บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 906 หาที่อยู่ของแม่นมฉิน
ซาลาเปาเล่าผลสรุปที่ฟางหวูได้ทำการตรวจวินิจฉัยทั้งหมดกับร่างกายของนางเมื่อคืนนี้ในสถาบันวิจัย “เจ้าอาวาสบอกว่า เล่าให้ท่านฟังแล้วท่านก็จะรู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
หยู่เหวินเห้ามองหยวนชิงหลิง “เจ้ารู้หรือว่ามันเป็นเรื่องอะไร”
หยวนชิงหลิงมองเขา อ้าปากพูด “เรื่องนี้……”
“เจ้าแค่พูดผลสรุปก็พอ ผลสรุปแล้วดีหรือไม่ดี ”เขารู้จักตัวเองดี เรื่องคลื่นไฟฟ้าเหล่านั้นเขาไม่เข้าใจ
หยวนชิงหลิงพูดว่า “ดูจากภายนอกแล้ว ผลสรุปคือดี แต่ว่า ต้องดูการสังเกตการณ์ในระยะต่อไปด้วย”
“ สังเกตการณ์อะไร”หยู่เหวินเห้าถาม
“สังเกตดูว่ายังคงมีการเกิดใหม่เรื่อยๆหรือไม่ ”ในใจของหยวนชิงหลิงรู้สึกตื่นตระหนกอยู่บ้าง ปฏิกิริยาแรกก็คือไม่ว่าตัวเองจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกหรือไม่ การวิจัยนี้ไม่สามารถทำต่อไปได้อีกแล้ว เพราะว่าสถานการณ์อาจควบคุมไม่ได้
“เจ้าอาวาสยังพูดอะไรอีก”หยวนชิงหลิงถามซาลาเปา
“นางถามว่าท่านยังมีอะไรที่เก็บไว้ไม่ได้บอกนาง นางจะทำการวิจัยพัฒนาต่อไป”
หยวนชิงหลิงส่ายหน้า“เจ้าไปบอกนาง ไม่มีแล้ว ทุกสิ่งล้วนอยู่ในแฟ้มข้อมูลของข้า ยังมี ให้นางหยุดการวิจัยทั้งหมด อย่าทำต่อไปอีก ไม่เช่นนั้นจะควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ ”
บางที การค้นคว้าต่อไปสามารถทำให้สมองของมนุษย์ก้าวหน้าขึ้นไปอีกขั้น ครั้นแล้วจะทำให้อารยธรรมมีความก้าวหน้าอย่างยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีกขั้น แต่ว่า บนโลกใบนี้ ไม่สามารถมีคนที่ฉลาดมากเกินไป จะเสียความสมดุล
นางเริ่มจะเสียใจที่ทำไมตัวเองต้องเริ่มการศึกษาวิจัยเรื่องนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องส่วนตัว ทุกสิ่งที่ทำอยู่ ให้หยุดลงเพียงเท่านี้
หยู่เหวินเห้ากับซาลาเปาต่างก็มองตากันแวบหนึ่ง สีหน้าของนางไม่ดีเลย สองพ่อลูกอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นห่วงขึ้นมา
เก็บอารมณ์ทั้งหมดกลับมา เดินทางเข้าวัง
