บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 921 ตัดขาดความสัมพันธ์กับคนแบบนั้นไปเสีย
เขานั่งลงแล้วอุ้มหยวนชิงหลิงขึ้นมาในอ้อมแขน “วันนี้ลูกสาวของเราเป็นเด็กดีว่าง่ายหรือไม่?”
“วันนี้ไม่งอแงสร้างปัญหาอะไรนัก” หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้มขณะลูบท้องของตัวเอง
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างปลาบปลื้มยินดีว่า “อย่างไรก็เป็นลูกสาวล่ะนะ รู้จักรักใคร่ห่วงใยท่านแม่”
หยวนชิงหลิงยกยิ้มเล็กน้อย จากนั้นก็แสดงสีหน้าโศกเศร้าขึ้นมา
“เป็นอะไรไปรึ? ใครทำให้เจ้าไม่มีความสุข ?” หยู่เหวินเห้าหอมแก้มนางไปฟอดใหญ่ ตอนนี้เจ้าหยวนอ้วนขึ้นมาบ้างแล้ว มีเนื้อมีหนังขึ้นมาจนแก้มยุ้ยดูนุ่มฟู ดูแล้วน่ารักน่าหยิกเป็นที่สุด
“เรื่องหาเรือนหอให้สวีอีน่ะ วันนี้ไปดูเรือนมาหลายหลัง ทั้งเล็กทั้งแพงเลย”
“ก็ให้เขาอยู่ในจวนอ๋องต่อไปก็ได้แล้วไม่ใช่รึ ? ให้เรือนแยกเป็นเอกเทศเขาไปสักหลัง” หยู่เหวินเห้าเสนอแนะ
หยวนชิงหลิงปรายตามองเขา “ถ้าอย่างนั้น หากวันหน้าลูกสาวของเจ้าจะแต่งงาน แล้วลูกเขยจะต้องพาลูกสาวเจ้าไปอาศัยอยู่บ้านของเจ้านาย เจ้าจะยินดีหรือไม่ล่ะ?”
หยู่เหวินเห้าเลิกคิ้วขึ้น เบิกตาโพลงทันที “ไปมันไสหัวไปตายซะ! เรือนตัวเองสักหลังก็ไม่มี กล้ามาแต่งงานกับลูกสาวของข้าอย่างนั้นรึ?”
“ดังนั้น ทางตระกูลหยวนจะปล่อยให้อะซี่ต้องเนื้อต่ำใจได้อย่างไรล่ะ?” หยวนชิงหลิงถอนหายใจเบาๆ “แค่คิดไม่ถึงว่าบ้านที่อยู่แถวๆ นี้จะมีราคาแพงถึงขนาดนี้ เป็นหลักหลายแสนเลยทีเดียว”
“หลายแสนตำลึง? สวีอีซื้อไม่ไหวแน่” หยู่เหวินเห้าอุ้มนางขึ้นไปบนเตียงอรหันต์ หาตำแหน่งเหมาะๆ ที่สบายที่สุดเพื่อให้นางเอนหลังนอนลงได้ ขณะที่เขาเอียงหูแนบที่ท้องนางเพื่อฟังการเคลื่อนไหวของลูกสาวที่อยู่ในนั้น
“ข้าอยากจะซื้อให้เขา”
“เจ้า? เงินหลายแสนตำลึงเจ้ายอมตัดใจจ่ายได้จริงๆ น่ะรึ?” หยู่เหวินเห้าเงยหน้าขึ้น จ้องมองนางด้วยท่าทางตกตะลึง
หยวนชิงหลิงพูดขึ้นว่า “หลักๆ เลยก็เพราะอะซี่นั่นล่ะ ข้าหวังว่านางจะได้อยู่ใกล้ข้ามากขึ้นสักหน่อย”
หยู่เหวินเห้าคิดไปคิดมา ก็เริ่มจะเห็นด้วย ที่แล้วมาอะซี่อยู่ข้างกายนางมาตลอด พอแต่งงานก็ต้องแยกจากกันไปแบบนี้ ก็ดูจะเป็นเรื่องที่โหดร้ายไปหน่อย นอกจากนี้ อะซี่ก็สามารถช่วยงานได้มากจริงๆ เพราะนางทั้งฉลาด วรยุทธ์ก็นับว่าดี เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงพูดขึ้นว่า “เช่นนั้นก็สร้างเองสักหลังเถอะ ทำไมถึงต้องซื้อเท่านั้นล่ะ? เป็นความคิดที่เหมาะสมหากจะสร้างเรือนที่ราคาอยู่ที่ราวๆ หมื่นตำลึงนะ”
“สร้างเองรึ? พวกเรามีที่ดินเสียที่ไหนกันล่ะ?” หยวนชิงหลิงมองหน้าเขา “ยิ่งไปกว่านั้น มันต้องอยู่ใกล้จวนของเรา ไม่ควรไกลจนเกินไป ถ้าห่างออกไปได้สักราวๆ สามช่วงถนนก็ยิ่งเหมาะสมที่สุดเลย”
“ไม่ต้องห่างกันสามช่วงถนนหรอก ที่หลังจวนของพวกเรา ไม่ใช่ว่ามีที่ดินอยู่ผืนหนึ่งหรอกรึ? นั่นเป็นที่ดินของตระกูลเราเอง แค่แบ่งออกมาสักส่วนหนึ่ง ก็สร้างเรือนบนนั้นได้แล้วล่ะ”
หยวนชิงหลิงดีใจมากเมื่อได้ยินเรื่องนี้ คว้าข้อมือของเขาไว้อย่างรวดเร็ว “ที่ดินด้านหลังจวนผืนนั้นเป็นของพวกเราอย่างนั้นรึ สวรรค์ ทำไมเจ้าไม่พูดให้เร็วกว่านี้ล่ะ ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้เลย?”
