บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 882 พระชายาซุนที่จะคืนเงิน
เวลานี้หยวนชิงหลิงไม่มีใจไปงานเลี้ยงสักนิด นางอยู่ในภาวะหวาดกลัวสุดขีดทุกวัน และไม่รู้ว่าจะล้มเมื่อไรด้วย
ดังนั้นนางจึงให้คนปฏิเสธคำเชิญของพระชายาซุน อ้างว่าไม่ค่อยสบาย ไว้วันหลังจะไปเยี่ยมเยียน
แต่หรงเยว่เห็นว่าระยะนี้นางอยู่ในจวนเบื่อๆ ก็เลยอ้างว่าพรุ่งนี้ต้องมีเรื่องสนุกแน่ ชวนนางไปดูด้วยกัน
หรงเยว่รู้ว่านางตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้ว ถึงปากจะไม่พูดอะไรแต่ในใจก็อิจฉามาก เพราะนางอยากตั้งครรภ์มาตลอดแต่กลับไม่ได้อย่างที่หวัง
แม้แต่ย่าหยวนก็ยังอยากให้นางออกข้างนอกบ้าง อย่าเอาแต่เก็บตัวฟุ้งซ่านอยู่ในจวน ยิ่งคิดก็ยิ่งฟุ้งซ่าน ส่วนหยวนชิงหลิงก็รู้สึกว่าตัวเองจิตใจแย่มากจริงๆ อยู่แต่จวนก็ไม่มีอะไรดีขึ้น ดังนั้นจึงรับปากหรงเยว่ว่าพรุ่งนี้จะไปจวนอ๋องซุนด้วยกัน
พอตกกลางคืนเด็กๆ พากันนอนเบียดหยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงนอนอยู่บนเตียง ถึงร่างกายจะง่วงและอ่อนเพลียมาก แต่สมองกลับแจ่มชัด
นางเอามือลูบท้อง สี่เดือนกว่าแล้ว เด็กเริ่มดิ้น เด็กขยับตัวอยู่ในท้องนางทุกวัน แต่นางไม่รู้ว่าจะคลอดเด็กคนนี้ออกมาได้หรือไม่
“เสด็จแม่ ในท้องนั่นเป็นน้องชายหรือน้องสาวพ่ะย่ะค่ะ?” ข้าวเหนียวน้อยนอนพาดอยู่ที่ท้องหยวนชิงหลิงแล้วถาม
“ไม่รู้เหมือนกันจ๊ะ แล้วข้าวเหนียวอยากได้น้องชายหรือน้องสาวล่ะ?” หยวนชิงหลิงถามด้วยเสียงอ่อนโยน
“น้องชายพ่ะย่ะค่ะ” ข้าวเหนียวอิจฉาทังหยวนกับซาลาเปามาก เพราะพวกเขาต่างก็มีน้องชาย
“เอาน้องสาวพ่ะย่ะค่ะ!” ซาลาเปาแย้งทังหยวน พวกเขามีน้องชายแล้ว ขาดแต่น้องสาว
เมื่อนั้นหยวนชิงหลิงจึงสงสัยขึ้นมา “พวกเจ้าไม่ใช่เห็นสิ่งที่อยู่ในหัวข้าเหรอ? งั้นพวกเจ้าก็ดูเองสิ ว่าในท้องนี่เป็นน้องชายหรือน้องสาว?”
ซาลาเปามองหยวนชิงหลิง รู้สึกว่าเสด็จแม่ทึ่มมาก “เสด็จแม่ หัวเสด็จแม่มีแสงถึงได้มองเห็น น้องสาวไม่ได้มีแสงซักหน่อย จะเห็นได้ยังไงล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
หยวนชิงหลิงกอดซาลาเปา “งั้นเจ้าเห็นวัตถุที่เรืองแสงในหัวของทังหยวนกับข้าวเหนียวไหม?”
ทั้งสามมองตากัน “พวกเราไม่มีแสงพ่ะย่ะค่ะ”
“ไม่มี?” หยวนชิงหลิงประหลาดใจมาก ไม่มีแสง งั้นยาก็ไม่ได้ทำให้พวกเขามีพลังวิเศษ แต่เป็นเพราะการเปลี่ยนแปลงของ DNA?
