพี่น้อง ไหนเลยจะเคยขาดเหล้าดีๆ ”
ไม่นานมานี้ เป็นศัพท์ที่คนแก่เขาใช้กัน ตอนที่พูดคำนี้ออกมา หมายความว่าได้พบพานเรื่องราวมามากมายแล้ว
ตาเฒ่าที่อยู่ที่นี่ทั้งสามคน ล้วนเคยเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดของเป่ยถัง แม้ว่าตอนนี้จะกลายเป็นผู้มีอำนาจในราชสำนักที่ผู้คนต่างก็ไม่กล้าเข้าใกล้ แต่วันเวลาที่เป็นของพวกเขา กำลังจะค่อยๆผ่านไปแล้ว
“ไม่สามารถดื่มเหล้าได้แล้ว ต้องดื่มน้ำแกงแทน ช่างทำให้คนรู้สึกตกใจกับวันเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆ ยังจำเหตุการณ์ตอนที่พวกเราติดตามแม่ทัพหู่ไปออกรบครั้งแรกได้หรือไม่ ”เซียวเหยากงคิดถึงวันเวลาเก่าๆ ตอนนั้นจิตใจกระฉับกระเฉงมีชีวิตชีวา หนึ่งหมัดสามารถต่อยวัวให้ตายได้ตัวหนึ่ง
ไท่ซ่างหวงค่อยๆพูดขึ้นว่า “ทำไมจะจำไม่ได้ คืนวันนั้น ข้าไม่เคยนอนหลับเลย ในฝันยังมีแต่เสียงเกือกม้าที่ดังกึกก้องไปหมด”
“ข้าก็เช่นกัน ”โสวฝู่ฉู่เอ่ยขึ้นช้าๆ ในสายตามีแววไหววูบ มองไปทางแม่นมสี่ “ตอนนั้น เสี่ยวสี่รู้ว่าพวกเราจะไปออกรบ จึงได้เย็บถุงเงินให้พวกเราคนละอัน ในถุงเงินยังใส่ยันต์ปลอดภัยที่นางไปขอพรมาไว้ด้วย ”
เซียวเหยากงพูดว่า “นั่นเป็นสงครามที่โหดร้ายมาก ก่อนจะเข้าสู้สนามรบ เดิมทีข้าคิดว่าอาศัยแค่วรยุทธของข้า แค่พลังของข้าไปถึงก็จะสามารถทำลายได้ทุกอย่าง ไหนเลยจะรู้ว่าพอไปถึงสนามรบ เพิ่งจะรู้ว่าที่นั่นแตกต่างจากการประลองยุทธที่ผ่านมาราวฟ้ากับเหว คนกลุ่มหนึ่งกรูกันเข้ามาอย่างฮึกเหิม ไม่สนใจจะคุยเรื่องคุณธรรมของจอมยุทธใดๆทั้งสิ้น ยกดาบขึ้นมาพร้อมฟาดฟันทันที ทั่วทุกสารทิศล้วนมีแต่อาวุธร้ายกาจพุ่งเข้ามา เวลานั้นไม่ว่าจะเป็นกระบวนท่าหรือกลอุบายใดๆก็ใช้ไม่ได้ผล ได้แต่ฆ่าฟันอย่างอัดอั้นตันใจ เพราะหลังจากฆ่าหมดแล้ว อีกฝ่ายก็บอกว่าพวกเราชนะแล้ว เสื้อเกราะของข้ายังมีรอยร้าวหลายแห่ง บนร่างก็มีบาดแผลหลายที่ นอนอยู่บนร่างของศพ หายใจเข้าเฮือกใหญ่ๆ ตอนนั้นในใจคิดว่า ภายหน้าไม่มีสงครามแล้วจะดีแค่ไหน ”
