บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 857 ตัวเลือกราชทูต
หลังปีใหม่ กรมข้าราชการพลเรือนได้มีประกาศอย่างเป็นทางการ มีการย้ายตำแหน่งของวัดหงหรูซื่อชิง วัดหงหรูชิงคนใหม่ก็คืออ๋องอันหยู่เหวินอัน ส่วนอ๋องซุนที่เข้าไปอยู่ในวัดหงหรูก่อนหน้านี้ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นซือเฉิง
ส่วนหยู่เหวินเห้า ยังคงถูกกักบริเวณอยู่ในจวน และไม่ต้องการให้เขาวุ่นวายกับเรื่องราวในราชสำนักใดๆทั้งสิ้น ไม่ช้าในจวนก็ค่อยๆเงียบเหงาลง นอกจากเพื่อนสนิทที่คบหากันนานแล้ว แทบจะไม่มีใครย่างกรายเข้ามาหาเลย
ในช่วงเวลาอันยาวนานที่ถูกกักบริเวณ เสี้ยวหงเฉิงแทบจะไม่เคยมาที่จวนเลย คอยวิ่งเต้นทำงานให้เขาอยู่ข้างนอกตลอด
พี่ซูหลง หลู่หม่างและหวางเจียงจะมาคุยและกินดื่มเป็นเพื่อนเขาอยู่เป็นบางครั้ง เพื่อนเหล่านี้รวมตัวอยู่ด้วยกัน โดยปกติแล้วจะพูดคุยกันราวกับว่าอยู่กันคนละฟากฟ้า โดยเฉพาะหวางเจียงที่ชื่นชอบโอ้อวดความรู้ด้านดาราศาสตร์ของเขา
หลู่หม่างตอนนี้อยู่ในค่ายทหาร ดูแลองค์ชายเก้าหยู่เหวินเทียน เขานั้นชื่นชมหยู่เหวินเทียนไม่ขาดปาก บอกว่าเขาอายุน้อยๆ ก็มีท่าทีน่าเกรงขามของการเป็นแม่ทัพใหญ่
พูดถึงเรื่องในราชสำนัก หวางเจียงที่แต่ไหนแต่ไรไม่เคยจะรู้สึกสนใจก็ถามขึ้นมาอย่างกะทันหันว่า “พระองค์ ท่าจะเฝ้าจวนอยู่อย่างนี้ตลอดไปหรืออย่างไร จะไม่พยายามสักหน่อยหรือ”
หยู่เหวินเห้าพูดด้วยท่าทีเกียจคร้านว่า “มีอะไรให้ต้องพยายาม ชีวิตเช่นนี้ช่างสบายยิ่งนัก ข้านั้นมีความสุขกับความเงียบสงบ สมดังที่ใจหวังแล้ว”
“แต่นี่ก็ไม่ใช่ทางที่ดีที่สุด”หวางเจียงพูด
“มากที่สุดก็แค่ แม้แต่ตำแหน่งรัชทายาทก็ไม่ต้องเป็นแล้ว”หยู่เหวินเห้าพูดอย่างไม่สนใจไยดี
พี่ซูหลงเองก็ดูจะไม่แยแสเป็นอย่างยิ่ง ในเมื่อตระกูลซูตอนนี้ได้แตกสลายไปแล้ว พูดว่า “ใช่แล้ว ข้าว่าเป็นเช่นนี้ก็ดีมาก ก่อนหน้านี้ตอนที่รัชทายาททรงยุ่งมาก พวกเราอยากจะมาหาเขาเพื่อดื่มเหล้ายังต้องทำการนัดแนะล่วงหน้ากว่าครึ่งเดือน ตอนนี้ไม่ต้องแล้ว คิดถึงก็ยกไหเหล้าตรงมาได้ทันที สบายใจเป็นที่สุด”
หวางเจียงพูดยิ้มๆว่า “นั่นก็จริง ความว่างก็มีข้อดีของความว่าง ”
ชะงักไปชั่วครู่ เขาก็รู้สึกข้องใจขึ้นมา “ครั้งนี้ฮ่องเต้ได้ย้ายอ๋องอันไปยังวัดหงหรู นี่หมายความว่าอย่างไร นี่ไม่เท่ากับว่าจะให้อ๋องอันรับหน้าที่ในการกำกับดูแลเรื่องการทูตหรอกหรือ”
