บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 875 สถานการณ์การต่อสู้
สงครามกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว กลยุทธ์ของแคว้นซู่กับเป่ยโม่ถูกแม่ทัพใหญ่จิ้งถิงรู้ทัน แคว้นซู่ไม่ได้ร่วมมือกับเป่ยโม่อย่างจริงใจ เพียงแค่ให้เป่ยโม่ตัดกำลังทหารแคว้นต้าโจว ท่านชายหงเย่กลับเดิทางไปทางแคว้นต้าเยว่ หวังจะเข้าบุกทางแคว้นต้าเยว่
กลับคิดไม่ถึงว่า เฉินจิ้งถิงได้นำทัพมารวมอยู่ที่ชายแดนแคว้นต้าเยว่แต่แรกแล้วกว่าแสนคน ในขณะเดียวกัน หยู่เหวินเห้านำทัพทหารม้าแสนนายของเป่ยถังไปยังเมืองเม่า เจ้าพระยาจิ้งกั๋วของแคว้นต้าโจว กับเจ้าพระยาเจียงหนิงล้อมปราบปรามมาตามเมืองกุย สร้างการโจมตีสามทาง มายังประตูเมื่อแคว้นซู่
จุดเปลี่ยนนี้ปรากฏในการรบ ที่สำคัญคือเพราะท่านชายหงเย่พ่ายแพ้ทางด้านเป่ยโม่ ทำให้แม่ทัพใหญ่จิ่นหนิงหนีรอดไป มุ่งหน้าไปยังแคว้นซู่ จึงเกิดการโจมตีทั้งสามด้านขึ้น
หยู่เหวินเห้าตั้งประจำทหารอยู่ที่เมืองเม่า สับสนไม่เข้าใจอย่างยิ่ง จุงจึงเรียกแม่ทัพมาวิเคราะห์สถานการณ์
สวีอีพูดขึ้นว่า “ตามหลักแล้ว ท่านชายหงเย่เป็นคนที่ฉลาดคนหนึ่ง จะแตกหักกับเป่ยโม่ได้อย่างไรล่ะ? และเมื่อการสู้รบมาถึงค่อยหักหลังเป่ยโม่ นี่ไม่เป็นการสร้างโอกาสให้กับพวกเราอย่างชัดเจนหรือ? เขาต้องการที่จะพ่ายแพ้”
หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกไม่เข้าใจอย่างยิ่ง แต่ข่าวรายงานการรบ รายงานมาแบบนี้จริงๆ แม่ทัพใหญ่จิ่นหนิงก็มาถึงแล้ว แสดงว่าทางด้านเป่ยโม่ ไม่มีความอันตรายแล้วจริงๆ
“ทัพใหญ่ของหงเย่ตอนนี้อยู่ที่แคว้นต้าเยว่ สามารถพูดได้ว่าออกจากบริเวณของแคว้นซู่ ไม่สามารถสนับสนุนแคว้นซู่ เพราะทัพใหญ่ของจิ้งถิงตัดขาดทางถอยหนีของพวกเขาแล้ว ตอนนี้หงเย่ยังมีทหารลงเหลือเท่าไหร่?” หยู่เหวินเห้ามองดูแผนที่แล้วถามขึ้น
สวีอีพูดว่า “เขานำกำลังทหารออกไปสามแสนคน แต่ระหว่างทางมีหนึ่งแสนคนหายสาบสูญไม่เห็นแล้ว”
“หายสาบสูญไม่เห็นแล้ว?” หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าแปลกประหลาด จึงพูดขึ้นว่า “ทหารแสนคนเป็นไปไม่ได้ที่จะหายสาบสูญ ซุกซ่อนอยู่ในถนนบนภูเขาหรือเปล่า?”
“ไม่รู้ สามารถสืบได้”
แม่ทัพใหญ่ฮู่มองดูหยู่เหวินเห้า เขานำทัพมานานหลายปี ก็ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ เมื่อสู้รบกัน ทหารที่สูญเสียจะแค่หลักล้านหรือ? หงเย่จะตัดกำลังอำนาจแคว้นซู่ แล้วก็ไม่ได้อะไรกลับคืนหรือ?
