บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 866 การจัดการของไท่ซ่างหวง
อะซี่หัวเราะทีหนึ่ง มองดูหยวนชิงหลิง “ท่านพี่หยวน เคยเห็นผู้หญิงกะล่อนไหมเพคะ? ก็เป็นเช่นนี้”
หยวนชิงหลิงก็หัวเราะแล้ว “เอาล่ะ เจ้าก็อย่าทรมานนางเลย บอกนางเถอะ”
อะซี่ถึงได้กล่าวขึ้นว่า: “เมื่อครู่จวนอ๋องฉีส่งคนมาแล้ว บอกว่าอ๋องฉีไม่สบายมาสองวันแล้ว ไข้ขึ้นและไอค่อนข้างหนัก บอกว่ารอให้สุขภาพดีแล้วค่อยมาใหม่”
“ป่วยแล้ว? สาหัสหรือ?” เมื่อหยวนหย่งอี้ได้ฟัง ร้อนรนขึ้นมาดังคาด
“บอกว่าสาหัสมาก แม้แต่กรมการพระนครก็กลับไม่ได้ ขณะที่คนรับใช้มารายงาน ก็บอกว่ายังไข้ขึ้นอยู่น่ะ”
หยวนหย่งอี้กล่าวด้วยความเป็นห่วง: “ไข้ขึ้น? สุขภาพของเขาอ่อนแอมาตลอด เชิญหมอแล้วหรือ?”
“ประเดี๋ยวข้าจะส่งคนให้เอายาลดไข้ไปให้เขา เจ้าวางใจเถอะ” หยวนชิงหลิงกล่าว
หยวนหย่งอี้อ๋อเสียงหนึ่ง คิดแล้วคิดอีก “ด้านนอกนี้ฝนกำลังตกหนัก พระที่นั่งก็มีคนไม่กี่คนที่สามารถวิ่งได้ ไม่เช่นนั้นข้าไปรอบหนึ่งละกันเพคะ ท่านเอายาให้ข้า”
“ท่านต้องการไปจริงๆน่ะหรอ?” อะซี่มองดูนาง น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยคำเตือน “หากว่าท่านไปแล้ว เขาจะคิดว่าท่านต้องการเปลี่ยนความคิด หลังจากนี้จะยิ่งเกาะติดท่านอย่างรุนแรงขึ้น”
“ไม่ใช่สามีภรรยา ก็ยังเป็นเพื่อน ข้าเห็นคนจะตายไม่ช่วยก็คงไม่ได้” หยวนหย่งอี้พูดขึ้นโดยที่ปากกับใจไม่ตรงกัน
“เห็นคนตายไม่ช่วยอะไร? ไม่ได้ร้ายแรงเพียงนี้ ก็ไม่ใช่แค่เป็นไข้หรือ? สภาพอากาศเช่นนี้เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว คนเจ็บไข้มากมายนัก ไท่ซ่างหวงสองวันมานี้ก็ไออีกแล้ว” หยวนชิงหลิงยิ้มและกล่าว
“ข้าไปรอบหนึ่งน่าจะดีกว่า” หยวนหย่งอี้ก็ไม่สนใจหน้าตาแล้ว กวนให้หยวนชิงหลิงให้ยา
หยวนชิงหลิงและอะซี่สบตากันแวบหนึ่ง เอายายื่นให้นาง “ดูเถอะ ก็รู้ว่านางต้องการไป”
อะซี่ยิ้มแล้วส่ายหน้า “ท่านพี่ ท่านสำรวมหน่อยไม่ได้หรือ? ก็บอกว่าไม่สนใจเขาแล้ว ยังจะไปส่งยาให้เขาอีก ดีล่ะ ไปคราวนี้นะ คาดว่าเขาก็เป็นพี่เขยของข้าอีกแล้ว”
หยวนหย่งอี้ทำทางท่าจะตีนาง อะซี่หัวเราะแล้ววิ่งจากไป หยวนหย่งอี้เปล่งเสียงไม่พอใจทีหนึ่ง “ข้ากลับมาค่อยจัดการเจ้า”
“เอาล่ะ รีบไปรีบกลับ ด้านนอกท้องฟ้ามืดพื้นลื่น แถมฝนยังตกอีก เจ้าเองก็ระวังหน่อย ม้าเตรียมไว้ดีแล้ว ก็อยู่ที่ประตู” หยวนชิงหลิงกล่าวกำชับ
หยวนหย่งอี้ไม่คิดว่าจะถูกหยวนชิงหลิงมองทะลุความคิดล่วงหน้าได้ รู้สึกอายเป็นที่สุด “รู้แล้วเพคะ”
นางพกเสื้อกันฝนออกไป เพิ่งจะออกประตูใหญ่ ฉางกงกงมาแล้ว กล่าวว่า: “แม่สาวตระกูลหยวน รอเดี๋ยว”
หยวนหย่งอี้หันกลับ เห็นฉางกงกงหิ้วตะเกียงเข้ามา ครึ่งหนึ่งของลำตัวเปียกโชก รีบเข้าไปประคองเขา “กงกง มีเรื่องอะไร?”
