บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 922 สู่ขอ
แม่นมฉีเองก็นอนไม่ค่อยหลับตลอดทั้งคืนเช่นกัน พอเช้าวันรุ่งขึ้น นางก็รีบมาทำหน้าที่รับใช้ หยู่เหวินเห้ามีรายงานราชการเช้า ราวๆ ยามสี่ก็ต้องรีบออกไปแล้ว แต่เพราะถ้าปกติหยู่เหวินเห้ามีรายงานราชการเช้า หยวนชิงหลิงก็ต้องตื่นเช้าไปด้วยเช่นกัน
ดังนั้นเมื่อแม่นมฉีมาถึง หยวนชิงหลิงก็อ่านหนังสืออยู่ในห้องแล้ว
“เป็นอย่างไรบ้าง?” หยวนชิงหลิงเห็นสีหน้าบูดบึ้งของนาง จึงรู้ว่าเมื่อคืนนี้เรื่องราวคงจะไม่เป็นไปดั่งที่หวัง สีหน้าจึงเริ่มหนักอึ้งจมดิ่ง
แม่นมฉีทำชาพุทราแดงให้หยวนชิงหลิงถ้วยหนึ่ง นำไปวางลงบนโต๊ะน้ำชาหน้าเตียงอรหันต์แล้วถอนหายใจ: “พระชายารัชทายาท เรื่องนี้คงต้องขอท่านออกหน้าด้วยตนเองแล้วล่ะเพคะ เมื่อวานข้าน้อยกับสวีอีไปที่นั่นกันอีกครั้ง ไต้เท้าสวียิ่งไม่ฟังเหตุผลยิ่งกว่าเดิมอีก พูดใส่หน้าเขาตรงๆ เลยว่าอย่าทำเรื่องขายหน้าต่อคนคนนี้ ให้อยู่กับความเป็นจริง
ตัวเขาเองไม่มีทางตกลงที่จะไปสู่ขอให้แน่ เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องที่ว่าอาจจะต้องอับอายขายหน้าต่อเพื่อนร่วมงาน เขายังบอกอีกว่าทางตระกูลหยวนจะไม่แค่ไม่ยอมตอบรับ แต่ยังจะหาเรื่องให้เขาต้องขายหน้า บอกว่าเขาพยายามจะปีนป่ายกิ่งสูง พูดได้ว่าใช้วาจาที่ไม่น่าฟังอย่างยิ่ง แล้วก็ยังตีสวีอีด้วยเพคะ”
“นี่มันคนแบบไหนกัน?” ทันทีที่หยวนชิงหลิงได้ยินดังนั้น ก็ยังโกรธด้วยแล้ว “จะร้ายหรือดี เขาก็ควรจะลองพยายามเพื่อความสุขของลูกชายดูสักครั้งสิ”
“ลองดูสักครั้ง? เขากลัวแค่จะต้องอับอายขายหน้า ข้าน้อยก็บอกเขาไปแล้วว่าแม่นางอะซี่ได้พบหน้าค่าตากับสวีอีในจวนนี้ทั้งกลางวันกลางคืน มีความรักใคร่ผูกพันต่อกันและกัน เขาบอกว่าอะซี่ก็คืออะซี่ ตระกูลหยวนก็คือตระกูลหยวน
ยังบอกอีกว่าถ้าเขากล้าเสนอหน้าไปสู่ขอจนไปทำให้ตระกูลหยวนขุ่นเคืองใจ แล้วตระกูลหยวนเกิดแค้นขึ้นมาคิดจะแก้แค้นล้างอาย จนส่งผลกระทบต่อการสอบเป็นขุนนางของคุณชายรอง เขาจะตัดสัมพันธ์พ่อ – ลูกกับสวีอีเพคะ”
“ตระกูลหยวนจะแก้แค้น? นี่สมองเขามีปัญหาหรือไร ถึงคิดไปว่าตระกูลหยวนจะคิดแก้แค้น? หากตระกูลหยวนไม่เห็นด้วย การแต่งงานส่วนใหญ่ก็คงไม่อาจสำเร็จได้ นี่เขามองว่าฮูหยินใหญ่ตระกูลหยวนเป็นคนอย่างไรกัน? ถึงได้คิดจะแก้แค้นเขาน่ะ?” หยวนชิงหลิงถึงกับพูดไม่ออกอย่างถึงขีดสุด โครงสร้างทางสมองของไต้เท้าสวีนี่มันเป็นอย่างไรกันแน่นะ?