“ตอนนี้แคว้นซู่มีหงเล่ซิงนำทัพประจำอยู่ หงเล่….ไม่ ฮ่องเต้ซู่ประจำอยู่ที่เมืองหลวง เดิมการจัดทีมทหารวางแผนกลยุทธ์ในการรบของเขา มีความรุนแรงอย่างมาก ตอนนี้ถูกท่านชายหงเย่ปั่นป่วน จนสิ้นฤทธิ์หมดเกลี้ยงแล้ว นี่อาจมีการวางแผนชั่วร้ายลับๆอะไรหรือเปล่า?”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “หงเย่ใช้วิธีล่อลวง ดูเหมือนจะสู้กับแคว้นต้าโจว ความจริงแล้วหากสามารถเข้าบุกทางแคว้นต้าเยว่ จะเป็นอันตรายต่อเป่ยถังอย่างที่สุด แต่ไม่มีทางที่เขาจะคิดไม่ได้ว่า แคว้นต้าเยว่ไม่มีทางยินยอมให้ผ่าน ถึงแม้จะจับตัวคนแคว้นต้าเยว่เป็นตัวประกัน แต่ความสัมพันธ์ระหว่างแคว้นต้าเยว่กับเป่ยถังแคว้นต้าโจวนั้นไม่เลว นิ่งดูดายได้ ให้ทางผ่านถือเป็นการช่วยผู้ร้าย แคว้นต้าเยว่ไม่มีทางทำเช่นนี้เด็ดขาด ท่านชายหงเย่จะคิดไม่ถึงได้อย่างไร?”
แม่ทัพใหญ่ฮู่นิ่งอึ้งไปสักพัก พร้อมพูดขึ้นว่า “รูปแบบการรบนี้ มีเพียงแคว้นซู่ที่สูญเสียกำลังทหาร กับการที่หงเย่ปั่นป่วนนานขนาดนั้น ก็เพื่อต่อสู้กับแคว้นซู่หรือ? นี่เป็นไปไม่ได้ เขาเป็นองค์ชายของแคว้นซู่ เขาจะต่อสู้กับแคว้นของตนเอง ต่อสู้กับพ่อของตนเองได้อย่างไร?”
“การต่อสู้กันภายใน? เป็นการต่อสู้เพื่อแย่งตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทของแคว้นซู่หรือ?” สวีอี พูดขึ้นอย่างไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดีว่า “หากเป็นเช่นนี้จริง แบบนั้น ท่านชายหงเย่กระทำเช่นนี้ ให้แคว้นอื่นอีกทั้งเจ็ดแคว้นเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง ช่างแผนการวางแผนกระทำศึกใหญ่จริงๆ ปกติศึกการแย่งชิงองค์ชายรัชทายาท ล้วนเป็นเกมการต่อสู้ภายในแคว้นไม่ใช่หรือ? เขากลับระดมผู้คนมาเป็นจำนวนมากมาย ต้องการที่จะทำให้แคว้นซู่ไม่มีทางที่จะฟื้นตลอดไป”
หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้น พร้อมพูดขึ้นด้วยสายตาเย็นระยิบระยับว่า “แย่งชิงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาท? ไม่ค่อยเป็นไปได้ แย่งชิงตำแหน่งองค์ชายรัชทายาทไม่จำเป็นที่จะต้องทำลายแคว้นซู่ เขา…. เหมือนกำลังแก้แค้น”
“แก้แค้น?” แม่ทัพใหญ่ฮู่หายใจเข้าอย่างเยือกเย็น พร้อมพูดขึ้นว่า “ความแค้นความเกลียดชังขนาดไหน? ถึงกับต้องทำลายแคว้นของตนเองเพื่อแก้แค้น หงเล่ไม่ใช่พ่อแท้ๆของเขาหรือ? ระหว่างพ่อกับลูกจะมีความแค้นอะไรกันมากมาย?”
