บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 919 ขอพระชายารัชทายาทไปช่วยสู่ขอ
สวมชุดข้าราชการ หัวเราะอย่างไม่เห็นฟันไม่เห็นดวงตา แล้วก็กระโดดโลดเต้นจากไปเช่นนี้
สวีอี ยังคงเป็นสวีอีคนนั้น
หยวนชิงหลิงจัดการเงินประทานให้กับเขา ขอบคุณคนที่มาจากในวัง และยังเชิญทานข้าวหนึ่งมื้อ
โสวฝู่ฉู่จูงมือแม่นมสี่เดินอยู่ภายใต้แสงแดดฤดูใบไม้ร่วง ภายในลานจวนอ๋อง ดอกเบญจมาศในฤดูใบไม้ร่วงบานสะพรั่ง ดอกไม้สีชมพูอมม่วงเกาะอยู่บนกำแพงอย่างเงียบๆ ดอกโบตั๋นที่ท่านชายสี่เหลิ่งมอบให้ ช่วงนี้ก็กำลังดูดี รอผ่านไปอีกสักพัก จะเบิกบานให้เห็นเต็มสวน
ทั้งสองคนนั่งลงในศาลา เขามองดูทะเลสาบที่ยับย่น เพราะถูกลมฤดูใบไม้ร่วงพัดอยู่ไกลๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “ตอนนั้น หากข้ากล้าสู่ขอเจ้าต่อหน้าท่ามกลางผู้คน เจ้าจะยอมตกลงไหม?”
หวนคิดถึงเรื่องที่ผ่านมา ภายในใจก็มักจะเจ็บปวด แม่นมสี่ส่ายหัวเบาๆ พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่รู้เหมือนกัน ช่างอยากที่จะหวนคืนกลับไปได้อีกสักครั้ง ข้าก็จะรู้คำตอบแล้ว”
“เคยเสียใจไหม?” โสวฝู่ถามขึ้นอย่างเป็นทุกข์
“เสียใจอยู่ตลอดเวลา แต่ตอนนั้น ไม่มีทางเลือก ทุกคนต้องเห็นแก่อำนาจสถานการณ์ ต้องตัดสินใจกระทำบางอย่างอย่างเลือกไม่ได้”
แม่นมสี่ก้มหน้าลง วันคืนที่เสียใจพวกนั้น ทรมานนางมานานมากแล้ว แต่เมื่อหวนคิดถึงแล้วก็สามารถทำอะไรได้ล่ะ?
ตอนนั้นถึงแม้เขาจะเป็นคุณชายจวนฉู่ แต่อยู่ในจวนอย่างไม่โดดเด่น เพิ่งจะได้เชิดหน้าชูตา ก็ถูกฮูหยินใหญ่กดดัน คนที่เขาจะต้องแต่งงานด้วย จะต้องเป็นคุณหนูตระกูลสูงส่งที่เหมาะสมกัน
โสวฝู่พยักหัว ตอนนั้น ทุกคนต่างก็ทุกข์ทรมานมาก มีชีวิตอยู่ก็ทุกข์ทรมาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่จะได้เชิดหน้าชูตา
ตอนนี้ เขาเป็นถึงโสวฝู่ อยู่ภายใต้คนคนหนึ่งอยู่เหนือคนนับหมื่น ไม่ใช่เด็กขยะที่ถูกรังแกและดูถูกอีกต่อไป เขาฝันฝ่าประสบความสำเร็จในชีวิตมาได้ แต่ชั่วชีวิตของเขานี้ ผ่านมาได้อย่างไม่มีความสุข
มีเหตุผลบางประการ บางทีจนถึงแก่แล้วถึงจะเข้าใจ
“ตอนนี้องค์ชายรัชทายาท ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ไม่นาน ข้าก็จะเกษียณตัวเอง ต่อไปจะมีเวลาอยู่กับเจ้ามากขึ้น” เขาพูดขึ้น
แม่นมสี่อมยิ้มพร้อมพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ดี”
“ช่วยลูกเลี้ยงหลาน” เขาพูดขึ้นมา
“หา?” แม่นมสี่อึ้งไปสักพัก พร้อมมองดูนาง
โสวฝู่อมยิ้มอย่างเรียบเฉยพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าเห็นพระชายารัชทายาทเป็นเหมือนลูกสาวไม่ใช่หรือ? งั้นลูกที่นางคลอด ก็ถือว่าเป็นหลานของเจ้า”
“สถานะลำดับนี้…” แม่นมสี่หัวเราะขึ้นมา
“เป็นเช่นนั้นจริง….นางคลอดมาหลายคนนี้ ล้วนเป็นคนมีบุญวาสนา ช่างน่าอิจฉา” โสวฝู่พูดขึ้น
แม่นมสี่พูดขึ้นอย่างภาคภูมิใจว่า “ใช่ คนของจวนอ๋องฉู่ มีใครธรรมดาบ้าง?” ตอนนี้แม้แต่สวีอีก็ได้ดิบได้ดีแล้ว ในใจของข้าดีใจอย่างมาก เด็กๆพวกนี้ ต่างคนต่างมีความสามารถ ต่อไปแผ่นดินนี้ก็เป็นของพวกเขาแล้ว
โสวฝู่พยักหัว สีหน้าแสดงถึงความพอใจอย่างมาก ควรที่จะเป็นเช่นนี้ คนแต่ละรุ่นของแผ่นดิน ล้วนมีความสามารถ
ผ่านไปสองวัน สวีอีจะไปสู่ของแล้ว เขามาหาหยวนชิงหลิง ขอให้หยวนชิงหลิงออกหน้าไปสู่ขอให้เขา
หยวนชิงหลิงประหลาดใจอย่างมาก พร้อมพูดขึ้นว่า “สวีอี เรื่องนี้ควรที่จะให้แม่ของเจ้าออกหน้าจะดีกว่าไม่ใช่หรือ ข้าจะช่วยไปสู่ขอให้เจ้าได้อย่างไรล่ะ?”