นางทำความเข้าใจใหม่ นางต้องอาศัยสมองในยุคปัจจุบันกระตุ้นสมองนี้ และสมองนี้ถึงสั่งการให้ร่างทำงาน แสงที่พวกเขาพูดถึงน่าจะเป็นแสงการรับส่งสัญญาณ ก็เหมือนกับข้อมูลหรือสัญญาณ WiFi ถ้าสัญญาณอ่อน ก็จะเกิดแสงบอกว่าร่างกายอ่อนแอ
ส่วนยีนพวกเขากลับเปลี่ยนแปลงสำเร็จแล้ว อีกอย่างตามการคาดเดาแรกของนาง ยาจะกระตุ้นเซลล์อยู่ตลอด ยับยั้งไม่ให้เซลล์สมองตาย เมื่อเติบโตระยะหนึ่งแล้วก็เป็นไปได้มากว่าพวกเขาอาจรับสัญญาจากต่างมิติเวลาได้ แล้วก็อาจสื่อสารกับต่างมิติได้ตลอดด้วย
ความคิดนี้ทำให้หยวนชิงหลิงต้องระทึก นางลุกขึ้นนั่ง จากนั้นสี่แม่ลูกก็เริ่มเรียนวิชาวิทยาศาสตร์
หยวนชิงหลิงคาดหวังกับเด็กๆ ครึ่งหนึ่งและหวังกับเจ้าอาวาสครึ่งหนึ่ง ถึงยังหวาดหวั่นอยู่บ้าง แต่หากมีความหวังเพิ่มมาอีกหน่อยก็วางใจได้อีกนิด
วันถัดมาหยวนชิงหลิงพาสามแฝดไปจวนอ๋องซุนด้วยกัน ตอนนี้เด็กๆ ไม่ยอมห่างนางแม้แต่ก้าวเดียว เกรงว่าแม่จะหายไป
ตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมา หยวนชิงหลิงยังไม่เคยลองอยู่กับพวกเขาอย่างนี้มาก่อน จึงพยายามดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่อยู่กับลูกๆ ฉะนั้นนางจึงพาพวกเขาไปกับหมันเอ๋อด้วยเสียเลย
เมื่อหรงเยว่มารับ นางก็เห็นหรงเยว่มาคนเดียว จึงถาม “น้องหกล่ะ?”
“เขาล่วงหน้าไปแล้ว ข้ามารับเจ้า” หรงเยว่กระโดดลงมาอุ้มข้าวเหนียว “โอ้โห พ่อทูนหัวของข้า หนักขึ้นอีกแล้วนะ”
“เสด็จน้าหก เสด็จแม่ของหม่อมฉันต่างหากที่หนักพ่ะย่ะค่ะ อุ้มไม่ไหวแล้ว” ข้าวเหนียวน้อยพูดด้วยเสียงเด็กน้อย
วันนี้เด็กๆ ใส่ชุดผาวสั้นสีแดงเหมือนกัน เนื่องจากอากาศร้อน ดังนั้นชุดผาวจึงสั้นขึ้นนิดหน่อย ให้เห็นน่องบัวข้อเล็กๆ ด้านล่าง ตอนฤดูร้อนเพิ่งตัดผมไป สั้นมาก เหลือแค่จุกกลางกระหม่อมเท่านั้น ดังนั้นจึงใช้ผ้าสี่เหลี่ยมสีแดงหุ้มไว้ สีเดียวกับชุด สดใสน่ามอง
เมื่อหรงเยว่เห็นเจ้าตัวน้อยทั้งสามแล้วก็ชอบใจเสียไม่มี พูดกับหยวนชิงหลิง “ถ้าข้ามีลูกไม่ได้ต้องแย่งมาเลี้ยงเองซักคนแน่ หรือไม่ที่อยู่ในท้องเจ้าก็มอบให้ข้าเถอะ”
หยวนชิงหลิงยังไม่ทันพูด ตัวน้อยทั้งสามก็พลันปฏิเสธ “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ นั่นของพวกเราต่างหาก”
หรงเยว่หัวเราะชอบใจ “ล้อพวกเจ้าเล่นเท่านั้น ดูสิ ท้องเสด็จแม่เจ้าใหญ่ขนาดนี้ ดูก็รู้ว่ากินเก่ง ถ้าข้าเอาไปไม่ต้องกินจนข้าหมดตัวหรือ?”
เมื่อเด็กน้อยทั้งสามได้ฟังแล้วสีหน้าก็เปลี่ยนไป มองท้องของหยวนชิงหลิงอย่างกังวล ท่าทางเก่งกินมาก
หยวนชิงหลิงกอดพวกเขาทั้งสามแล้วก็หัวเราะพูด “เด็กโง่ เสด็จน้าหกเจ้าพูดเล่นเท่านั้น สมบัติของนาง เราทั้งบ้านห้าคนกินสิบชาติยังกินไม่หมดเลย”
ทังหยวนมุดศีรษะดาหน้าเบียดเข้าไปอยู่ตรงหน้าหรงเยว่ แล้วยื่นมือกอดคอนางแนบหน้าเข้าไปชิด “เสด็จน้าหก หม่อมฉันชอบท่าน ไม่งั้นท่านก็เอาหม่อมฉันกลับไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ?”
