บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 920 เรือนหอ
ได้ยินว่าใช้เงินเยอะ หยวนชิงหลิงก็พูดขึ้นอย่างตื่นเต้นว่า “หากซื้อบ้านใกล้ๆนี้ ต้องใช้เงินเท่าไหร่?”
ทังหยางมองดูนาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ตามเงินเดือนประจำปีที่สวีอีได้รับตอนนี้ ซื้อบ้านใกล้จวนอ๋อง เกรงว่าร้อยปีก็ไม่มีปัญญาซื้อ”
“หา” หยวนชิงหลิงตกตะลึง ราคาบ้านแพงขนาดนี้เลยหรือ ตอนนี้เงินเดือนสวีอีได้หกร้อยตำลึง สิบปีก็หกพัน หนึ่งร้อยปีก็หกหมื่น “แต่สร้างโรงเรียนแพทย์ สถานที่กว้างขนาดนั้น อย่างน้อยก็สามารถสร้างบ้านเรือนได้อีกกว่าสิบหลัง รวมทั้งตกแต่งก็ไม่ถึงสองแสนนี่”
ทังหยางหัวเราะขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นว่า “พระชายารัชทายาท ที่นั้นเป็นยังไง? ที่นั่นห่างไกล และสองแสนกว่ายังไม่รวมค่าที่ดิน บ้านรอบๆจวนอ๋องแพงก็แพงที่ที่ดิน รอบๆนี้เป็นเขตที่รุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลวง และเป็นที่รวมตัวของจวนอ๋องตระกูลผู้ดี ไม่มีที่ให้ซื้อแล้ว มีเพียงรื้อแล้วสร้างใหม่ ท่านคิดดู จะไม่แพงหรือ?”
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “งั้นเจ้าคิดว่า หนึ่งแสนตำลึงพอไหม?”
“หนึ่งแสนตำลึง ได้ พรุ่งนี้ให้คนของพ่อค้าคนกลางพาไปดู” ทังหยางพยักหน้า แล้วก็พูดขึ้นอย่างลังเลว่า “แต่หนึ่งแสนตำลึง สวีอีไม่มี”
“ข้าออกก่อน แล้วหักจากเงินเดือนของเขา” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
ทังหยางรู้ว่านางใจดี แต่จ่ายเงินช่วยซื้อบ้านให้กับสวีอีแพงขนาดนี้ ทำให้เขาคาดไม่ถึงอย่างมาก จึงพูดขึ้นอย่างตื้นตันว่า “พระชายารัชทายาท ท่านเป็นคนดีจริงๆ”
“เพราะอะซี่….เฮ้อ ไม่อยากให้นางแต่งงานไปอยู่ไกล ยัยคนนี้อยู่กับข้ามานาน เห็นเป็นน้องสาวแต่แรกแล้ว” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
คืนนั้นหยู่เหวินเห้ากลับมาค่ำมาก หยวนชิงหลิงยังไม่บอกเรื่องนี้ รอหาบ้านได้แล้วค่อยบอกเขา
เช้าวันรุ่งขึ้น ทังหยางนัดคนของพ่อค้าคนกลางไปดูบ้าน
บ้านที่ดูก็ไม่ไกล เดินไปก็ถึง ห่างจากจวนอ๋องสองซอย เป็นสถานที่ที่ค่อนข้างดี
แต่ยืนอยู่ตรงหน้าบ้านหลังนั้น หยวนชิงหลิงก็ค่อนข้างลังเลแล้ว บ้านหลังนี้เก่าอย่างมาก อีกอย่างก็เล็กมาก ยังใหญ่ไม่เท่ายี่สิบเปอร์เซ็นของจวนอ๋องเลย
คนของพ่อค้าคนกลางไม่รู้สถานะของนาง ยังคุยโม้ว่ารอบๆนี้เป็นบ้านคนตระกูลดีขนาดไหน เมื่อเปิดประตู บริเวณบ้านกลับดูสะอาด แต่มีกำแพงด้านหนึ่ง พังลงมาแล้ว พ่อค้าคนกลางพูดว่า “ไม่เป็นไร เดี๋ยวซ่อมหน่อยก็ได้แล้ว เสียเงินไม่เท่าไหร่”
นำทางพาเดินเข้าไป ล้วนเก่าอย่างมาก มุมกำแพงถูกปกคลุมไปด้วยตะไคร่น้ำ สนามหลังบ้านรกร้าง ของใช้ภายในบ้านว่างเปล่าแต่แรกแล้ว เต็มไปด้วยกลิ่นเน่าเปื่อย
หยวนชิงหลิงแอบถามทังหยาง พร้อมพูดขึ้นว่า “ราคาเริ่มต้นเท่าไหร่?”