ดวงตาหยู่เหวินเห้าบรรจบกัน พร้อมพูดขึ้นด้วยแววตาแฝงไปด้วยความกังวลว่า “ความต้องการของหงเย่ เรายังไม่ต้องสนใจ หากสถานการณ์รบไม่เปลี่ยนแปลง งั้นก็เท่ากับเป็นที่แน่นอนแล้ว ต่อให้แคว้นซู่ ใช้กำลังทั้งหมดที่มีก็ไม่สามารถเอาชนะพวกเราได้ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ พี่รองก็จะตกอยู่ในอันตราย ฮ่องเต้ซู่จะต้องฆ่าเขาเพื่อสังเวยธง”
“การสู้รบในครั้งนี้ยากที่จะหลีกเลี่ยง หงเล่เป็นคนชอบสู้รบ ตอนนี้ทั้งสามทับมาถึงเมือง เขายอมที่จะทำลายเมือง แต่ไม่ยอมที่จะทำลายแผนการรบ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พระองค์เป็นกังวลก็มีเหตุผล เสด็จอ๋องซุนตกอยู่ในอันตราย” แม่ทัพใหญ่ฮู่ก็เห็นด้วยกับคำพูดของหยู่เหวินเห้า
สวีอีพูดขึ้นว่า “แต่พวกเราอยู่เมืองเม่า ไม่สามารถที่จะไปช่วยเหลือได้ ทำได้เพียงอาศัยสายลับ จอหงวนฝ่ายบู๊กับนายซูพวกเขาแล้ว”
หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นว่า “ข่าวลับที่ลู่หยวนส่งมา บอกว่ากำลังรอโอกาสที่เหมาะสม เมื่อได้โอกาส ก็จะลงมือ พวกเราห้ามกระวนกระวาย การสู้รบในครั้งนี้ยังไงก็ต้องสู้ ทางด้านเมืองเม่าพวกเราเฝ้าไว้ รอจังหวะโจมตีเข้าไปรวมตัวกับพวกเขา”
แม่ทัพทั้งหมดฟังคำสั่ง
เมื่อปรึกษากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว หยู่เหวินเห้าเขียนจดหมายถึงครอบครัว กับเขียนทูลรายการสถานการณ์ศึกอยู่ในเต้นที่พัก
ตอนนี้เขานับว่ารู้แล้วว่าอะไรคือ ไม่พบกันวันเดียว เหมือนไม่พบกันสามปี ปกติก็งานยุ่ง ไม่ได้เห็นหน้านางทุกวัน แต่ตอนนั้นรู้ว่าเมื่อต้องการที่จะเจอ ก็สามารถเจอได้ทุกเมื่อ
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน พวกเขาห่างไกลกันพันลี้ คิดถึงแค่ไหนก็ไม่ได้เจอ
เขียนจดหมายถึงครอบครัว กลายเป็นสิ่งปลอบโยนเพียงอย่างเดียว
กระดาษถูกกางออกเนิ่นนาน ไม่รู้จะเขียนอย่างไร รู้สึกว่าอักษรที่เขารู้จักทั้งหมด ไม่ว่าจะขึ้นต้นด้วยประโยคไหน ก็ไม่สามารถสื่อถึงความคิดถึงภายในใจของเขา ด้วยเหตุนี้ถือพู่กันอยู่ตั้งนานก็สามารถเขียนได้เพียงเจ้าหยวนสองคำ แล้วแม้แต่เมื่อเขียนสองคำนี้ลงไปแล้ว ก็รู้สึกว่าคำเรียกขึ้นต้นยังไม่ค่อยเหมาะสม จึงลบทิ้งแล้วก็เปลี่ยนเขียนเป็นหยวน
สุดท้ายเขาคิดไปคิดมา ขีดเขียนขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง เขียนอย่างไม่หยุดสักพักก็เขียนเสร็จแล้ว หลังจากเขียนเสร็จแล้ว ก็เขียนทูลรายงานสถานการณ์ศึกต่อ
