บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 901 หยู่เหวินเทียนขโมยของ
หมันเอ๋อเรียกให้ฉี่หลอกับลู่หยาเก็บกวาดลานบ้านด้วยกัน หยู่เหวินเทียนกลับเอาแต่จ้องมองหมันเอ๋อไม่วางตา ลู่หยารู้สึกประหลาดใจมาก แอบกระซิบถามหมันเอ๋อว่า “ทำไมองค์ชายเก้าจึงเอาแต่จ้องมองเจ้า เจ้าไปล่วงเกินอะไรเขาหรือไม่”
หมันเอ๋อหันหน้ากลับไปมองแวบหนึ่ง ยังคงเห็นหยู่เหวินเทียนจ้องมองนางอยู่ อีกทั้งใบหน้ายังเต็มไปด้วยความอึดอัดใจ
หมันเอ๋อเองก็รู้สึกอึดอัดใจมากเช่นกัน ที่จริงหากพูดกันตามความจริง นางนับว่าไม่เคยได้พบหน้าองค์ชายเก้าอย่างแท้จริงสักครั้ง เพียงแค่มองจากที่ไกลๆท่ามกลางฝูงชนครู่เดียวเท่านั้น รู้ว่าเขาคือองค์ชายเก้า นางเองก็เชื่อว่าองค์ชายเก้าก็ไม่เคยพบเจอนางมาก่อน
หยู่เหวินเทียนรู้สึกว่าเอาแต่จ้องมองบ่าวรับใช้คนหนึ่งเช่นนี้ก็ไม่เหมาะสมสักเท่าไหร่ จึงได้เบี่ยงสายตาออกไป เพียงแต่ ความรู้สึกคุ้นเคยที่ผุดขึ้นมาในสมองนั้นปัดไม่ออก
เขาเดินออกไป ในลานบ้านเห็นทังหยวนกับข้าวเหนียวกำลังเล่นอยู่กับหมาป่าหิมะ ลูกตะกร้อลูกหนึ่งถูกส่งไปมา หมาป่าหิมะที่รูปร่างสูงใหญ่กระโจนเข้าไป บึกบึนแข็งแรงราวกับเสือดาวตัวหนึ่ง หยู่เหวินเทียนเห็นแล้วก็รู้สึกตกตะลึงมาก
แม่นมไปเอาของว่างมา เรียกให้เด็กๆไปกิน ทังหยวนกินอย่างมูมมามมาก แม่นมจึงอมยิ้มและเช็ดปากให้เขา “ท่านชายทานช้าๆหน่อย ยังมีอีกมาก”
ทันใดนั้นหยู่เหวินเทียนก็ตบไปที่ศีรษะของตัวเอง “รู้แล้ว รู้แล้วว่านางเหมือนใคร”
“ใครเหมือนใคร”หยู่เหวินเห้ามาถึงข้างหลังเขาพอดี ได้ยินเขาพูดกับตัวเอง ก็ถามขึ้น
ใบหน้าที่อึดอัดใจของหยู่เหวินเทียนมีสีหน้าเข้าใจขึ้นมาทันที พูดยิ้มๆว่า “ก็บ่าวรับใช้คนนั้นอย่างไรเล่า พี่ห้า ท่านยังจำแม่นมฉินได้หรือไม่”
“แม่นมฉิน แม่นมฉินคนไหน”หยู่เหวินเห้าเดินเข้าไปเตะลูกตะกร้อออกไป หมาป่าหิมะก็กระโจนออกไปคาบกลับมาโยนไว้ที่ใต้เท้าของเขา
หยู่เหวินเทียนก็เดินเข้าไปเล่นด้วยกัน เตะทีหนึ่งจนลูกตะกร้อลอยไปไกลมาก “แม่นมฉินก็คือคนที่คอยรับใช้เสด็จแม่ของข้าคนนั้น”
หยู่เหวินเห้านึกขึ้นมาได้แล้ว “จำได้แล้ว บ่าวรับใช้ที่มาจากหนานเจียงคนนั้น พอเจ้าพูดขึ้นมาเช่นนี้ ข้าเองก็รู้สึกว่าเหมือนมาก จมูกโด่ง ดวงตาลึก เพียงแต่อาจเป็นเพราะว่าหน้าตาของคนหนานเจียงค่อนข้างจะโดดเด่นอยู่บ้าง มองแล้วคล้ายคลึงกัน”