“หนึ่งแสน” ทังหยางพูดขึ้นด้วยเสียงเบา
หยวนชิงหลิงส่ายหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ดี ที่นี่เก่าและก็เล็กมาก”
ทังหยางจึงเดินไปพูดกับพ่อค้าคนกลาง พ่อค้าคนกลางพูดว่าใกล้ๆนี้ยังมีบ้านอีกสองสามหลัง สามารถไปดูด้วยกันได้
ต่อมาอีกสองหลังถือว่าไม่เลว ถึงแม้จะเล็ก แต่ก็ค่อนข้างใหม่ และข้างในก็ถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์
แต่เมื่อถามราคาแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะตาค้างพูดไม่ออก ราคาเริ่มต้นของสองหลังนี้ล้วนแสนห้าหมื่นตำลึง
“โอ้พระเจ้า นี่เป็นการปล้นกันหรือ” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
ทังหยางก็คิดเช่นนั้น พร้อมพูดขึ้น “แพงมากจริงๆ ข้าไปลองต่อราคาดู”
หลังจากต่อราคากันแล้ว อีกฝ่ายลดให้เพียงสองพันตำลึง แล้วก็ลดไม่ได้อีกแล้ว
หยวนชิงหลิงหัวฟูอย่างมาก หนึ่งแสนสี่หมื่นแปดพัน เป็นเงินจำนวนมากมาย ยังต้องเหลือส่วนหนึ่งไว้เป็นค่าแต่งงานอีกล่ะ? ด้วยสถานะทางด้านตระกูลหยวน สินสอดกับงานแต่งรวมกันแล้วก็ไม่น้อยกว่าห้าหมื่นตำลึง เมื่อรวมกันแล้ว ก็ประมาณสองแสนตำลึง
“กลับไปปรึกษากันก่อน” ยังไงหยวนชิงหลิงก็เสียดายเงิน ที่สำคัญก็คือรู้สึกว่าบ้านหลังนี้แพงเกินไปจริงๆ
กลับมาถึงจวน แม่นมฉีกับสวีอีก็กลับมาแล้ว สีหน้าแม่นมฉีค่อนข้างตึงเครียด สวีอีก็ไม่พูดอะไร ก้มหน้าก้มตาเดินเข้ามาพร้อมกับแม่นมฉี
“เป็นอย่างไร?” หยวนชิงหลิงถามขึ้น
แม่นมฉีมองดูสวีอีแวบหนึ่ง ฉีกยิ้มออกมาอย่างลำบากพร้อมพูดขึ้นว่า “วันนี้ฮูหยินสวีงานยุ่ง ดังนั้นจึงไม่ได้คุยกัน เดี๋ยวข้าน้อยค่อยไปอีกครั้ง”
หยวนชิงหลิงมองดูสวีอี รู้ว่าเรื่องนี้ไม่ง่ายขนาดนี้ จึงไล่สวีอีกลับไป เรียกแม่นมฉีตามเข้าไปคุยกันในห้อง
แม่นมฉีเข้ามาภายในห้อง ปิดประตูแล้วก็เริ่มพูดบ่นขึ้นว่า “พระชายารัชทายาท ข้าน้อยไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่ป่าเถื่อนขนาดนี้ เย็นชาอยู่ตั้งนานก็ช่างเถอะ ยังไม่ยอมให้เข้าบ้าน บอกว่าส่งผลกระทบต่อลูกชายของนางที่กำลังอ่านหนังสือ กว่าจะได้คุยกันถึงเรื่องงานแต่งของสวีอี นางก็เริ่มก่นด่า บอกว่าสู่ขอผู้หญิงตระกูลสูงส่งมา บ้านหลังนี้ต้องแบ่งออกไป พวกเขาไม่มีความสามารถนี้ ให้สวีอีไม่ต้องไปคิดคบกับตระกูลผู้ดี หากผู้หญิงธรรมดาแล้วแต่งงานอย่างเรียบง่ายก็พอแล้ว”
หยวนชิงหลิงขมวดคิ้ว พร้อมพูดขึ้นว่า “ไม่ได้บอกว่าจะเอาบ้านของนาง แค่ให้นางออกหน้าไปช่วยสู่ขอแค่นั้นเอง”
“บอกแล้ว” แม่นมฉีโกรธอย่างมาก พร้อมพูดขึ้นว่า “นางไม่ยอม บอกว่าน่าอับอาย ทางด้านตระกูลหยวนคนอื่นเขามีสถานะอะไร ตัวสวีอีสถานะอะไร ให้เขาส่องกระจกมองดูตัวเอง บอกว่าบรรพบุรุษของเขาไม่เคยมีใครได้ดี ไม่มีบุญขนาดนี้ ข้าบอกว่าตอนนี้สวีอีเป็นขุนนางแล้ว เป็นขุนนางขั้นห้า นางบอกว่านางรู้ แต่เป็นขุนนางก็ไม่ได้มีตำแหน่งงานชัดเจน ยังคงเป็นบ่าวใช้ในจวนอ๋อง ไม่รู้ว่าจะถูกคนอื่นปลดเมื่อไหร่ นางพูดหมายความว่า สวีอีลืมกำพืดของตัวเอง หลายเดือนมานี้ไม่ได้ส่งเงินกลับบ้าน ไม่สนใจพ่อแม่น้องสาว”
ต่อให้หยวนชิงหลิงใจดีขนาดไหน เมื่อได้ยินคำพูดพวกนี้ก็โกรธมาก จึงพูดขึ้นว่า “สวีอีไปออกรบตั้งหลายเดือน นางไม่รู้หรือ?”