“ แต่เดิมที่ดินผืนนี้ ข้าตั้งใจว่าจะสร้างเป็นลานฝึกวรยุทธ์ แต่ไม่ใช่เพราะว่าภายหลังมันเกิดเรื่องที่….เอ่อ… ที่….เอ่อ….นั่นล่ะ! ขึ้นมาหรอกรึ? สุดท้ายจึงต้องหยุดดำเนินการไป
หยวนชิงหลิงมองเขาอย่างคลุมเครือ “เรื่องที่….เอ่อ… ที่….เอ่อ….นั่นล่ะ! มันคืออะไรกัน?”
“ เรื่องที่จวนเจ้าหญิงอย่างไรเล่า ” หยู่เหวินเห้าเบี่ยงหน้าออกไปอีกทาง “ พวกเราไม่ได้ตกลงกันแล้วหรอกหรือว่า จะไม่พูดถึงเรื่องนั้นกันน่ะ? ”
หยวนชิงหลิงร้อง “อ๋อ” รีบถามขึ้นว่า “ที่ดินผืนนั้นใหญ่แค่ไหนรึ?”
“ดูเหมือนว่าจะมีราวๆ ไม่สิบแปลงก็แปดแปลงกระมัง?” หยู่เหวินเห้าเองจำไม่ค่อยได้เหมือนกัน “เจ้าลองไปถามทังหยางเถอะ เขารู้ว่ามันมีพื้นที่ใหญ่แค่ไหน”
หยวนชิงหลิงรีบแปลงเป็นหน่วยวัดพื้นที่ในยุคปัจจุบันทันที ที่ดิน 1 แปลงเท่ากับ 666 ตารางเมตร และ 10 แปลงคือ 6666 ตารางเมตร ถ้าใช้ที่ดินสองแปลงมาสร้างเรือนหนึ่งหลัง แปลว่าจะมีที่ดินราวๆ 1,000 ตารางเมตรซึ่งนับว่ามากเพียงพอแล้ว
“ข้าจะเรียกใต้เท้าทังให้มาจัดการเรื่องนี้ทันที”
หยู่เหวินเห้าจับมือนาง เอียงศีรษะครุ่นคิดไปครู่หนึ่ง “เจ้าว่า ควรทำให้ทังหยางด้วยสักหลังดีหรือไม่? อย่างไรที่ดินมันก็ใหญ่พอสมควรอยู่นะ”
“ดี ดีมากเลย เจ้าตัดสินใจเถอะนะ!” หยวนชิงหลิงแก้ปัญหาที่รบกวนใจไปได้เปลาะหนึ่ง ในใจจึงมีความสุขมาก สิ่งสำคัญที่สุดคือ ไม่ต้องใช้เงินมากจนเกินไปอีกด้วย
หยวนชิงหลิงจึงเรียกทังหยางมาทันที แล้วบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ ในตอนท้ายยังบอกด้วยว่า “เจ้าไปหาคนมาเริ่มก่อสร้างในทันที สร้างเรือนสองหลัง แต่ละหลังใช้พื้นที่ครอบคลุมราวๆ สองแปลง ส่วนข้อกำหนดเงื่อนไขการสร้าง ให้ขึ้นอยู่กับเจ้าตัดสินใจ จะอย่างไรเสียข้าออกเงินไปราวๆ สี่หมื่นตำลึงก็น่าจะเพียงพอ”
ทังหยางคิดไม่ถึงว่าหยู่เหวินเห้าจะยินดียกที่ดินผืนนี้ให้ ในใจเขาคิดอยากจะสร้างลานฝึกวรยุทธ์มาโดยตลอด เมื่อได้ยินหยวนชิงหลิงพูดว่าจะสร้างเรือนขึ้นมาสองแห่ง เขาก็อดตกใจไม่ได้ “ทำไมถึงต้องสร้างสองเรือนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หยวนชิงหลิงพูดด้วยรอยยิ้ม: “สวีอีมีทั้งที ใต้เท้าทังจะไม่มีได้อย่างไรล่ะ?”