“เสด็จพ่อจะใช้งานเขา ข้าก็ทำอะไรไม่ได้ จะให้ข้าไปขัดขวางหรืออย่างไร ถ้าหากไปขัดขวางจริงๆละก็ เกรงว่าคงจะไม่ได้ง่ายดายแค่ถูกกักบริเวณอยู่แต่ในจวนเช่นนี้แล้ว”หยู่เหวินเห้าพูด
“ไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนั้น พวกเราแค่สนใจเรื่องดื่มเหล้าก็พอ”หลู่หม่างรินเหล้าให้กับทุกคน ใบหน้าที่ดำคล้ำถูกลมหนาวพัดจนแห้งกร้านแตกร้าวอยู่บ้าง ปีใหม่ที่ผ่านมานี้บางทีอาจดื่มมากไปหน่อย ใบหน้าที่แดงก่ำเพราะเหล้ายังไม่จางหายไป
หลังจบงานเลี้ยง หยู่เหวินเห้าให้พี่ซูหลงอยู่ต่อด้วยกันตามลำพัง บอกว่าจะถามไถ่เรื่องของตระกูลซูสักหน่อย นี่เป็นเรื่องในครอบครัว หวางเจียงกับหลู่หม่างก็ไม่สะดวกที่จะอยู่ต่อเพื่อฟังด้วย จึงได้ขอตัวลากลับกันไปก่อนแล้ว
หยู่เหวินเห้าเชิญพี่ซูหลงเข้าไปในห้องหนังสือ เอาจดหมายฉบับหนึ่งยื่นให้เขา “เจ้าเอาจดหมายของข้าไปยังจวนอ๋องซุน ภายหน้าเจ้าก็ทำงานอยู่ภายใต้คำสั่งของพี่รอง ”
“ภายใต้คำสั่งของอ๋องซุนหรือ”พี่ซูหลงรู้สึกคาดไม่ถึง “ทำไมเล่า ข้าไม่อยากจะทำงานอะไรทั้งนั้น และไม่อยากอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของอ๋องซุนสักเท่าไหร่”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “เจ้าต้องไป จำเป็นต้องไป”
“ท่านจะให้ข้าช่วยท่านจับตาดูอ๋องซุนหรือ อ๋องซุนมีปัญหาอะไร ”พี่ซูหลงไม่เข้าใจ
หยู่เหวินเห้าส่ายหน้า “พี่รองไม่มีปัญหา แต่ข้างกายพี่รองขาดแคลนคน ไม่นานจะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เจ้าต้องเตือนและชี้แนะเขาบ้าง อย่าได้ถูกคนอื่นหลอกเอาได้”
“ถูกใครหลอกอย่างนั้นหรือ”พี่ซูหลงมองเขาอย่างสงสัย ไหนบอกแล้วไงว่าจะไม่สนใจเรื่องงาน ทำไมยังต้องเสียแรงไปยุ่งอีกเล่า
“ตอนนี้ในบรรดาท่านอ๋อง มีเพียงเขากับเจ้าเจ็ดที่รับราชการ ท่างด้านเจ้าเจ็ดข้าไม่ห่วง กรมการพระนครนั้นจะแทรกเข้ามาไม่ได้อยู่แล้ว ข้าได้เตรียมการไว้แต่แรกแล้ว และทางด้านเจ้าเจ็ดมีโสวฝู่ฉู่และตระกูลหยวนคอยดูแลอยู่ พี่สี่คงจะไม่คิดทำอะไรกับเขาเป็นการชั่วคราว แต่ว่าพี่รองไม่มีที่พึ่งพา ยังทำตัวเลอะเลือนอยู่บ้าง ในช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ ถ้าหากไม่ฉลาดพอก็จะถูกผู้อื่นหลอกใช้ได้ง่าย”