สิบปีก่อน หลังจากที่อ๋องหนานเจียงตายไปแล้ว คนหนานเจียงจำนวนมากได้อพยพมาใช้ชีวิตในเมืองหลวง ตอนนั้นเพื่อเป็นการส่งเสริมให้เหล่าคนร่ำรวยและพ่อค้าซื้อตัวคนหนานเจียงเหล่านี้ไว้เป็นบ่าวรับใช้ ฉะนั้นตอนนั้นไท่ซ่างหวงเองก็ได้มีรับสั่งให้วังหลังคัดเลือกคนจำนวนหนึ่ง และได้ส่งอีกจำนวนหนึ่งไปยังจวนอ๋องต่างๆ คนเหล่านี้ล้วนเป็นบ่าวหนานเจียง
เพียงแต่ หลังจากนั้นได้มีบ่าวหนานเจียงสองคนได้บุกเข้าไปในห้องบรรทมของไท่ซ่างหวงด้วยแผนการชั่วร้าย ในวังจึงมีการทำโทษบ่าวหนานเจียงทั้งสองคนนี้อย่างลับๆ และไม่มีการรับบ่าวหนานเจียงเข้ามาในวังอีก
ในตอนนั้นแม่นมฉินไม่ได้ถูกทำโทษ เพราะยังทำหน้าที่รับใช้อยู่ในจวน จากนั้นฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์นางก็ติดตามหลอกุ้ยผินเข้าไปในวัง แต่ว่า หลังจากที่คนเหล่านี้เข้าวังแล้วต้องผ่านสอบสวนอย่างเข้มงวด ในวังต่างก็รู้ถึงที่มาของพวกนางดี ปกติแล้วจะไม่อนุญาตให้ออกนอกวัง ไร้หนทางที่จะติดต่อกับคนภายนอกได้ นับว่าปลอดภัย
“แล้วหลังจากนั้นแม่นมฉินไปไหนแล้ว”หยู่เหวินเห้าถาม
หยู่เหวินเทียนส่ายหน้า “ไม่รู้”
หลังจากหลอกุ้ยผินตายแล้ว คล้ายว่าในวังก็มีการลงโทษบ่าวไพร่ไปหลายคน ไม่รู้ว่านางจะอยู่ในรายชื่อคนที่ถูกลงโทษหรือไม่
ถ้าหากไม่ถูกลงโทษ ส่วนมากจะถูกส่งให้ไปทำงานที่ใช้แรงงานอย่างหนัก ไม่อนุญาตให้เปิดเผย
ตัวหยู่เหวินเห้าไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่ หลังจากที่เล่นกับลูกๆสักพัก ก็กลับไปอยู่เป็นเพื่อนหยวนชิงหลิง
แม่นมฉียกน้ำร้อนเข้ามาเพื่อจะเช็ดตัวให้กับหยวนชิงหลิง หลายวันมานี้ เป็นหยู่เหวินเห้าที่ทำมาตลอด ฉะนั้น เขาไล่แม่นมฉีออกไป ถอดเสื้อของหยวนชิงหลิง เช็ดตัวให้กับนาง
บริเวณหน้าท้องนูนขึ้นค่อนข้างใหญ่แล้ว เขาลูบท้องวนเป็นวงรอบหนึ่ง ในที่สุดก็สัมผัสได้ถึงการเคลื่อนไหวที่คุ้นเคยแล้ว
ชั่วขณะนั้น หัวใจของเขายังคงสั่นไหวอย่างรุนแรงเช่นเคย
เขาคิดว่า เคยผ่านประสบการณ์แฝดสามมาแล้ว คงจะไม่รู้สึกประหลาดใจระคนดีใจมากนัก