หรงเยว่หัวเราะชอบใจ กอดเขาไว้แล้วพูดกับหยวนชิงหลิง “ดูสิ เจ้าตัวเล็กนี่เป็นแมงดาได้นะเนี่ย”
หยวนชิงหลิงหัวเราะพลางส่ายหน้า
พวกเขาหัวเราะครื้นเครงจนถึงจวนอ๋องซุน หมันเอ๋ออุ้มซาลาเปาที่ตัวหนักที่สุดลงรถ ส่วนหรงเยว่ก็จูงคนละข้าง ครั้นแล้วยังหันไปกำชับคนให้ประคองหยวนชิงหลิงลงมาดีๆ อย่าให้หกล้ม
พระชายาซุนกำลังรออยู่ที่ปากประตู เมื่อเห็นหยวนชิงหลิงมาแล้วตกใจกับท้องนาง จากนั้นก็รีบเข้ามากอดนางไว้ น้ำตาคลอ “พระชายารัชทายาท สามารถรอดกลับมาพบเจ้าได้ช่างวิเศษจริงๆ”
น้อยครั้งที่พระชายาซุนจะตื่นเต้นอย่างนี้ กอดไปก็ร้องไห้ไป และไม่สนใจคนที่มองอยู่รอบๆ
หยวนชิงหลิงหัวเราะปล่อยนางออก “อย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งสิ อายุขนาดนี้แล้วไม่กลัวเด็กหัวเราะเยาะเหรอ”
พระชายาซุนเช็ดน้ำตา เมื่อเห็นสามตัวน้อยที่ใช้แววตาตะลึงมองนางแล้วก็อดอายหน้าแดงไม่ได้ “เฮ้อ เป็นข้าเองที่บ่อน้ำตาตื้นเกินไป ขายหน้าพวกเจ้า รีบเข้าไปเถอะ ข้าเตรียมขนมอร่อยๆ ไว้เยอะแยะเลย รอพวกเจ้ามานี่แหละ”
เมื่อได้ยินว่ามีของอร่อย เด็กน้อยทั้งสามก็วิ่งกรูเข้าไปไม่กลัวคนแปลกหน้าอีก หมันเอ๋อก็รีบตามเข้าไปด้วย
พระชายาซุนประคองนางเข้าไปช้าๆ อย่างระมัดระวัง รอบคอบ ถึงเมื่อก่อนก็ดีกับหยวนชิงหลิงอยู่แล้ว แต่หลังจากผ่านเคราะห์เป็นตายครั้งนี้ นางก็เห็นหยวนชิงหลิงเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิต นางเป็นคนแยกแยะบุญคุณความแค้นเสมอ
พอพวกนางทั้งสามเดินเข้าโถงรับรอง พระชายาซุนก็น้ำตาคลออีก “เจ้าไม่รู้ว่าตอนนั้นพวกเราสิ้นหวังขนาดไหน นึกว่าต้องตายที่แคว้นซู่แล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะส่งคนมาอยู่ข้างตัวเราแต่แรก ตอนนี้พอคิดๆ ดูแล้ว เมื่อก่อนข้ายังเคยสงสัยเจ้า แย่จริงๆ เลย”
“เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว ปลอดภัยก็ดีแล้วล่ะ” หยวนชิงหลิงไม่ชินกับนางที่เป็นแบบนี้จริงๆ โผงผางเหมือนเมื่อก่อนยังจะดีกว่า
หรงเยว่ก็พูด “นั่นสิ พวกเราครอบครัวเดียวกัน พูดเหมือนคนนอกอย่างนั้นทำไม?”
พอหรงเยว่เอ่ยขึ้น พระชายาซุนก็หันมาขอบคุณอีก ทำจนนางอีหลักอีเหลื่อ
และที่แปลกที่สุดก็คือ พระชายาซุนควักตั๋วเงินออกมาพับหนึ่ง จะคืนเงินให้หยวนชิงหลิงกับหรงเยว่ หยวนชิงหลิงอ้าปากค้างทันที “หรือว่าที่เจ้าเรียกข้ามาวันนี้เพราะจะคืนเงินให้?”