พี่ซูหลงฟังการวิเคราะห์ของเขาแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “ถ้าหากเป็นการทำงานเพื่อท่าน เช่นนั้นข้าก็จะไป”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “เจ้าอย่าคิดเช่นนี้ ตอนนี้ตระกูลซูได้ตกต่ำลงไปแล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะตกต่ำลงไปด้วย เจ้าสมควรจะหางานที่จริงจังทำสักงานหนึ่ง พี่รองก้าวหน้ากว่าเมื่อก่อนมากแล้ว ติดตามเขาก็ไม่เลว อย่าเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์อีกเลย ท่านเป็นคนที่มีความสามารถ ย่อมสมควรทำงานตอบแทนราชสำนัก”
พี่ซูหลงถอนหายใจเบาๆหนึ่งเฮือก อืมหนึ่งเสียงและพูดว่า “ข้ารู้แล้ว”
หลังจากพี่ซูหลงจากไปแล้ว ทังหยางก็ถามขึ้นว่า “พระองค์คิดว่าอ๋องอันจะหลอกใช้อ๋องซุนอย่างนั้นหรือ”
“ไม่รู้ เพียงแต่ข้ารู้สึกไม่สบายใจสักเท่าไหร่ ตอนนี้ทั้งสองคนต่างก็เป็นขุนนางอยู่ในศาสหงหรู นิสัยที่พี่รองนั้นเจ้าก็รู้ดี แม้จะไม่ถูกกับพี่สี่สักเท่าไหร่ แต่ก็คงจะทาบไม่ติดคำพูดดีๆเพียงไม่กี่คำ พี่สี่จะประจบเขาก็เป็นเรื่องที่ง่ายมาก อีกอย่าง ถ้าหากเสด็จพ่อจะวางกับดักจริง เช่นนั้นการย้ายพี่สี่ไปรับตำแหน่งซื่อชิงที่วัดหงหรู ก็เป็นการวางแผนที่ใหญ่มาก หลังจากนี้ต้องมีเรื่องบางอย่างตามมาแน่”
“ก็จริง เซียนเปย……ประเทศซู่สถานการณ์เปลี่ยนไป หลังจากหงเล่ขึ้นครองราชย์ก็แต่งตั้งรัชทายาททันทีทันใด แต่ว่าไม่ได้มีการจัดงานฉลองโดยเชิญทั้งหกประเทศไปร่วมด้วย นี่มันแสดงออกถึงอะไรกันแน่”
หยู่เหวินเห้าพูดว่า “สายลับส่งข่าวกลับมา หลังจากหงเล่ขึ้นครองราชย์ มีความวุ่นวายภายในเกิดขึ้นเป็นช่วงระยะเวลาสั้น ตอนนี้ความวุ่นวายภายในได้สงบลงแล้ว ฉะนั้น ต่อไปคงจะมีความเคลื่อนไหวใหม่เกิดขึ้นแน่”
“เช่นนั้นก็เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงอย่างเงียบๆ”ทังหยางผ่อนลมหายใจออกมาหนึ่งเฮือก “นี่เป็นจุดหักเห อย่าได้ชะล่าใจอย่างเด็ดขาด”
และเป็นไปอย่างที่คาดการณ์เอาไว้ ไม่ช้าประเทศซู่ก็มีการส่งหนังสือราชการมาถึง บอกว่ามีลูกหลานคนหนึ่งของตระกูลหงเล่ต้องการจะตามหาบรรพบุรุษเพื่อกลับคืนสู่ตระกูล พร้อมกับการฉลองการก่อตั้งประเทศซู่ และการแต่งตั้งองค์รัชทายาท เรียนเชิญทั้งหกประเทศร่วมอวยพร
ลูกหลานของตระกูลหงเล่ที่จะทำการนับญาติคืนสู่ตระกูลนั้น คาดว่าคงจะเป็นท่านชายหงเล่
จัดงานฉลองอย่างยิ่งใหญ่ให้กับลูกชายที่ร่อนเร่อยู่ข้างนอก พลังในการชักชวนยังไม่มากพอ ฉะนั้น บวกกับการเฉลิมฉลองการก่อตั้งประเทศซู่ และการแต่งตั้งองค์รัชทายาท เช่นนี้จะยิ่งทำให้รู้สึกยิ่งใหญ่มากขึ้น
หนังสือราชการที่ประเทศซู่ส่งมา ได้เชิญรัชทายาทแห่งเป่ยถังไปร่วมงานด้วยความจริงใจ