“ไท่ซ่างหวงรู้ว่าแม่นางต้องการไปส่งยาให้อ๋องฉี จึงตั้งใจบอกข้าน้อยให้เอายามาให้อ๋องฉีด้วยสองเม็ด ยานี้น่ะป้องกันรักษาไข้หวัด แม่นางก็ต้องกินเม็ดหนึ่ง เพื่อเลี่ยงไม่ให้ติดจากอ๋องฉี” ฉางกงกงพูดพลาง แล้วเอาขวดยายื่นให้นาง
หยวนหย่งอี้คิดไม่ถึงว่าไท่ซ่างหวงจะทำให้จิตใจคนอบอุ่นเพียงนี้ รับมาแล้วกล่าว: “รอข้ากลับมา จะไปทำความเคารพแสดงความขอบคุณไท่ซ่างหวงด้วยตัวเอง”
“แสดงความขอบคุณก็ไม่จำเป็นแล้ว ไท่ซ่างหวงบอกว่าหลานชายของตัวเอง ก็คงไม่สามารถมองดูให้เขาป่วยอย่างไร้การเยียวยาได้ ถูกแล้ว ไท่ซ่างหวงบอกว่าแม่นางต้องกินก่อนเม็ดหนึ่ง ระหว่างทางนี้ลมฝนพัดโชย หากว่าแม่นางล้มป่วยด้วย เช่นนั้นก็ไม่ดีแล้ว”
“อีกประเดี๋ยวข้าจะกิน ขอบคุณกงกง”
“ไม่ พระประสงค์ของไท่ซ่างหวงคือต้องการให้ข้าเห็นแม่นางกิน” ฉางกงกงหยิบเอาขวดยากลับมาเสียเลย เทยาออกมาสองเม็ด เม็ดหนึ่งสีแดง เม็ดหนึ่งสีเขียว ตัวเขาเองพึมพำว่าผู้ชายสีแดงผู้หญิงสีเขียวอยู่ครู่หนึ่ง เอาสีเขียวยื่นให้หยวนหย่งอี้ “แม่นางกินอันนี้”
“เอ๊ะ? ทำไมยังมีการแบ่งเป็นสีที่แตกต่างกันด้วย? สีนี่ก็สวยงามจริงๆ” หยวนหย่งอี้กล่าวด้วยความประหลาดใจ
“สีแดงคือมีอาการแล้วจึงจะกิน เห็นผลเร็ว สีเขียวนี่นะเป็นการป้องกัน เห็นผลช้า ไท่ซ่างหวงบอกว่ายานี้เป็นยามหัศจรรย์ ยาเม็ดหนึ่งลงไป ยาถึงอาการป่วยหายจะอย่างฉับพลัน ป่วยรุนแรงเพียงใดก็สามารถหายได้ อย่างน้อย ได้ผลดีกว่ายาของพระชายารัชทายาทมากนัก”
หยวนหย่งอี้อุทานด้วยความอึ้ง “จริงหรือ? ยานี่มหัศจรรย์เพียงนี้เชียว? ทำไมไท่ซ่างหวงไม่กิน?”