ไท่ซ่างหวงยังคงนั่งอยู่บนบันไดหิน เพียงแต่ไม่มีฉางกงกงคอยรับใช้อยู่ข้างกายแล้ว เขาเองก็ไม่อนุญาตให้ใครมาทำหน้าที่ในตำแหน่งของฉางกงกงทั้งนั้น บนโต๊ะเตี้ยตัวหนึ่งไว้วางน้ำชาเอาไว้ แต่เย็นชืดไปนานแล้ว ฝูเป่าหมอบที่อยู่ใต้ขา มองดูลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดใบไม้แห้งที่ร่วงหล่นอยู่กับพื้น สูบกระบอกยาสูบ
เป็นพวกเด็กๆที่วิ่งเข้ามาก่อน จากนั้น หยู่เหวินเห้าก็จูงมือหยวนชิงหลิงเดินเข้ามา
ไท่ซ่างหวงเบิกตากว้างมองดูเป็นเวลานาน ดวงตาที่ลู่ลงคู่นั้นจากที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาก็มีประกายแห่งเปลวไฟผุดขึ้นมาเล็กน้อย ประกายไฟนั้นได้ครอบคลุมความเปียกชื้นในดวงตา ด้วยจิตใต้สำนึกจึงเอากระบอกยาสูบยัดไว้ใต้โต๊ะชา เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไร้ร่องรอย
ดวงตาของหยวนชิงหลิงร้อนผ่าว เดินเข้าไปคุกเข่าลงกับพื้น โขกศีรษะคำนับกับพื้นให้กับไท่ซ่างหวงอย่างมีมารยาทสามครั้ง จากนั้นก็พูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “เสด็จปู่ ข้ากลับมาแล้ว”
หยู่เหวินเห้าสงสารภรรยาที่เพิ่งจะฟื้นขึ้นมาร่างกายยังคงอ่อนแอ ยื่นมือไปประคองนางลุกขึ้น “ต่อหน้าเสด็จปู่ ไม่ต้องมากพิธี พื้นเย็นมาก อย่าคุกเข่าอยู่เลย”
ไท่ซ่างหวงกลอกตาทีหนึ่ง ไม่อยากเห็นเจ้าคนไม่เอาไหนอย่างนี้ กางแขนออกกอดเด็กๆเอาไว้ รอยยิ้มที่หายไปนานมากแล้วกลับคืนสู่ใบหน้าอีกครั้ง เรียกเด็กๆว่าเหลนรักทุกคน ดูคล้ายกับไทเฮาคนก่อนอยู่หลายส่วน
รอให้เอะอะกันอยู่ชั่วครู่ หยู่เหวินเห้าก็ออกคำสั่ง ให้เด็กๆไปเล่นกับเสด็จปู่ของพวกเขา พวกเขาสองสามีภรรยาได้ประคองไท่ซ่างหวงเข้าไปด้านใน
ไท่ซ่างหวงจับข้อมือของหยวนชิงหลิงไว้แน่น ในปาก็พึมพำขึ้นมาคำหนึ่งว่า “กลับมาก็ดีแล้ว”
หยวนชิงหลิงได้กลิ่นบุหรี่ มีความรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ฉางกงกงยังคงอยู่ในตำหนักบรรทมของไท่ซ่างหวง ได้มีการจัดเตรียมเตียงอีกหลังหนึ่งเอาไว้ให้เขา คนแก่สองคนได้อยู่เป็นเพื่อนกันเช่นนี้ทุกคืน
ฉางกงกงพูดไม่ค่อยได้ ปากเบี้ยว ตอนที่เห็นหยวนชิงหลิง ดวงตาที่ขุ่นมัวมีน้ำตาไหลพรากออกมาไม่หยุด พยายามพยุงร่างท่อนบนให้ลุกขึ้นมา อยากจะพูดจา แต่ก็พูดไม่ออก
หยวนชิงหลิงรีบกดไปที่ไหล่ของเขา “กงกง รีบนอนลงเถอะ”
ริมฝีปากของฉางกงกงขมุบขมิบ แววตาจดจ่อด้วยความยินดี
หยวนชิงหลิงนำกล่องยามาด้วย ช่วยตรวจร่างกายฉางกงกงสักครู่ ก่อนหน้านี้ได้มองข้ามฉางกงกงมาตลอด ไม่รู้ว่าความดันของเขาค่อนข้างสูง นางรู้สึกหงุดหงิดโมโหในใจมาก