โดยทั่วไปแล้ว งานฉลองที่เชื้อเชิญทั้งหกประเทศนี้ล้วนเป็นการโอ้อวดตนเองทั้งสิ้น แม้ว่าทั้งสองประเทศจะมีเรื่องบาดหมางกัน แต่มีข้อบังคับที่ปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานว่าระหว่างสงครามจะไม่มีการฆ่าราชทูตที่มาส่งสาร ด้วยเหตุนี้ ทุกคนต่างก็คิดว่าฮ่องเต้หมิงหยวนจะมีการปลดคำสั่งกักบริเวณของรัชทายาท เพื่อให้รัชทายาทไปประเทศซู่
แต่ขณะที่ราชทูตของประเทศซู่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาในการประชุมราชสำนัก ฮ่องเต้หมิงหยวนได้แต่ตอบกลับไปอย่างเรียบเฉยคำหนึ่งว่า “รัชทายาทแห่งเป่ยถังหยู่เหวินเห้าได้กระทำผิดร้ายแรง ตอนนี้ถูกปลดจากตำแหน่งขุนนางและกักบริเวณอยู่ในจวน ตัวเลือกราชทูตที่จะไปร่วมงานนั้น จะมีการคัดเลือกอีกครั้ง”
เหล่าขุนนางในราชสำนักอื้ออึงขึ้นมาทันที ถึงแม้ว่านี่จะเป็นการนับญาติคืนสู่ตระกูลของท่านชายหงเย่ แต่ก็ชัดเจนว่าเป็นการเฉลิมฉลองการก่อตั้งประเทศ งานฉลองยิ่งใหญ่เช่นนี้แน่นอนว่าไม่สามารถจะส่งใครไปก็ได้ เฉกเช่นตอนที่เป่ยถังได้ทำการแต่งตั้งองค์รัชทายาท เซียนเปยที่อยู่ภายใต้การควบคุมของหงเล่ ก็ได้ส่งลูกชายของตนเองท่านชายหงเย่มาร่วมงาน เป่ยโม่นั้นได้ส่งผู้กล้าที่มีตำแหน่งสูงสุดของพวกเขาอย่างแม่ทัพฉินมาร่วมงาน
สถานะของทั้งสองคนนี้ ดูแล้วเหมือนจะไม่ได้สูงส่ง แต่คนที่เข้าใจในสถานการณ์ ณ ตอนนั้นของเซียนเปยและเป่ยโม่ จะรู้ว่าไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย
ท่านชายหงเย่แม้จะเป็นลูกชายนอกสมรส แต่ว่ากลอุบายและความหนักแน่นของเขาในเซียนเปยนั้นไม่เป็นสองรองใคร แคว้นต้าโจว แคว้นต้าเยว่ กระทั่งเป่ยถังล้วนมีคนของเขาแทรกซึมอยู่ ควบคุมข่าวสารภายนอกที่สำคัญของเซียนเปย
และแม่ทัพใหญ่ฉินหัวหน้าตระกูลฉินแห่งเป่ยโม่ มีตำแหน่งรองลงมาจากฮ่องเต้ของเป่ยโม่เท่านั้น มีอำนาจยิ่งใหญ่อยู่ในมือ และเป็นฉากกั้นบริเวณชายแดน
เมื่อเป็นเช่นนี้ ในงานฉลองครั้งนี้เป่ยถังเองก็ต้องส่งคนที่มีสถานะไม่ธรรมดาไปจึงจะเหมาะสม เดิมทีหากรัชทายาทไป เช่นนั้นก็เหมาะสมที่สุดแล้ว แต่ฮ่องเต้หมิงหยวนยังคงจดจำความผิดในฐานอกตัญญูของรัชทายาทได้อยู่ ให้กักบริเวณต่อไป แล้วจะส่งใครไปร่วมงานกันแน่
ตัวเลือกคาดว่าก็คงต้องหาจากคนในราชวงศ์ อ๋องชินลุ่ย อ๋องซุน อ๋องอัน อ๋องฉีทั้งสี่คนได้กลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมขึ้นมา