แม่นมฉีก็มีสีหน้าเศร้าโศกมากเช่นกัน “สวีอีอารมณ์เศร้าหมองมากเพคะ ได้ยินมาว่าเมื่อคืนเขาขึ้นไปนอนบนหลังคาทั้งคืน โชคยังดีที่เมื่อคืนอะซี่กลับบ้านไปก่อน จึงไม่ได้มาเห็นเขาในสภาพทรุดโทรมเช่นนี้”
หยวนชิงหลิงพูดอย่างเย็นชาว่า: “ส่งเทียบเชิญไปที่ตระกูลหยวน ในเมื่อตระกูลสวีไม่คิดจะสนใจเรื่องนี้ ข้าจะเป็นคนจัดการเอง เดิมทีข้าก็แค่คิดว่า จะให้เกียรติพวกเขาในฐานะพ่อกับแม่ของสวีอี ให้พวกเขาออกหน้าไปจัดการเรื่องนี้
ในอนาคตก็ยังสามารถรักษาความสัมพันธ์ที่ได้ดองเป็นญาติกันกับตระกูลหยวนต่อไปได้ ช่างเถอะ คนที่จะให้หน้ากลับไม่อยากได้หน้านี้ไว้ แม่นม เจ้าไปส่งจดหมายถึงพระชายาซุน
ขอให้นางไปทำหน้าที่แม่สื่อช่วยเจรจาการแต่งงานนี้กับข้าหน่อย เรียกคนมาช่วยแต่งเนื้อแต่งตัวให้สวีอีด้วย จะได้พาเขาไปด้วยกันเลย ต้องให้ตระกูลหยวนได้เจอหน้าเขาเสียก่อน จึงจะสามารถพูดคุยกันได้ ถึงแม้ว่าจะเคยเจอหน้าเขามาก่อนก็จริง แต่ก็ไม่แน่ว่าตระกูลหยวนจะจำเขาได้ ”
หยวนชิงหลิงไม่เคยเป็นแม่สื่อ ดังนั้นจึงไม่ค่อยเข้าใจกฎของที่นี่ จึงไปขอให้แม่นมสี่ช่วยชี้แนะ ส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่ามองในพื้นเพตระกูลฝั่งชาย หน้าที่การงาน สมบัติพัสถานที่จะใช้เลี้ยงดูภรรยา
ถ้ามองในแง่มุมเรื่องครอบครัวและพรสวรรค์ สวีอีไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเลย แต่เขามีข้อดีที่จะชนะใจคนได้คือความซื่อสัตย์ภักดี นั่นสามารถเป็นผลดีต่ออะซี่อย่างมาก
นางเรียกสวีอีมาทันที แล้วกำชับกำชาครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าได้หลุดแสดงท่าทางโง่เขลาเหมือนเมื่อก่อนออกมาเด็ดขาด ถ้าพวกเขาถามอะไร ก็ตอบแค่สิ่งที่พวกเขาถามเท่านั้น อย่ารีบชิงตอบ เพราะการรีบชิงตอบของเขา มักจะเป็นการแสดงสติปัญญาอันทึ่มทื่อของตัวเองออกมาทุกครั้ง
สวีอีรู้สึกประหม่ามาก ตั้งอกตั้งใจเลือกเสื้อผ้าไปหลายชุด สุดท้ายก็รู้สึกว่าเขาสวมชุดราชการ เป็นสิ่งหล่อเหลาน่ามองที่สุดแล้ว
หยวนชิงหลิงแนบตัวอยู่ข้างประตู ถอนหายใจเฮือก “เจ้าไม่ได้จะไปรายงานราชการเช้านะ แล้วก็ไม่ได้ไปทำงานของราชการ เลือกชุดที่มันสบายๆ กว่านี้สิ”
นางเปิดดูตู้เสื้อผ้าของสวีอีด้วยตัวเอง พบว่าเสื้อผ้าของเขามีเพียงไม่กี่ชุด ไม่ใช่สีดำก็เป็นสีขาว กับชุดสีเขียวที่ดูลำลองมากๆ อีกชุด ช่างบ่งบอกถึงความโศกเศร้าเหี่ยวเฉาของหนุ่มโสดเสียจริง