สวีอีพูดขึ้นว่า “ได้สิ พระชายารัชทายาท ตอนนี้ถึงแม้ข้าน้อยจะเป็นขุนนางแล้ว แต่ก็ยังเป็นขุนนางภายใต้องค์ชายรัชทายาท ท่านเป็นเจ้านายของข้า ท่านสามารถไปสู่ขอพร้อมกับข้าได้”
“แต่….” หยวนชิงหลิงคิดถึงเจ้าห้าเคยพูดถึงเรื่องที่บ้านของเขา จึงลองถามขึ้นว่า “แม่ของเจ้าไม่สะดวกที่จะออกหน้าหรือ? เรื่องที่เจ้าได้รับตำแหน่งแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง ได้บอกพวกเขาหรือยัง?”
สวีอีลังเลสักพัก พร้อมพูดขึ้นว่า “กลับไปแล้ว ยังไม่ทันได้พูดเรื่องนี้ แค่พูดเรื่องที่จะแต่งงาน ความหมายของพวกเขาก็คือ รู้สึกว่าข้าน้อยค่อนข้าง….. ค่อนข้างหวังสูงเกินไป ท่านแม่คิดว่าถ้าไปสู่ขอแล้วจะเป็นที่อับอาย จึงไม่ยอมไป”
หยวนชิงหลิงมองดูเขาพูดอ้ำอึ้ง คิดว่าคำพูดเดิมของแม่เขา ไม่ฟังดูสวยงามเช่นนี้แน่ คงพูดประมาณว่าคางคกอยากกินเนื้อห่านฟ้าแน่
“สวีอี ข้าไม่รู้ว่าข้าไปสู่ขอแล้วจะเหมาะสมไหม ข้าถามใต้เท้าทังก่อนดีไหม?” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
สวีอีนึกว่าหยวนชิงหลิงไม่ยินยอมออกหน้า จึงรีบพูดขึ้นว่า “พระชายารัชทายาท ท่านวางใจ ของที่ต้องซื้อในการไปสู่ขอ ข้าแม่สื่อ ยังมีซองแดงที่จะต้องให้นั้นข้าน้อยล้วนเป็นคนจ่าย จะไม่ให้พระชายารัชทายาทออกเงินเลย”
หยวนชิงหลิงมองดูเขายังประหลาดใจ พร้อมพูดอธิบายว่า “สวีอี ข้าไม่ได้หมายความเช่นนี้ ข้าไม่ได้ขาดแคลนเงินทอง เพียงแต่ข้าคิดว่าเรื่องงานแต่งงาน ความสำคัญกับความเห็นชอบของพ่อแม่ เจ้ายังมีพ่อแม่อยู่
หากตอนสู่ขอแล้วไม่มีผู้อาวุโสในตระกูลออกหน้า ข้ากลัวว่าฮูหยินใหญ่ จะเห็นว่าเจ้าไม่ให้ความเคารพ ยังไงหากเป็นครอบครัวทั่วไปบางทีให้แม่สื่อไปถามก็พอแล้ว แต่ทางด้านตระกูลหยวนมีกฎระเบียบ เป็นตระกูลใหญ่โต เราจะต้องทำตามกฎธรรมเนียมของคนอื่น ถูกไหม?”