“อ๋า?” ทังหยางจ้องมองหยวนชิงหลิงด้วยความตกตะลึง “พระชายารัชทายาท นี่มัน.…”
“อย่ามัวเอ่อๆ อ่าๆ อยู่เลยน่า! ใต้เท้าทัง พรุ่งนี้ก็เริ่มได้เลย ค่าใช้จ่ายในส่วนการก่อสร้างเพิ่มมากอีกหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะถึงอย่างไรช่วงเวลาก่อสร้างให้แล้วเสร็จมันค่อนข้างเร่งรีบ” หยวนชิงหลิงพูดจบก็หันหลังเดินเข้าเรือนไป
หลังจากเดินออกไปไม่กี่ก้าว เสียงที่แฝงความรู้สึกซาบซึ้งของทังหยางก็ดังขึ้นมาจากข้างหลัง “ กระหม่อม ขอขอบพระทัยพระชายารัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ!”
หลังจากแก้ปัญหาเรื่องเรือนหอเสร็จ หยวนชิงหลิงก็ไปคุยกับอะซี่ด้วยเช่นกัน เพราะเรือนหลังนี้อะซี่จะเป็นคนเข้าไปอยู่ในอนาคต ดังนั้นจึงควรถามความชอบของเจ้าตัวถึงจะถูก
หลังจากอะซี่ได้ฟังแล้ว ก็อายกระมิดกระเมี้ยนไปครู่หนึ่ง ค่อยแอบเข้ามากระซิบที่ข้างหูของหยวนชิงหลิงว่า “ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่า แค่พลิกตัวข้ามกำแพง ข้าก็สามารถเข้ามาที่นี่ได้แล้วไม่ใช่รึ? ดีเหลือเกิน! ข้ายังกลัวอยู่ว่าหลังจากแต่งงานแล้วข้าจะต้องออกจากจวนนี้ไป เอ๋! ไม่พูดแล้วดีกว่า! ข้าจะกลับไปบ้านแม่สักครั้งก่อน”
พูดจบก็ยิ้ม แล้ววิ่งหนีไปทันที
หยวนชิงหลิงมองดูเงาร่างของนางพลางหัวเราะ ดีจริงๆ ตอนนี้นางถึงกับพูดคำว่าบ้านแม่แล้ว
นางหันหน้ากลับไป หยู่เหวินเห้ายืนตระหง่านอยู่หน้าระเบียง เรือนร่างกำยำสูงเพรียว ใบหน้าหล่อเหลาดั่งหยกสลัก นัยน์ตาคมเข้ม อ้าแขนยาวออกกว้างพลางเดินเข้ามาหานาง จากนั้นก็รวบตัวนางเข้าไปกอดไว้ในอ้อมแขน “เจ้าหยวน จวนของเราเริ่มมีบรรยากาศของคำว่าบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ”
หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นมองหน้าตาอันหล่อเหลาของเขา ในครั้งแรกที่รู้จักกัน เขาเย่อหยิ่งจองหอง เป็นจอมเผด็จการชอบวางอำนาจทั้งยังอวดดี
แต่ก็อ่อนเยาว์มีสติปัญญาเฉียบแหลม แต่ตอนนี้เขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นอีกคน กลายเป็นผู้ชายที่ตรงไปตรงมาและไม่ย่อท้อ สามารถอดทนอยู่กับนางได้ทั้งวัน สามารถเป็นที่กำบังนางจากลมฝนที่พัดโหมกระหน่ำ
เมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขา นางจะรู้สึกว่า ลมฝนรุนแรงที่พัดอยู่ข้างนอกเหล่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับนางทั้งสิ้น โลกทั้งใบก็มั่นคงปลอดภัย ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล
“เจ้าห้า ข้าอยากเห็นเจ้ารำกระบี่!” จู่ๆ หยวนชิงหลิงก็พูดขึ้นมาอย่างกระทันหัน
เขายิ้มอย่างผ่อนคลาย ชักกระบี่ยาวออกมาจากฝัก เงาร่างในชุดสีขาวเหินลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า เหาะเหินไปตามกระบี่ที่ล่องลอยในอากาศ ดุจดั่งนกนกกระเรียนขาวพิสุทธิ์ที่เหินบินอย่างอิสระ จากนั้นก็หมุนกระบี่ชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้า ไม่ได้รู้เลยว่าเป็นท่วงท่าที่หล่อเหลางามสง่าจนทำคนใจเต้นขนาดไหน?