“ไม่ถูกโรคไงล่ะ ไท่ซ่างหวงนั่นคือโรคหอบหืด” ฉางกงกงรบเร้า “รีบๆกิน กินแล้วข้าน้อยจะกลับไปรายงานผลการปฏิบัติงาน”
“ได้!” หยวนหย่งอี้เอายาใส่เข้าในปาก รู้สึกเพียงยานี้หอมสดชื่นไร้ที่เปรียบ หลังจากกินลงไปแล้ว จึงรู้สึกว่าร่างกายอบอุ่นมาก อดไม่ได้ที่จะชื่นชมเป็นการใหญ่ “ชั่งเป็นยามหัศจรรย์จริงๆ”
ฉางกงกงยิ้มจนตาหยีขึ้นมาแล้ว “รีบไป รีบไป อย่าเสียเวลาการเดินทางเลย”
หยวนหย่งอี้เอายาสีแดงใส่กลับไปในขวด ซ่อนไว้ในกระเป๋าดีแล้ว พลิกตัวขึ้นม้า โบกมือ “กงกงรีบกลับไปเถอะ อย่าตากฝนจนป่วย”
นางยกแส้ขึ้น ม้าจึงวิ่งออกไป เข้าไปในม่านฝน
ฉางกงกงยิ้มแล้วหมุนตัว ค่อยๆกลับตำหนักพักไปรายงานผลการปฏิบัติงาน
“ไท่ซ่างหวง ดูแม่สาวน้อยกินยาลงไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“กินยาสีเขียวเม็ดนั้นใช่หรือไม่?”
“ใช่ สีเขียวพ่ะย่ะค่ะ” ไท่ซ่างหวงตอบรับคำหนึ่ง หลับตาลงอย่างพอพระทัย “เรื่องนี้ไม่ใช่ว่าแก้ไขแล้วหรือ? ยังต้องเปลืองแรงพยายามขนาดนั้นอีก”
ฉางกงกงท่าทางซึมเศร้า “แก้ไขก็แก้ไขแล้วพ่ะย่ะค่ะ ก็แค่วิธีการต่ำช้าเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำไมถึงได้ต่ำช้าแล้ว?” ไท่ซ่างหวงลืมตามองเขา “หญิงชายทั้งสองที่รักกัน ต่ำช้าได้อย่างไร? จะต่ำช้าก็คือแม่สาวตระกูลหยวนต่ำช้า ยาเป็นนางส่งไป โทษหลานชายของข้าไม่ได้”
“ท่านย่าของตระกูลหยวนยั่วยุไม่ง่ายนะพ่ะย่ะค่ะ หลังจากนั้นจะมาหาเรื่องก่อความวุ่นวายก็ไม่ดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ” ฉางกงกงกล่าวด้วยความกังวล
“ยั่วยุข้ายิ่งไม่ง่าย!” ไท่ซ่างหวงหายใจแรงเฮือกหนึ่ง “ข้าเหลือแค่ครึ่งชีวิต นางมีความกล้าหาญก็มา”
ฉางกงกงหัวเราะแล้ว “พระองค์อ่อนแอพระองค์มีเหตุผลพ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงนั่งขึ้นมาช้าๆ ฟังเสียงลมฝนด้านนอก “พูดเรื่องโสวฝู่ฉู่ไม่ได้มาหลายวันแล้ว”
“ไม่สบายแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“สองสามปีมานี้สุขภาพของเขาดีมากมาโดยตลอด กลับเป็นข้าที่เจ็บป่วยน้อยใหญ่มาอย่างต่อเนื่องไม่หยุด ก็ช่างเถอะ เขาก็ควรพักผ่อนให้ดีๆแล้ว ตอนนี้รัชทายาทดูแล้วก็ใช้การได้ สถานการณ์ครั้งนี้หากว่ากำหนดลงมาได้ เขาก็สามารถถอยมาอยู่แนวป้องกันที่สองได้ ไม่จำเป็นต้องบุกทำสงครามเพื่อเป่ยถังแล้ว หลายปีมานี้ เป่ยถังติดหนี้เขามากมาย”
“ไม่ใช่ได้อย่างไร? อันที่จริงในใจของอะสี่ก็เป็นห่วงเรื่องนี้ อยากไปปรนนิบัติดูแล แต่ข้างกายของพระองค์ก็ขาดคนไม่ได้ อีกอย่าง จวนฉู่นั่น……คนมากมายหลายปาก อะสี่ไปก็ไม่ดี” ฉางกงกงกล่าว