“สามารถยืนขึ้นได้หรือไม่”ไท่ซ่างหวงถาม
หยวนชิงหลิงเอาเครื่องฟังเสียงหัวใจออก พูดว่า “พรุ่งนี้ข้าจะเชิญฮูหยินเฒ่าเข้าวังสักครั้ง นางค่อนข้างจะเชี่ยวชาญวิชาฝังเข็ม สามารถลองฝังเข็มดู ข้าจะให้ยาบางส่วนเพื่อทำการรักษาร่วม ความเป็นไปได้ที่จะลุกขึ้นยืนได้อีกครั้งไม่ใช่ไม่มี อาการของเขาไม่นับว่าร้ายแรงมาก ”
“ได้ยินหรือยัง ข้าว่าแล้ว เจ้าไม่เป็นไรหรอก”ไท่ซ่างหวงได้ยินคำพูดของหยวนชิงหลิงแล้ว ก็รีบเอ็ดฉางกงกงทันที
ฉางกงกงยิ้มทั้งที่ปากเบี้ยว ราวกับเด็กน้อยคนหนึ่ง
หยวนชิงหลิงแอบถอนหายใจกับตัวเองเฮือกหนึ่ง ที่จริงอาการของฉางกงกงไม่ค่อยดีนัก ที่สำคัญคืออายุมากแล้ว การทำงานระบบต่างๆของร่างกายค่อยๆเสื่อมถอยลงไป แน่นอนว่า การยืนขึ้นมาได้อีกครั้งไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าเป็นคนที่ฝึกวรยุทธ เพียงแต่ อายุของเขาปูนนี้แล้ว ต้องได้รับความลำบาก และลำบากไม่น้อยทีเดียว
คำพูดของหยวนชิงหลิงราวกับเป็นหลักประกัน ทำให้ไท่ซ่างหวงกับฉางกงกงรู้สึกดีใจขึ้นมาทันที
หลังจากนั้นหยวนชิงหลิงก็พูดคุยเป็นเพื่อนกับไท่ซ่างหวงอยู่นานกว่าจะกลับ ก่อนจะจากกัน ไท่ซ่างหวงก็เรียกนางเอาไว้อย่างกะทันหัน “พรุ่งนี้มาอีกนะ”
หยวนชิงหลิงหันหน้ากลับไปมองสายตาที่วิงวอนของเขา รู้สึกปวดใจเล็กน้อย รีบรับคำว่า “พรุ่งนี้จะมาอีก”
ไท่ซ่างหวงจึงยิ้มออกมา
รอยยิ้มนี้ส่งมาอย่างรวดเร็วไม่ทันตั้งตัว หยวนชิงหลิงแทบจะไม่เคยเห็นรอยยิ้มที่สดใสเช่นนี้ของเขามาก่อน ดวงตาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที รีบหันหน้ากลับไปเดินอย่างรวดเร็วออกจากประตูตำหนัก
“ไท่ซ่างหวงแก่ตัวลงไปมาก”เดินออกไปแล้ว ทันใดนั้นหยู่เหวินเห้าก็ถอนหายใจและพูดออกมา
“ใช่ ”หยวนชิงหลิงมองแสงแดดที่สาดส่องอยู่บนหลังคากระเบื้องเคลือบสีทองอร่าม ในวังหลวงแห่งนี้ วันเวลายาวนาน เวลาราวกับหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว แต่ คนในวังกลับแก่ชราลงไปทุกวัน
ทั้งสองคนไปน้อมคำนับฮ่องเต้หมิงหยวน พวกเด็กๆได้เล่าให้ฮ่องเต้หมิงหยวนฟังแล้วว่าแม่ของพวกเขาตื่นขึ้นมาแล้ว ฮ่องเต้หมิงหยวนเรียกให้หวงกุ้ยเฟยและฮู่เฟยเข้ามา ทุกคนต่างพูดคุยกันอย่างยินดีอยู่ครู่ใหญ่ บรรยากาศแห่งครอบครัวราชวงศ์ที่รักใคร่กลมเกลียวกัน