หยวนชิงหลิงยังยืนนิ่งอยู่หน้าระเบียงทางเดิน มองค้างไปที่เงาร่างที่เหินบินร่ายรำในรัศมีกระบี่อันดุดัน เสื้อคลุมสีขาวพลิ้วสะบัดไปตามสายลม เหงื่อบางๆ ซึมเข้าไปในเสื้อจนเห็นเรือนร่างกำยำชัดเจน ร่างสูงหันหลังกลับมาพลางเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
บวกกับมุมปากที่เผยอเป็นรอยยิ้มจางๆ ที่เหมือนกำลังหลอกล่อให้หลงใหลในมนต์เสน่ห์ ทำเอาหยวนชิงหลิงจ้องมองจนตาค้างเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ไม่อาจถอนสายตาไปจากเงาร่างนั้นได้
ในใจนางเต็มไปด้วยความรู้สึกอันเต็มตื้น คนคนนี้เป็นผู้ชายของนาง เป็นผู้ชายที่นางจะใช้ชีวิตอยู่ร่วมหัวจมท้ายไปตลอดชีวิต
หัวใจของนางกระวนกระวายใจเต้นระรัว รอจนเขาเก็บกระบี่กลับมา นางก็เป็นฝ่ายเข้าไปจับมือเขา แล้วพูดด้วยสีหน้าท่าทางที่แสดงออกว่ารักใคร่ “ไปเถอะ พวกเราไปนอนได้แล้ว”
หยู่เหวินเห้าบรรจงจูบนางอย่างอ่อนโยน คืนนั้น เขารู้สึกถึงความกระตือรือร้นที่นางเป็นฝ่ายเริ่ม ในแบบที่ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีมาก่อน
เขาตัดสินใจได้ทันทีว่า หลังจากนี้ไป เขาจะรำกระบี่ให้เจ้าหยวนดูทุกคืน
เนื่องจากคืนนี้หยวนชิงหลิงเข้านอนเร็ว หลังจากที่แม่นมฉีกับสวีอีกลับมา พวกเขาจึงไม่ได้รายงานสถานการณ์ใดๆ ก่อน ทำได้แค่รอให้ถึงพรุ่งนี้เช้าตื่นมาค่อยว่ากัน
แม่นมฉีพูดเกลี้ยกล่อมสวีอีว่า ” เจ้าไปพักผ่อนก่อนเถอะ เรื่องนี้อย่างไรก็ต้องมีทางแก้ไขได้เสมอ จากนี้ไปบ้านหลังนั้นเจ้าก็อย่ากลับไปอีกเลยนะ ตัดขาดความสัมพันธ์ไปเสียเถอะ ไม่ว่าใครต่างก็ไม่มีความเป็นคนเอาเสียเลย”
สวีอีก้มหน้าเพื่อซ่อนรอยฝ่ามือที่ประทับบนใบหน้า พยายามอ้าปากพูด อยากช่วยแก้ต่างให้พ่อของเขาสักประโยค แต่เขาไม่มีอะไรดีๆ จะพูดออกมาได้เลย จึงทำได้เพียงพยักหน้าน้อยๆ เอ่ยขอบคุณประโยคหนึ่ง แล้วเดินกลับห้องไป
สวีอีนอนไม่หลับทั้งคืน ได้แต่พลิกตัวไปมาบนที่นอน ทำอย่างไรก็นอนไม่หลับ คำพูดเหล่านั้นก้องอยู่ในหัวของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เขากำผ้าห่มไว้อย่างขมขื่น ที่ผ่านมาในใจเขามีความหวังมาโดยตลอด แต่เมื่อมาถึง ณ.เวลานี้เขาถึงค่อยเข้าใจได้ว่า สิ่งที่เรียกว่าความหวังคำนี้ มันไม่ควรจะมีอยู่มาตั้งแต่แรกแล้ว
เมื่อนอนไม่หลับ เขาจึงถือไหเหล้าขึ้นไปบนหลังคา นอนลงบนนั้นแล้วมองดูดวงจันทร์ น้ำตาหยดหนึ่งรินไหลจากปลายหางตาอย่างเงียบงัน เขาจึงยกมือไปเช็ดออกแบบลวกๆ ยกไหเหล้าขึ้นดื่มรวดเดียวอึกใหญ่ๆ แล้วยิ้มให้กับดวงจันทร์ รอยยิ้มนั้นเต็มไปด้วยความขมขื่นชอกช้ำ