ไท่ซ่างหวงกล่าว: “อายุปูนนี้แล้ว ยังมีอะไรดีไม่ดีอีก? ยังกลัวคนมากมายหลายปากอีกหรือ? ผู้คนภายนอกพูดอะไรก็กีดขวางตัวเองไม่ได้สักน้อย บอกให้นางไป”
“ฝู่ฉู่ไม่อนุญาตนี่พ่ะย่ะค่ะ ตัวเขาเองป่วยอยู่ ดูแลมากมายขนาดนั้นไม่ได้ เกรงว่าอะสี่จะได้รับความลำบาก”
“เช่นนั้นก็บอกให้เขามารักษาอาการป่วยที่พระที่นั่ง อย่างไรเสียในตระกูลฉู่ก็ไม่มีลูกหลานที่มีความสามารถมีความกตัญญู หลายปีมานี้ตระกูลฉู่ก็มีเขาผู้เดียวที่รู้หลักทำนองคลองธรรม คนอื่นล้วนใช้การไม่ได้” ไท่ซ่างหวงกล่าวด้วยท่าทางโกรธเคืองไม่ฟังเหตุผล
ฉางกงกงกล่าว: “เช่นนั้นก็ดีพ่ะย่ะค่ะ พรุ่งนี้ข้าน้อยจะเรียกคนไปถ่ายทอดพระประสงค์”
“เสี่ยวฉางชี่ เจ้านั่งลง พูดคุยเป็นเพื่อนข้า” ไท่ซ่างหวงถอนใจเบาๆอย่างฉับพลัน
ฉางกงกงนั่งลงด้วยความระมัดระวัง “ไท่ซ่างหวง พระองค์อยากพูดอะไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ไท่ซ่างหวงลดสีหน้าที่เฉียบคมลง ในตาเต็มไปด้วยความหม่นหมอง กล่าวเบาๆ: “เจ้าและอะสี่ ตั้งแต่ข้าอายุสิบห้าปีก็เริ่มติดตามข้าแล้ว ข้าเป็นฮ่องเต้ในปีเหล่านั้น เจ้ายุ่งวุ่นวายทั้งภายนอกภายใน และได้ใช้ชีวิตดีๆไม่กี่วัน ตอนนี้ข้างกายของเจ้าก็ไม่มีญาติมิตรแล้ว หากว่าข้าจากไปแล้ว เจ้าก็อยู่ในพระที่นั่งนี้ดูแลตัวเองในยามชรา เลี้ยงดูฝูเป่า อยู่เป็นเพื่อนกับมัน ที่ไหนก็ไม่ต้องไป”
เมื่อฉางกงกงได้ยินคำพูดนี้ ลุกขึ้นอย่างฉับพลัน “พระองค์พูดอะไรน่ะพ่ะย่ะค่ะ? คำพูดไม่เป็นมงคลพูดไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ”
ไท่ซ่างหวงมองดูเขาอย่างเคร่งขรึมแวบหนึ่ง “เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าในใจของเจ้าคิดอะไรหรือ? ปีนั้นข้าป่วยหนัก เจ้าก็เตรียมตัวล่วงหน้าแล้ว และเตรียมการเรื่องภายหลังจากที่ตัวเองตายไว้ดีแล้ว รอเพียงข้าหมดลมเจ้าก็จะติดตามไป แต่ข้าพูดไว้ก่อน เจ้าทำเช่นนี้ข้าจะโกรธ ในพระตำหนักฉินคุนทิ้งพระราชโองการไว้ฉบับหนึ่ง หากว่าข้าจากไปแล้ว เจ้าก็ต้องใช้ชีวิตดีๆ นี่คือพระราชโองการ”
ฉางกงกงโมโหจนกระทืบเท้า น้ำตาล้วนไหลลงมาแล้ว “พระองค์พูดคำเหล่านี้ทำอะไรพ่ะย่ะค่ะ? ข้าน้อยฟังคำเหล่านี้ไม่ได้ อย่าพูดแล้วพ่ะย่ะค่ะ เรื่องชีวิตคน ผู้ใดจะสามารถพูดไว้ก่อนได้? อาจจะเป็นข้าน้อยไปก่อนก็ได้น่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
“เจ้าไปก่อน ข้าก็จะมีชีวิตอยู่อย่างดี” ไท่ซ่างหวงกล่าวอย่างหนักแน่น