เพียงแต่รอเมื่อเขียนทั้งสองฉบับเสร็จเรียบร้อยแล้วมาเทียบกัน กลับเป็นเรื่องที่เขียนเหมือนกัน ล้วนเป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ศึก
เขาขยำจดหมายครอบครัวทิ้ง มายครอบครัวจะเขียนเรื่องพวกนี้ไม่ได้
สุดท้ายลังเลอยู่กว่าครึ่งชั่วโมง เขียนได้เพียงไม่กี่ประโยค ความหมายก็ง่ายมาก เจ้าสบายดีไหม? ลูกๆสบายดีไหม? ข้าสบายดี แต่กับข้าวไม่ค่อยอร่อย วิวทิวทัศน์เมืองเม่าไม่เลว อากาศเริ่มกลับมาอบอุ่น และอื่นๆประมาณนี้
หลังจากเขียนเสร็จแล้ว ก็นำส่งออกไป แล้วก็หงุดหงิด คิดว่าตนเองน่าจะเขียนสื่อถึงความรู้สึกมากกว่านี้หน่อย เจ้าหยวนให้ความสนใจเรื่องพวกนี้ค่อนข้างสูง
จดหมายครอบครัวกับจดหมายทูลรายงานสถานการณ์ศึก ถูกส่งไปยังเมืองหลวงพร้อมกัน ห้าวันก็ส่งมาถึงเมืองหลวงแล้ว
มู่หรูกงกงนำจดหมายครอบครัวมาให้หยวนชิงหลิงด้วยตนเอง หลังจากหยวนชิงหลิงเปิดออกแล้ว ก็ไม่รู้จะร้องไห้หรือหัวเราะดี จดหมายครอบครัวนี้เขียนได้อยากเกรงใจกันมากจริงๆ
มู่หรูกงกงพูดกับหยวนชิงหลิงว่า “หากพระชายารัชทายาท อยากที่จะตอบจดหมายนำกลับไปให้รัชทายาท ก็ให้รีบเขียน ข้าจะนำเข้าวัง กลับไปส่งพร้อมกับพระราชโองการ”
หยวนชิงหลิงเข้าไปในห้องหนังสือ นางมีเรื่องที่จะพูดมากมาย เรื่องท้องก็อยากที่จะบอกเขา แต่ก็กลัวว่าบอกไปแล้วเขาจะเป็นกังวล สุดท้ายจึงตัดสินใจไม่บอก
นางมีมีวาทศิลป์ เขียนไปหลายแผ่น สถานการณ์ภายในบ้านล้วนพูดถึงแล้ว แม้แต่เรื่องที่หยวนหย่งอี้ท้องก็บอกให้เขารู้ สุดท้ายยังเขียนว่าคิดถึงเจ้ามาก รอเจ้ากลับมาพร้อมชัยชนะในเร็ววัน
หยู่เหวินเห้าได้รับจดหมายตอบกลับ แล้วก็ตบหัวตัวเองพร้อมพูดขึ้นว่า “ใช่ ยังสามารถพูดว่าคิดถึงเจ้า ช่างเลอะเลือนจริงๆ”
จดหมายครอบครัวในสนามรบมีค่าดั่งหมื่นเหรียญทอง สามารถทำให้หยู่เหวินเห้าอ่านไปมาอยู่หลายรอบ มีความสุขอยู่หลายวัน
“ยัยหน้ากลมท้องแล้ว เจ้าเจ็ดจะเป็นพ่อคนแล้ว” หยู่เหวินเห้าพูดพึมพำ เจ้านั้นช่างมีบุญวาสนาจริงๆ ล้วนเป็นสวรรค์เบื้องบนโยนความสุขมาให้เขา เขาไม่จำเป็นต้องพยายามทำอะไรเลย
เขาเล่าเรื่องน่ายินดีนี้ให้กับสวีอีกับหยู่เหวิยเทียนฟัง หยู่เหวิยเทียนพูดขึ้นอย่างดีใจว่า “พี่สะใภ้เจ็ดเป็นคนดี หวังว่านางจะสามารถคลอดลูกอ้วนท้วนออกมาได้อย่างปลอดภัย”
“อ้วนท้วนดีตรงไหน? ถ้าสามารถคลอดได้ลูกสาวสิดีที่สุด” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น