บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 891 เด็กที่หายตัวไปอย่างฉับพลันนั่น
หยู่เหวินเห้าไม่สนใจเรื่องสติปัญญาความฉลาดที่ถูกพวกเด็กๆกดขี่โดยสิ้นเชิง ไล่ถามเพียงลูกเดียวว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าสามารถควบคุมคนของคุณยายทางนั้นได้หรือไม่?”
ทั้งสามสบตากันครู่หนึ่ง “อันนี้ไม่เคยลองพ่ะย่ะค่ะ สองวันมานี้พวกเราล้วนควบคุมคนที่นี่”
“พวกเจ้ายังเคยควบคุมคนที่นี่ด้วยหรือ?” หยู่เหวินเห้าหรี่ตาลง อยากดุสักครั้งหนึ่งด้วยความเคยชิน แต่เมื่อคิดว่าเวลาไหนแล้ว นั่นก็ล้วนเป็นเรื่องเล็ก “ลองดูว่าสามารถควบคุมคนของคุณยายทางนั้นได้หรือไม่”
“ไม่เคยลองนี่พ่ะย่ะค่ะ ทั้งสามค่อนข้างงุนงง “ไปทางนั้นทำไม? พวกเราก็ไม่รู้จักใครนี่ อีกทั้ง ควบคุมที่นี่ก็ล้วนเป็นหลังจากที่ท่านแม่บอกแล้วพวกเราถึงได้เริ่มทำ น่าสนุกมาก คนเหล่านั้นเห็นแล้วก็วิ่ง กรีดร้องโวยวายเสียงดัง”
“ท่านแม่บอกพวกเจ้าเมื่อไหร่ว่าให้พวกเจ้าควบคุมผู้คน?”
ซาลาเปากล่าว: “ต้องควบคุมคนตาย ก็คือบอกก่อนที่นางจะนอนน่ะพ่ะย่ะค่ะ ควบคุมคนที่มีชีวิตลำบากมาก จะปวดหัวมาก แต่ควบคุมคนตายจะไม่เป็น เวลานอนตอนกลางคืน ก็สามารถใช้ร่างกายของคนอีกผู้หนึ่งออกไปเล่นได้ ข้าก็เคยไปเล่นสองครั้งแล้ว มีครั้งหนึ่งยังต้องปีนขึ้นมาจากใต้ดินด้วย สิ้นเปลืองแรงนักพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบก็มองดูหยู่เหวินเห้าด้วยความภาคภูมิใจ ท่าทางน่าสนุกมากจริงๆเช่นนั้น
หยู่เหวินเห้ากัดฟัน หลังจากนี้ค่อยจัดการ
“ฟังนะ พวกเจ้าลองดูซิว่าขณะที่นอนตอนกลางคืนสามารถไปที่คุณยายทางนั้นได้หรือไม่ จากนั้นหาเจ้าอาวาสให้พบ ถามเจ้าอาวาสว่าสถานการณ์ตอนนี้ของท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง? ต้องการให้พวกเราทำอะไรบ้าง”
ซาลาเปาพยักหน้า “อ๋อ เช่นนั้นพวกเราก็ไปหาคุณยาย แต่ไม่รู้ว่าคุณยายหน้าตายังไง?”
ทังหยวนกล่าว: “ไปหาเสด็จทวด เสด็จทวดรู้ นางบอกว่ายังรู้เลขที่บ้านอีกด้วย เก่งกาจมากนะ”
“ข้าก็รู้ ท่านแม่เคยบอกแล้วนี่” ข้าวเหนียวบอก
“เช่นนั้นคืนนี้พวกเราก็ไป!” ทั้งสามพูดจบรีบปีนขึ้นเตียงนอนอย่างรวดเร็ว
หยู่เหวินเห้ามองดูพวกเขา ลังเลครู่หนึ่ง “สามารถพาพ่อไปด้วยได้หรือไม่?”