หยวนชิงหลิงหันกลับมาแล้วสั่งว่า “เขาสูงพอๆ กับเจ้าห้า ลู่หยา ไปเอาชุดผ้าต่วนทอลายเมฆสีขาวหยกขององค์ชายรัชทายาทมา”
“หา? ชุดนั้นรัชทายาททรงเพิ่งตัดขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิเองนะเพคะ” ลู่หยาตกใจจนผงะ รัชทายาททรงพิสมัยชุดนั้นมาก นับตั้งแต่แต่งงานมา เขาก็ไม่ค่อยตัดเสื้อผ้าใหม่มากนัก ดังนั้น ตอนที่เขาได้ผ้าชิ้นนั้นมา เขาจึงดีใจจนเหมือนเด็กเล็กๆ เลยทีเดียว
“หลังจากนี้ค่อยตัดให้เขาอีกสองชุด นอกจากนี้ สวีอีก็ยืมใส่แค่วันนี้วันเดียว กลับมาค่อยคืนให้เขาก็ได้แล้วนี่ ” หยวนชิงหลิงพูด
ลู่หยาจึงค้อมกายรับคำสั่ง รีบไปหยิบชุดนั้นมา แล้วเรียกให้สวีอีรีบเปลี่ยน
ไม่พูดไม่ได้จริงๆ ว่า คำพูดที่คนโบร่ำโบราณพูดกันว่า ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแต่งนั้น เป็นความจริงอย่างที่สุด
สิ่งประดับประดาที่หรูหรา ช่วยเสริมลักษณะของคนคนหนึ่งให้ดูสูงส่งมีฐานะได้ แค่จัดการตัดแต่งคิ้วหนาๆ ของเขาหน่อย แสดงท่วงท่าที่ดูสุขุมเยือกเย็น เส้นโครงบนใบหน้าของเขาก็ยังดูสมชาย ใบหน้าหล่อเหลาเหมือนหยกสลัก
เรียกได้ว่าเป็นคนที่หล่อเหลาไม่ธรรมดาคนหนึ่งเช่นกัน ถ้าจะบอกว่า เขาเป็นคุณชายของตระกูลผู้รากมากดีที่ไหนสักแห่ง ก็ฟังดูไม่เกินความเป็นจริงเลยแม้แต่น้อย
สวีอีหมุนตัวไปมาอยู่หน้ากระจกทองแดง รู้สึกว่าช่างดูดีอะไรขนาดนี้ เขาอดยิ้มให้ตัวเองไม่ได้ “ช่างหล่อเหลาดูดีเหลือเกิน”
หยวนชิงหลิงมองไปที่ฟันหลอๆ ของเขา ถึงกับหน้าดำทะมึนเกือบพูดไม่ออกเลยทีเดียว “วันนี้พยายามอย่ายิ้มให้เห็นฟันจะดีกว่า ลองยิ้มแบบนุ่มนวล แบบยกยิ้มจางๆ ก็พอนะ”
สวีอีกดที่หน้าอกตัวเอง “ พระชายารัชทายาท ข้าตื่นเต้นกังวลใจเหลือเกินแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
“ทำศึกยังไม่กังวลเลย แค่นี้มีอะไรให้ต้องกังวลกันล่ะ? ” หยวนชิงหลิงยิ้มพลางพูดปลอบใจ เมื่อเห็นรอยนิ้วมือจางๆ ที่ยังทิ้งร่องรอยอยู่บนใบหน้าของเขา นางจึงย้ายสายตาออกไป ในใจรู้สึกเศร้าขึ้นมาเล็กน้อย
ดูเหมือนว่าสวีอีจะลืมเรื่องที่ทำให้ไม่มีความสุขเมื่อคืนนี้ไปหมดแล้ว ในใจเฝ้าคิดถึงแต่เหตุการณ์สำคัญในชีวิต ที่วันนี้จะไปทำการสู่ขอหญิงสาวมาแต่งงาน