สวีอีก้มหน้าลง พร้อมพูดขึ้นว่า “งั้น…..ท่านถามใต้เท้าทังก่อน ข้าเองก็ไม่รู้ว่าธรรมเนียมพวกนี้ควรที่จะทำอย่างไร เหมือนอย่างที่ท่านพูด หากฮูหยินใหญ่คิดว่าข้าไม่ให้ความเคารพ ก็จะไม่ค่อยดี”
หยวนชิงหลิงพยักหัว พร้อมพูดขึ้นอย่างอ่อนโยนว่า “ได้ ข้าจะรีบถามใต้เท้าทัง เจ้าวางใจได้ พวกเราจะต้องคิดหาวิธีช่วยเจ้าให้ได้แน่”
“ขอบพระคุณพระชายารัชทายาท” สวีอีมองดูนางอย่างตื้นตัน แต่แววตาก็แฝงไปด้วยอารมณ์ที่ยากจะพูด
ก่อนหน้านี้หยวนชิงหลิงเห็นว่า สวีอีเป็นคนที่เรียบง่ายโปร่งใสคนหนึ่ง มองดูก็รู้ว่าคิดอะไร ในใจเก็บงำอะไรไว้ไม่ได้ เรื่องใหญ่ดั่งเข็มก็เอะอ่ะไปทั่วทั้งจวน
แต่ตอนนี้ เขามีเรื่องในใจแล้ว
นางใช้ให้หมันเอ๋อไปตามทังหยางมา แล้วก็เล่าเรื่องของสวีอีให้เขาฟัง
ทังหยางฟังเสร็จ เงียบไปสักพักแล้วพูดขึ้นว่า “ที่จริงจะพูดอย่างไรล่ะ? จากสถานะแล้ว ตอนนี้ต่อให้สวีอีเป็นขุนนางแล้ว ก็ไม่เป็นที่เหมาะสม เรื่องภายในตระกูลของเขา ข้าน้อยรู้ไม่มาก แต่ก็พอได้ยินมาบ้าง พ่อของเขาเป็นขุนนางขั้นที่เจ็ดเล็กๆ เงินเดือนไม่เยอะ แม่เลี้ยงของเขาชอบเอาหน้า ความสามารถมีไม่มาก
แต่ใช้จ่ายมาก เงินของสวีอีหลายปีมานี้ล้วนให้ที่บ้านใช้ ช่วงก่อนหน้านี้ได้ยินเขาพูดว่า น้องค์ชายของเขาจะแต่งงาน ให้สวีอีย้ายห้องออกมา บอกว่าไม่พออาศัยอยู่ ดังนั้นจะว่าไปแล้ว ตอนนี้สวีอีไม่มีแม้แต่บ้าน เขาแต่งงานแล้ว ยังจะให้อาศัยอยู่ในจวนอ๋องหรือ? ต่อให้อะซี่ยอม ทางด้านตระกูลหยวนจะยอมหรือ?
ตอนที่สวีอีขออะซี่แต่งงาน คงจะไม่ได้คิดไกลขนาดนั้น”
หยวนชิงหลิงคิดไม่ถึงว่า สถานการณ์ที่บ้านของสวีอีจะเป็นแบบนี้ นางขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “อย่าว่าแต่เขา ข้าเองก็ไม่ได้คิดไกลขนาดนั้น การแต่งงานกัน เรือนหอยังไงก็ต้องมี จะให้ตระกูลหยวนหาจัดเตรียมบ้านไม่ได้ ไม่เช่นนั้นต่อไปสวีอีจะสู้หน้าตระกูลหยวนยังไง?”
ทังหยางพูดต่อว่า “ยังมี ให้ท่านไปสู่ขอ เรื่องนี้ใช่ว่าไม่ได้ เพียงแต่ เขามีพ่อแม่ ยังไงก็ต้องถามความเห็นชอบของพ่อแม่เขาก่อน ท่านพาแม่สื่อไปเสียอย่างนี้ จะเป็นการค่อนข้างไม่ให้เกียรติตระกูลหยวน กับพ่อแม่ของสวีอี จริงดูไม่ค่อยดี”
หยวนชิงหลิงก็รู้หลักการนี้ แต่ก็พูดขึ้นว่า “งั้นตามที่ท่านเห็น ควรทำอย่างไร?”
“มีสองอย่าง อย่างที่หนึ่ง จัดเตรียมสร้างเรือนหอ อย่างที่สอง หากพ่อแม่ของเขาไม่ยอมออกหน้าจริงๆ สามารถถามความเห็นของพวกเขา โดยให้ท่านออกหน้า ดูสิว่าแบบนี้ได้ไหม”
หยวนชิงหลิงพยักหัว ถอนหายใจพร้อมพูดขึ้นว่า “งานแต่งงานสวีอี ที่จริงข้าเพิ่งคุยกับเจ้าห้า อีกอย่างกว่าเขากับอะซี่จะได้รักใคร่กัน สามารถได้อยู่ด้วยกันจะดีที่สุด เรื่องเรือนหอข้าคุยกับเจ้าห้าก่อน แล้วให้แม่นมฉีไปบ้านตระกูลสวี ถามความเห็นของใต้เท้าสวี หากใต้เท้าสวีไม่คัดค้าน เรื่องนี้ข้าจะเป็นคนออกหน้า ต้องเตรียมของอะไรบ้าง ข้าให้แม่นมสี่ไปจัดการ หาแม่สื่อมาเป็นแม่สื่อหนึ่งคน ก็เรียบร้อยแล้ว”
“หากท่านไป งั้นก็ไม่ต้องหาแม่สื่อแล้ว ท่านเป็นแม่สื่อก็พอแล้ว” ทังหยางพูดพร้อมกับคิดในใจ และพูดต่อว่า “เรือนหอนี้จะต้องไม่ทำให้อะซี่น้อยหน้า และต้องอยู่ใกล้จวนอ๋อง เกรงว่าราคาไม่ถูกแน่ บ้านใกล้เคียงนี้ล้วนแพงอย่างมาก”