ไม่เข้าใจการควบคุมอะไรชนิดนี้ แต่ว่า พวกเด็กๆสามารถไปได้ เขา……โดยคร่าวๆก็อาจจะทำได้ใช่หรือไม่?
“ท่านพ่อท่านทำเป็นหรือ?” ซาลาเปาเบิกตาโตแล้วเอ่ยถาม
“เจ้าสอนข้า!”
“ได้ สอนท่าน” ซาลาเปากล่าว
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสามต่างคนต่างแย่งกันพูดเอาวิชาวิทยาศาสตร์ในชั้นเรียนคืนนั้นของหยวนชิงหลิงพูดออกมาเหมือนกันรอบหนึ่ง หลังจากพูดจบ กล่าวต่อหยู่เหวินเห้า “ก็เป็นเช่นนี้ แค่เช่นนี้ก็ทำได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ”
หยู่เหวินเห้านิ่งเงียบครู่หนึ่ง กล่าวด้วยแววตาเฉยเมย: “พวกเจ้าไปเถอะ พ่อไม่ไปแล้ว”
อะไรเอาคลื่นสมองเปลี่ยนเป็นสัญญาณอะไรเข้าไปปลูกถ่ายที่เรียกว่าก้านสมองอะไรนั่นจากนั้นเป็นอะไรยังไง คนผู้นั้นก็สามารถขยับเดินได้เหมือนคนปกติ ใครจะรู้ว่าพวกเขาพูดเรื่องเรื่อยเปื่อยอะไรล่ะ
พูดซะจนน่ากลัว นี่ไม่ใช่ศพคืนชีพหรือ?
ทั้งสามหลับตาลงนอนแล้ว
หยู่เหวินเห้าก็นั่งอยู่ข้างกายพวกเขา รออย่างจดจ่อ
ซาลาเปาลืมตาข้างหนึ่งขึ้นด้วยความกลัดกลุ้ม “ท่านพ่อ ท่านจ้องอยู่พวกข้านอนไม่หลับ”
หยู่เหวินเห้าอ๋อคำหนึ่ง “เช่นนั้นข้ากลับไป พวกเจ้าใช้เวลานานเท่าไหร่?”
“ไม่รู้สิพ่ะย่ะค่ะ!” ซาลาเปามองดูเขา “ท่านพ่อ ต้องเสาะหาพิกัดให้พบ ต้องมีคนตาย ดีที่สุดคือตายได้ไม่นาน จากนั้นปีนขึ้นมาจากใต้ดินจะได้ไม่ส่งกลิ่นเหม็นพ่ะย่ะค่ะ อีกทั้งต้องให้ความสำคัญกับสนามแม่เหล็ก ไม่ใช่ว่าทุกร่างจะเหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ”
“ทุกวันคนตายมากมายขนาดนั้น” หยู่เหวินเห้าพึมพำ เห็นทั้งสามล้วนจับจ้องเขาอยู่ เหมือนมองคนโง่เช่นนั้น เขาลุกขึ้นมา “ได้ ได้ ข้าออกไป”
ขณะเปิดประตูออกไป ยังได้ยินพวกเขากระซิบกระซาบกัน “ดูท่าทางของท่านพ่อเหมือนจะไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่”
“สมองไม่ค่อยดี”
“เฮ้อ ชั่งทำให้คนเป็นกังวลจริงๆ”
หยู่เหวินเห้าเหลือบมองท้องฟ้าอย่างหมดถ้อยคำจะเอ่ย เขาฉลาดเพียงพอแล้ว ในโลกคนปกติของเขา ได้ไหม?