ตอนที่เดินทางกลับ หยู่เหวินเห้าก็นึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้อย่างกะทันหัน พูดคุยเป็นการส่วนตัวกับหวงกุ้ยเฟยว่า “เสด็จแม่ ท่านช่วยตามหาแม่นมคนหนึ่งที่ชื่อว่าแม่นมฉินให้หน่อย เป็นบ่าวหนานเจียงที่เคยรับใช้ข้างกายหลอกุ้ยผินมาก่อน”
หวงกุ้ยเฟยพูดว่า “ตอนนั้นคนข้างกายของหลอกุ้ยผิน ถ้าไม่ได้รับโทษ ก็ต้องเนรเทศให้เป็นบ่าวรับใช้ไปทำงานที่ใช้แรงงานหนัก แม่นมฉินคนนั้นข้าเองก็จำได้บ้างเล็กน้อย ให้คนค้นหาเสียหน่อยก็คงจะหาเจอ หานางมีเรื่องอะไรหรือไม่”
หยู่เหวินเห้าไม่ได้พูดกับนางมากมาย เพียงแต่บอกว่า “เป็นน้องเก้าที่ต้องการตามหา เขาบอกว่าเมื่อก่อนแม่นมฉินคนนี้เคยปรนนิบัติรับใช้เขา ตอนนี้เขาออกจากวังไปอยู่ในจวน อยากจะพาคนเก่าแก่บางส่วนออกไปอยู่ด้วย”
“เช่นนั้นก็ดี ข้าจะจัดการให้ ”หวงกุ้ยเฟยเป็นคนที่มีน้ำใจมาก รับปากตอบตกลงทันที
“ขอบพระทัยเสด็จแม่ ”หยู่เหวินเห้าประสานมือขึ้นมา “ถ้าหากหาเจอแล้ว ท่านช่วยส่งคนไปบอกข้าด้วย”
“พอแล้ว รีบไปเถอะ”หวงกุ้ยเฟยพูดด้วยรอยยิ้ม
ทั้งครอบครัวห้าคนกล่าวลาจากไป ออกจากวังแล้ว หยวนชิงหลิงถามว่า “แม่นมฉินคนนั้นเป็นใครกัน ”
“น้องเก้าอาศัยอยู่ในจวนของพวกเรา บอกว่าเห็นหมันเอ๋อแล้วรู้สึกคล้ายคลึงกับแม่นมฉินคนนั้นมาก แม่นมฉินกับหมันเอ๋อต่างก็เป็นคนหนานเจียง ฉะนั้นข้าจึงคิดว่าทั้งสองคนมีความเกี่ยวข้องกันหรือไม่ บวกกับก่อนหน้านี้เจ้าเคยให้คนไปสืบประวัติของหมันเอ๋อ ทางด้านเสี้ยวหงเฉิงก็ส่งข่าวกลับมา บอกว่าเป็นไปได้ที่หมันเอ๋อนั้นจะเป็นคนที่ออกมาจากจวนอ๋องหนานเจียง มีเพียงเรื่องที่ว่าเกี่ยวข้องกับอ๋องหนานเจียงหรือไม่เท่านั้น ที่ยังคงสืบอยู่ ”
“จวนอ๋องหนานเจียง ”หยวนชิงหลิงไม่ค่อยเข้าใจประวัติศาสตร์ในของหนานเจียงเท่าไหร่ ถามขึ้นว่า “นี่ท่านกำลังสงสัยว่าหมันเอ๋อเป็นลูกสาวของอ๋องหนานเจียงหรือว่านางเป็นบ่าวที่เคยอยู่ในจวนมาก่อนอย่างนั้นหรือ แต่ว่าอ๋องหนานเจียงตายไปเป็นเวลาสิบกว่าปีแล้ว เป็นไปได้อย่างไรที่หมันเอ๋อจะเป็นบ่าวอยู่ในจวนอ๋องหนานเจียง”
หยู่เหวินเห้าคาดเดา “เป็นลูกของบ่าวในจวน หรือบางทีจะเป็นลูกสาวโดยสายเลือดหรือหลานสาว ฐานะที่แท้จริง ต้องให้เสี้ยวหงเฉิงสืบต่อไปจึงจะรู้ได้”