โสวฝู่ฉู่ดื่มน้ำแกงไปคำหนึ่ง รู้สึกในปากจืดชืดไร้รสชาติ เมื่อเทียบกับความน่าตื่นตกใจในความทรงจำแล้วไม่เข้ากันเลยสักนิด“ตอนนั้นข้าคิดว่าข้าคงต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่พอถึงช่วงเวลาคับขันนั้น ชีวิตของตัวเองก็ไม่ได้มองว่าสำคัญนัก คิดว่าถ้าหากไม่ว่าอย่างไรก็ต้องตาย ฆ่าให้มากหน่อยจึงจะคุ้มค่า ก็เป็นเช่นนี้ ติดตามแม่ทัพหู่ฆ่าไปเรื่อยๆ แล้วก็รอดชีวิตมาได้”
ไท่ซ่างหวงที่นั่งเงียบไม่พูดมาตลอด พอได้ยินเรื่องเก่าๆ ก็รู้สึกมีความสนใจขึ้นมา พูดว่า “ตอนนั้นพวกเจ้าสองคนยังถือว่าดีหน่อย เพราะว่าฝึกวรยุทธตั้งแต่เด็ก ข้านั้นเพิ่งเริ่มฝึกยุทธก่อนจะออกรบเพียงแค่หนึ่งปี แล้วยังป่วยหนักเพิ่งจะรักษาหายได้ไม่นาน อ่อนแอมาก เช่นนั้นเอง ยังคงมีชีวิตรอดกลับมา ”
หยวนชิงหลิงกับหยู่เหวินเห้าฟังพวกเขาพูดถึงเรื่องวันวานอย่างเงียบๆ คนแก่ทั้งสามคนนี้ ต่างก็เข้าสู่วัยเจ็ดสิบปีกันแล้ว ความรุ่งโรจน์ในอดีตคงได้แต่เก็บเอาไว้ในความทรงจำ แต่ว่า ครั้งหนึ่งที่เคยเป็นดั่งแสงสว่าง ครั้งหนึ่งที่เคยยิ่งใหญ่ ยังคงถูกจดจำไว้บนศิลาจารึกของเป่ยถัง
หยู่เหวินเห้าเองก็เป็นทหารคนหนึ่ง ฉะนั้นจึงรู้สึกชื่นชมขุนพลเป็นพิเศษ ฟังอย่างหลงใหลยิ่งนัก
ตอนนั้นบรรพบุรุษก่อตั้งประเทศขึ้นมา จนถึงรัชสมัยของฮ่องเต้เซี่ยน ในประเทศค่อยๆร่ำรวยขึ้น ประเทศรอบข้างจึงหวังอยากจะได้ความร่ำรวยของเป่ยถัง หนานเจียงตอนนั้นยังไม่นับว่าเป็นดินแดนของเป่ยถัง เป่ยโม่กับเซียนเปยนั้นเข้ามารุกรานนับครั้งไม่ถ้วน ฉะนั้นจึงเกิดสงครามติดต่อกันหลายปี สงครามใหญ่ก็มีไม่น้อย จนถึงปลายรัชสมัยของฮ่องเต้เซี่ยน ได้ทำสงครามตัดสินความเป็นความตายกับเป่ยโม่ครั้งหนึ่ง หลังจากสงครามครั้งนั้น ทั้งสองประเทศจึงยอมสงบศึก ความสันติสุขเกิดขึ้นต่อเนื่องยาวนานกว่าสิบปี ในสงครามใหญ่ครั้งนั้น ผู้ที่สร้างคุณงามความดีล้วนมาจากจวนอ๋องซู่ ตอนนั้นอ๋องชินเฟิงอันกับไท่ซ่างหวงต่างก็เป็นลูกชายของอ๋องซู่ อ๋องซู่ก็คือฮ่องเต้ฮุยจงในเวลาต่อมา ด้วยความดีความชอบในการสู้รบของลูกชาย เขาได้รับตำแหน่งรัชทายาทและได้รับสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ต่อ ทำให้อ๋องชินยู่ต้องแพ้อย่างราบคาบ
เสียดาย ความทะเยอทะยานของคนเป่ยโม่นั้นมีแต่จะถูกควบคุมเอาไว้แต่ไม่เคยจะดับมอดลง ราวกับสิบปีนั้นเป็นการเวียนว่ายตายเกิด จะต้องประกาศสงครามกับประเทศใหญ่ๆรอบข้างเสมอ ตอนนี้ก็เช่นกัน