เขากลับไปเฝ้าหยวนชิงหลิง แต่ก็มักจะกระวนกระวายคิดจะกลับไปดูลูกๆว่าตอนนี้มีคืบหน้าอย่างไร เดินออกไปถึงประตู ก็นึกถึงคำพูดของพวกเขา ก็เดินกลับมาด้านหลังอีกครั้ง ทั้งคืนนี้ เดินไปๆมาๆหลายครั้ง สุดท้ายก็ไม่ได้เข้าไป
กลับไปนอนลง กอดหยวนชิงหลิงเบาๆ มือคลุมอยู่บนช่วงท้องของนาง ยังจำได้ก่อนหน้านี้ตอนที่นางตั้งครรภ์ลูกๆทั้งสาม ในท้องก็เคลื่อนไหวอยู่ทั้งวันจนค่ำ แต่ตอนนี้การไม่เคลื่อนไหวนี้
เขากังวลเป็นอย่างมาก และร้อนใจมาก เป็นความกลัดกลุ้มความปวดใจที่บรรยายไม่ได้
แต่ไหนแต่ไรระหว่างพวกเขาไม่เคยพูดถึงปัญหาของท้องที่สองมาก่อน เพราะว่าท้องแรกก็น่าตกใจเกินไปแล้ว ท้องสองก็ไม่เคยมีความคิด แม้ว่าจะมีการหารืออยู่บ้าง เขาก็จะหยุดหัวข้อสนทนานี้ทันที คิดไม่ถึงว่าตอนนี้จะท้องขึ้นมาโดยตรงแล้ว
“หยวน จะต้องรีบดีขึ้นมา” เขาเริ่มมีความรู้สึกง่วงแล้ว อาจเป็นเพราะจิตใจสงบบ้างแล้ว อย่างไรเสียก็มีเค้าลางเล็กน้อยสามารถคิดวิธีการได้
โรงพยาบาลประชาชนแห่งแรกเมืองก่วง
“หัวหน้าครับ!” มีคนวิ่งเข้าห้องทำงานของหัวหน้าแผนกศัลยกรรมหัวใจอย่างรีบร้อน “วันนี้จางเสี่ยวเสี่ยวคนไข้ที่คุณทำการรักษาฉุกเฉินฟื้นขึ้นมาอย่างกะทันหันตอนที่กำลังส่งไปหอประกอบพิธีฌาปนกิจ ทั้งยังวิ่งอีกด้วย”
หัวหน้าลุกขึ้นมาอย่างฉับพลัน “อะไร? นี่จะเป็นไปได้ยังไงกัน”
“จริงๆครับ ตอนนี้คนของหอประกอบพิธีฌาปนกิจกลับมาถึงโรงพยาบาลแล้ว กำลังอยู่ในห้องทำงานของผู้อำนวยการน่ะครับ”
หัวหน้าตกตะลึงสุดขีด “นี่เป็นไปได้ยังไง?”
คนไข้เป็นเขาที่รับผิดชอบทำการรักษาฉุกเฉินให้บนห้องฉุกเฉิน ขณะที่ส่งเด็กมาก็ไม่มีการเต้นของหัวใจแล้ว ใช้อะดรีนาลีนแล้วและใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจแล้ว แต่ไม่สามารถฟื้นขึ้นมาได้
“ผู้ปกครองล่ะ?” หัวหน้ารีบถาม
“ผู้ปกครอง…….สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทางนั้นเหรอครับ? คงไม่ได้อยู่โรงพยาบาลแล้ว ผมจะติดต่อไปหน่อย”
“ฉันไปห้องผู้อำนวยการ!” หัวหน้าเป็นหมอมาหลายปี ไม่เคยพบเห็นสถานการณ์แบบนี้ ก็งุนงงเป็นอย่างมาก
มาถึงห้องผู้อำนวยการ คนของหอประกอบพิธีฌาปนกิจยังตกใจจนสีหน้าซีดขาว พยายามพูดอย่างเต็มที่ว่า “ก็ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น คนก็ใส่อยู่ในห่อแล้ว ฉับพลันนั้นก็ลุกขึ้นมาพยายามตีด้านหลัง ผมจอดรถลงมาดู เพิ่งจะเปิดประตูหลังรถ เด็กนั่นก็วิ่งลงมาแล้ว วิ่งตลอด ผมตกใจมาก เขาวิ่งไปๆมาๆอยู่ระหว่างท่ามกลางรถที่เนืองแน่น วิ่งเร็วมาก ไม่เหมือนเด็กอายุสามขวบสักนิดเดียว”
“แจ้งความรึยัง?” หัวหน้าเอ่ยถาม
“ยัง……ยังไม่แจ้งน่ะ!”