แต่ว่า เมื่อรู้สึกได้ว่าลูกกำลังค่อยๆเติบโตอยู่ในท้องของยายหยวน และลูกคนนี้ยังมีชีวิตที่เป็นอิสระด้วยตนเอง เขายังคงมีความรู้สึกชั่ววูบที่อยากจะร้องไห้
“รีบตื่นขึ้นมาเถอะ ทุกคนกำลังรอเจ้าอยู่ นานเกินไปแล้ว ”หยู่เหวินเห้าดวงตาแดงก่ำ จูบที่หน้าผากของนางหนึ่งที จากนั้นก็ขมวดคิ้วขึ้นมา “ผมก็เหม็นเปรี้ยวแล้ว พรุ่งนี้ต้องสระผมให้เจ้าเสียแล้ว”
“ครึ่งเดือนมานี้ ข้าเรียนรู้แล้วว่าจะปรนนิบัติคนอื่นอย่างไร หลังจากลูกคลอดออกมาแล้ว ข้าสามารถอาบน้ำให้นางด้วยตนเอง ป้อนนม พวกเราต้องคลอดลูกสาวจึงจะดี ลูกชายเหนื่อยเกินไป เจ้าดูพวกเจ้าเล่ห์สามคนของพวกเรา โตขึ้นมาคงไม่ธรรมดา”
“แต่ว่านะ ล้วนเป็นลูกที่เราให้กำเนิดมา ไม่สามารถรังเกียจได้ คลอดลูกสาวก็น่ากังวล ภายหน้าเติบใหญ่ต้องแต่งงาน ผู้ชายในใต้หล้านี้ไม่มีดีเลยสักคน ลูกสุดที่รักของพวกเราต้องแต่งงานไปเป็นบ่าวเป็นทาสให้ตระกูลอื่น จะยอมได้อย่างไร แต่ก็ไม่ถูกต้อง เจ้ารู้จักหู่โถวหรือไม่ ก็คือลูกชายของจิ้นถิง ได้ยินจิ้นถิงบอกว่า หู่โถวทั้งเชื่อฟังทั้งฉลาด นิสัยก็คงจะเหมือนกับจิ้นถิง เป็นผู้ชายที่ดีคนหนึ่ง สามารถแต่งงานด้วยได้ และอายุก็เหมาะสมแล้ว ใหญ่กว่าสี่ปีใช่หรือไม่”
เขาพูดพร่ำบ่นไปเรื่อย หลังจากช่วยเช็ดตัวให้นางแล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ จัดการได้อย่างสะอาดเรียบร้อย
“ตอเป่า”เขายกน้ำเอาไว้ เรียกตอเป่าที่หมอบอยู่ข้างเตียงเสียงหนึ่ง “ออกไปเล่น อย่าคิดว่าข้าไม่รู้ว่าเจ้าอาศัยจังหวะที่ไม่มีคนปีนขึ้นไปนอนหลับบนเตียง”
ตอเป่ากลัวเจ้านายผู้ชายที่ดุกว่ามัน ก้มหน้าครางอย่างหดหู่ใจสองเสียง หางลดต่ำลงซุกระหว่างขาเดินออกไป พอไปถึงหน้าประตู ยังคงหันกลับมามองหยวนชิงหลิงแวบหนึ่งอย่างรู้สึกเสียดาย
ผ่านไปสองวันหลังจากที่มีการจัดการตำแหน่งแม่ทัพอย่างเหมาะสมมั่นคงแล้ว ฮ่องเต้หมิงหยวนได้มีการจัดงานเลี้ยงฉลองผลงานขึ้น หยู่เหวินเห้าที่เป็นแม่ทัพอย่างไรเสียก็ต้องเข้าวังเพื่อรับการชื่นชมจากฮ่องเต้หมิงหยวนอีกครั้ง
งานเลี้ยงถูกจัดขึ้นในช่วงพลบค่ำ หยู่เหวินเห้าต้องเข้าวังไปพร้อมกับหยู่เหวินเทียนก่อน เพราะยังต้องติดตามฮ่องเต้หมิงหยวนไปกราบไหว้บรรพบุรุษ