สำหรับเขา คนพวกนั้นกับเรื่องราวเหล่านั้นในบ้านเขา เป็นสิ่งที่ตนเองชินชาไปแล้ว ไม่ว่าเขาจะโดนโจมตีหนักหนากว่านี้อีกสักแค่ไหน เขาก็สามารถปรับตัว รับมือกับมันได้อย่างรวดเร็วไม่แพ้กัน
นี่คือข้อดีของการเป็นคนมองโลกในแง่ดี
เมื่อพระชายาซุนกับหรงเยว่มาถึง ได้เห็นรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาของสวีอี ก็รู้สึกเหมือนว่าแต่ก่อนนี้พลาดของดีไป ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าแค่ปรับรูปลักษณ์เพียงเล็กน้อย จะถึงกับเปลี่ยนเป็นคุณชายที่หล่อเหลาน่ามองได้ถึงขนาดนี้
พูดจนสวีอีที่เดิมทีเอาแต่ยิ้มอย่างโง่เขลาซื่อบื้อ เกิดความมั่นใจขึ้นมาในแววตาคู่นั้นได้
หยวนชิงหลิงหันไปมองหรงเยว่ ยิ้มแล้วพูดว่า : “ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ด้วยล่ะ? มีนัดกับพี่สะใภ้รองอย่างนั้นรึ?”
หรงเยว่ตอบว่า “ไม่ใช่ พอดีข้ามีเรื่องจะมาบอกเจ้า บังเอิญได้พบกับพี่สะใภ้รองที่ด้านนอก ถึงได้รู้ว่าวันนี้สวีอีจะไปเจรจาสู่ขอเจ้าสาว”
“จะพูดเรื่องอะไรรึ?” หยวนชิงหลิงถาม
หรงเยว่กดๆ ปิ่นปักผมของนาง “กลับไปที่ห้องของเจ้า แล้วเอาปิ่นมาให้ข้ายืมสักด้ามเถอะ วันนี้ข้ารีบร้อนออกมา จึงเลือกปิ่นได้ไม่ค่อยเข้ากับชุดเท่าไหร่นัก”
หยวนชิงหลิงรู้ว่านางอยากหาโอกาสออกไปคุยกันตามลำพัง จึงพูดว่า: “ได้ ข้าไม่มีอะไรอื่นมากมาย แต่มีปิ่นปักผมไม่น้อย เจ้าไปเลือกที่ห้องของข้าเอาเถอะ”
หลังจากออกไปแล้ว หรงเยว่ก็พูดขึ้นว่า “มีคนจับตามองจวนอ๋องชุนแล้ว”
“รวดเร็วถึงขนาดนี้เชียว?” หยวนชิงหลิงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“ยิ่งไปกว่านั้น นอกจากจวนอ๋องชุนแล้ว ยังมีจวนอ๋องหวย จวนอ๋องชินลุ่ย จวนตระกูลหยวน ล้วนมีคนแอบจับตามองอย่างลับๆ หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ ทุกคนที่เข้าวังไปพร้อมกับเจ้าเมื่อวันนั้น ต่างถูกจับตามองทั้งสิ้น”
เมื่อได้ยินเรื่องนี้ หยวนชิงหลิงพลันขมวดคิ้วมุ่น “ถ้าพูดตามนี้ ที่จริงแล้วคนในเจียงเป่ยรู้จักแม่นมฉินมานานแล้ว แต่เพราะนางอยู่ในวังหลังเข้าไปไม่ได้ อีกทั้งพวกเขาก็รู้ด้วยว่าในเมื่อตอนนี้สามารถหาทางดึงนางออกจากวังมาได้ ก็เพราะลูกสาวของอ๋องหนานเจียง ดังนั้น จึงต้องตามหาลูกสาวของของอ๋องหนานเจียงโดยสืบสาวจากตัวนาง เจ้าห้ารู้เรื่องนี้แล้วหรือไม่?”