ผู้อำนวยการรีบแจ้งความ หลังจากแจ้งความแล้วมองดูหัวหน้า “เป็นคุณที่รับผิดชอบการช่วยชีวิตหรือ?”
หัวหน้าสีหน้าซีดเผือด “ใช่ครับ เป็นผมรับผิดชอบ แต่ว่าไม่มีชีวสัญญาณแล้วจริงๆครับ หัวใจหยุดเต้น หยุดหายใจ สมองตาย”
“รีบไปตรวจกล้องวงจรปิดและเคสผู้ป่วยมา จากนั้นก็รายงานหัวหน้าระดับสูง” ผู้อำนวยการก็ไม่เคยประสบกับเรื่องแบบนี้มาก่อน และวิชาการรักษาของหัวหน้าจรรยาแพทย์ของเขาก็เชื่อถือได้ เป็นผู้เชี่ยวชาญของแผนกศัลยกรรมหัวใจ รักษาคนไข้แล้วไม่น้อย
ไม่เกินสองชั่วโมง เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการสุขภาพและผู้เชี่ยวชาญไม่กี่ท่านก็มาถึงโรงพยาบาลประชาชนแห่งแรกแล้ว ตรวจดูกล้องวงจรปิดการรักษาฉุกเฉินพร้อมกัน เคสคนไข้ หมอและพยาบาลที่อยู่ในการรักษาฉุกเฉินมีทั้งหมดสี่คน ล้วนสามารถพิสูจน์และยืนยันคำพูดของหัวหน้าได้
“ศาสตราจารย์หยวน คุณคิดยังไง? จะมีความเป็นไปได้ไหมว่าจะวินิจฉัยชี้ขาดผิดเป็นแสร้งตาย?” เจ้าหน้าที่คณะกรรมการสุขภาพมองไปทางศาสตราจารย์หยวน เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญอาวุโสทางด้านนี้ คำพูดค่อนข้างมีอำนาจ
มือสองข้างของศาสตราจารย์หยวนวางอยู่บนโต๊ะ สีหน้าค่อนข้างเคร่งขรึม “พูดตามจริง ฉันก็ไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้มาก่อน การวินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับการตรวจรักษาก็ถูกต้อง ความเป็นไปได้ที่จะแกล้งตายแทบจะไม่มี เพราะที่เรียกกันว่าแสร้งตายยังต้องมีการเคลื่อนไหวอ่อนๆของหัวใจและลมหายใจ การวินิจฉัยโรคโดยคนสามารถผิดพลาดได้ แต่การตรวจวัดของเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ พิสูจน์และยืนยันแล้วว่าหัวใจหยุดเต้นแล้ว ก้านสมองตายแล้ว ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะแสร้งตาย แน่นอน ความเป็นไปได้ที่เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์จะผิดพลาด……ก็ไม่สามารถพูดได้ว่าไม่มี ได้ตรวจสอบเครื่องมือทางวิทยาศาสตร์แล้วรึยัง?”
ผู้อำนวยการกล่าว: “ตรวจสอบแล้ว เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ปกติครับ”
ศาสตราจารย์หยวนกล่าว: “หาเด็กคนนี้ให้เจอก่อนเถอะ หาเขาเจอแล้ว ถึงจะตรวจดูอีกขั้นหนึ่งได้ว่าเกิดอะไรขึ้น”