ฉะนั้นหยู่เหวินเห้าจึงได้พูดคุยกับฮ่องเต้หมิงหยวนอยู่ชั่วครู่ เมื่อผ่านยามอู่(11.00น.-13.00น.)ก็เปลี่ยนเป็นชุดที่ดูเรียบร้อย ชุดราชสำนักที่อยู่บนร่างทำให้ดูหล่อเหลาไม่ธรรมดา ชื่นชมความงามของตนเองในกระจกอยู่ชั่วครู่ จากนั้นก็หันหน้าไปมองหยวนชิงหลิง “เสียดายที่เจ้าไม่ได้เห็นความภาคภูมิใจของข้าในวันนี้ คืนนี้ข้าจะกลายเป็นจุดสนใจ ”
ในหัวใจของเขารู้สึกหดหู่อยู่บ้าง ในขณะที่เขากำลังประสบความสำเร็จในการปกป้องประเทศชาติ สิ่งที่คิดคำนึงทุกคืนวัน ก็คือหวังว่าจะได้แบ่งปันความดีความชอบกันนาง
ฉะนั้นเขาเข้าใจความคิดของหยู่เหวินเทียนเป็นที่สุดที่คิดว่าจะแบ่งเงินห้าร้อยตำลึงให้กับน้องแปด ลูกผู้ชาย ความเจ็บปวดสามารถแบกรับไว้เองได้ แต่ว่าความสำเร็จและความยินดีต้องมีคนร่วมแบ่งปัน ไม่เช่นนั้นก็ไร้ซึ่งความหมาย
เขาจูบไปที่หน้าผากของหยวนชิงหลิงทีหนึ่ง “ข้าจะไม่ดื่มจนเมา รอข้ากลับมานะ ”
สายตาอาลัยอาวรณ์ จ้องมองไปยังขนตาที่งอนยาวอย่างนิ่งๆ รู้สึกตกใจกับเวลาที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว พวกเขาอยู่ด้วยกันเกือบจะสี่ปีแล้ว
สี่ปี แค่พริบตาเดียวก็ผ่านไปแล้ว พริบตาเดียวเท่านั้น
เขายกชุดยาวขึ้นและหมุนร่าง จากไปอย่างรู้สึกเสียดาย
เจ้าห้าเพิ่งจะจากไปได้ประมาณครึ่งชั่วยาม คนในวังก็มาถึง
คนที่มาเป็นแม่นมที่มีหน้าที่รับผิดชอบในวังของฮองเฮา ยังพาทหารรักษาพระองค์มาด้วยหลายนาย บอกว่าอ๋องชินชุนได้ขโมยของขององค์ชายแปดไป ให้เขานำมาคืน
เพราะมีคนในวังมา และยังมาเพราะหยู่เหวินเทียน ฉะนั้นทังหยางจึงรีบไปเชิญตัวหยู่เหวินเทียนออกมา
หยู่เหวินเทียนคิดไม่ถึงว่าฮองเฮาจะส่งคนมาหาถึงจวนอ๋องฉู่ แม้ว่าจะมีชีวิตความเป็นอยู่ในวังค่อนข้างคับอกคับใจตั้งแต่เล็ก แต่ก็ระวังตัวมาตลอด ไม่มีทางไปล่วงเกินฮองเฮา ด้วยเหตุนี้การถูกฮองเฮาหาเรื่องอย่างครึกโครมเช่นนี้ยังเป็นครั้งแรกที่ประสบพบเจอ
และยังนำทหารรักษาพระองค์มาด้วย นี่ทำเอาเขาอดที่จะตะขิดตะขวงใจไม่ได้
ตามสวีอีมาถึงโถงรับรอง เผชิญหน้ากับคำถามของแม่นมผู้ดูแลรับผิดชอบ เขาอ้ำอึ้งอยู่ชั่วครู่ จึงพูดอธิบายขึ้นมาว่า “นั่นไม่ใช่การขโมย เป็นพี่แปดที่มอบให้ข้า ”
แม่นมที่ดูแลรับผิดชอบย่อคำนับ เอ่ยด้วยสายตาไร้ความรู้สึกว่า “อ๋องชินชุนพูดเช่นนี้ หมายความว่าฮองเฮาทรงใส่ร้ายท่านอย่างนั้นหรือ”