“เขามีรายการราชการเช้า ตอนนี้ข่าวเรื่องสำนักเหลิ่งหลังกับสำนักเหมยแดงร่วมมือกัน ถือเป็นข่าวที่ได้มาโดยตรง ข้ารีบมาบอกเจ้าก่อน หลังจากนี้จะมีคนไปบอกเขาเอง”
“อื้ม เข้าใจแล้ว เจ้าช่วยจับตาดูหน่อยล่ะ พวกนั้นคงจะยังไม่ลงมือกับแม่นมฉินในตอนนี้ เพราะพวกนั้นยังต้องอาศัยนางเพื่อล่อให้หมันเอ๋อปรากฏตัว” หยวนชิงหลิงกล่าวสำทับ
“วางใจเถอะ ถ้าครั้งนี้พวกมันมา ก็จะกลายเป็นการจับตะพาบในไหเท่านั้นล่ะ” หรงเยว่แค่นเสียงเย็นชา *(เป็นสำนวนที่หมายถึงการจับได้ง่ายๆ เพราะหนีไปไหนไม่ได้ คล้ายสำนวนไทยที่ว่าหมูในอวย)
หยวนชิงหลิงยิ้ม “ดี เช่นนั้นเราจะใช้ประโยชน์จากช่วงว่างนี้ อันดับแรกคือจัดการเรื่องสำคัญของสวีอีให้แน่ชัดก่อน ข้าตั้งตารอที่จะได้จัดงานมงคลเหลือเกินแล้ว”
“ดี ไปกันเถอะ ตระกูลหยวนเห็นสวีอี ก็ไม่รู้ว่าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร ข้าแทบอดใจรอดูไม่ไหวแล้ว” หรงเยว่มีนิสัยหนึ่งที่ซึมลึกจนเข้ากระดูกคือ นิสัยที่กลัวว่าใต้หล้านี้จะไม่วุ่นวายโกลาหล ทั้งยังชื่นชอบเรื่องซุบซิบนินทาเป็นพิเศษ
หลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง นางก็ยิ้มแล้วพูดว่า: “แต่เจ้าหนูสวีอีคนนี้ก็ทำให้คนตกตะลึงได้เหลือเกินแล้ว ข้ายังนึกว่าเขากับหมันเอ๋อจะต้องตาชอบพอกันได้แน่
แต่คิดไม่ถึงว่าเขากลับไปต้องตาอะซี่เข้า แต่จริงเท็จเช่นไรใจเราย่อมรู้ดี ตอนนี้ข้าเองก็ค่อนข้างชื่นชมสวีอีขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ คนเราสมควรไล่ตามความสุขของตัวเอง ไม่ว่าอีกฝ่ายจะมีฐานะอะไรก็ตาม หากใจชอบก็แค่ไล่ตามไป ข้าในตอนนั้นก็ฉกฉวยโอกาสเช่นนี้เหมือนกัน
ในตอนนั้น……
หยวนชิงหลิงจับมือนาง แล้วพูดอย่างกระตือรือร้นว่า: “จริงรึ? ชื่นชมก็ดีแล้ว มาเถอะ เรามาคุยกันเรื่องเรือนของสวีอีกันดีกว่า … “