“นางจะสนใจมากมายขนาดนี้หรือ? ไม่มีเหตุผลเลย คนอื่นคาดหวังไม่ได้ นางไม่มีความสัมพันธ์ของความเป็นแม่ให้กับสวีอีเลย ดูถูกเหยียดหยามอย่างที่สุด” แม่นมฉีโกรธจนเจ็บหน้าอก
หยวนชิงหลิงถามขึ้นว่า “ที่นั่นมีนางอยู่คนเดียวหรือ? ใต้เท้าสวีไม่อยู่บ้านหรือ?”
“ใต้เท้าสวีไม่อยู่” แม่นมฉีพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “ดังนั้นข้าน้อยจึงคิดว่าคืนนี้จะไปอีกครั้ง หากใต้เท้าสวีอยู่ บางทีอาจจะพูดง่ายขึ้น เฮ้อ จะล่วงเกินพวกเขาก็ไม่ได้ ยังคาดหวังที่จะให้พวกเขาช่วยออกหน้าจัดการเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้น ทางด้านตระกูลหยวนเห็น สถานการณ์บ้านของสวีอีเป็นแบบนี้ เกรงว่าคงจะไม่ค่อยยินดี”
หยวนชิงหลิงคิดดูแล้วก็ถูก ไม่กลัวบ้านจน แต่กลัวเรื่องภายในบ้านซับซ้อน มีแม่สามีที่ปากคมเป็นตะไกรเช่นนี้ ตระกูลหยวนจะต้องคิดให้ดี
“งั้นก็รบกวนแม่นมไปอีกครั้ง” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น เรื่องบ้านก็ทำให้นางปวดหัวแล้ว ตอนนี้ทางด้านตระกูลสวี ไม่ให้ความร่วมมือไม่พอ ยังจะสร้างปัญหา ช่างน่าโมโหจริงๆ
เดิมเป็นเรื่องที่น่ายินดีขนาดไหน
แต่คิดว่าใต้เท้าสวีน่าจะพูดง่ายหน่อย ยังไงก็เป็นพ่อลูกกันแท้ๆ ยังไงก็เป็นขุนนางคนหนึ่ง น่าจะสามารถควบคุมผู้หญิงในบ้านของตนเองได้
คิดอยู่เช่นนี้ ในใจหยวนชิงหลิงค่อยสบายใจขึ้น
ตอนค่ำๆหน่อย แม่นมฉีก็พาสวีอีไปอีกครั้ง
หยวนชิงหลิงรออยู่ที่บ้าน วันนี้เจ้าห้ากลับมาค่อนข้างเช้า แต่เขาทานอิ่มแล้วค่อยกลับมา
“ทานกับเจ้าเก้า แล้วก็ไปเจอแม่นมฉินคนนั้น” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้น
หยวนชิงหลิงถามขึ้นว่า “ได้สั่งคนไปเฝ้านางไว้ไหม?”
หยู่เหวินเห้าพยักหัว พร้อมพูดขึ้นว่า “แม่ทัพหลอสั่งคนแอบเฝ้าดูอยู่ ภายในอ๋องชินชุนก็ได้จัดคนของสำนักเหมยแดงไว้สองคน สถานการณ์ภายในเมืองหลวงก็คอยระวังไว้อยู่ตลอด วันนี้เสี้ยวหงเฉิงมา บอกว่าหงเย่ยังอยู่ระหว่างทาง ไปรีบร้อนที่จะมาเมืองหลวง เที่ยวชมวิวทิวทัศน์มาตามตลอดทาง ไม่รู้ว่าต้องการเล่นอะไรอยู่”
“กำลังรอคนเจียงเป่ยหรือเปล่า?”
“ท่าทีของเขา ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเล่นเกมแมวจับหนู แต่ให้เขาเล่นไปเถอะ ข้าเตรียมการพร้อมรออยู่ก็พอ” หยู่เหวินเห้าพูดขึ้นอย่างเย็นชา