บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 924 แม่นมฉินมาแล้ว
หลังจากการสู่ขอจบลง ก็เป็นเวลาเตรียมพร้อมจัดงานแต่งงานแล้ว
เรือนของสวีอีอยู่ในระหว่างการก่อสร้าง แน่นอนว่าคู่บ่าวสาวต้องแต่งงานแล้วย้ายเข้าไปอยู่กันในเรือนหลังใหม่ ไม่ใช่จวนอ๋องฉู่ ส่วนบ้านตระกูลสวีนั้นยิ่งเป็นไปไม่ได้เข้าไปใหญ่
ทังหยางหาช่างผู้มากฝีมือมาได้แล้ว จึงว่าจ้างในขั้นแรกให้สร้างเรือนของสวีอีด้วยความสามารถทั้งหมดที่มี ทุ่มเทก่อสร้างทั้งกลางวันกลางคืน คาดว่าจะใช้เวลาราวๆ สามเดือนกว่า
งานแต่งจึงกำหนดให้มีขึ้นในต้นฤดูใบไม้ผลิปีหน้า นับเป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
แต่ความต้องการของทางตระกูลหยวนคือ พวกเขาหวังว่าจะสามารถจัดงานแต่งงานได้โดยเร็วที่สุด จะให้ดีคือก่อนที่หยวนชิงหลิงจะคลอดลูก เพราะทันทีที่เด็กเกิดมา ในจวนคงต้องยุ่งวุ่นวายขึ้นมาไม่น้อย ถ้าต้องมาตระเตรียมงานแต่งในระหว่างนั้น ก็เกรงว่าอาจจะยุ่งเกินไปจนทำไม่ไหว
บวกกับเหตุผลที่ว่า ไทเฮาทรงเสด็จสวรรคตไปยังไม่ถึงสามปี พิธีการสำคัญใดๆ ในช่วงสามปีนี้จึงไม่อาจจัดอย่างเอิกเกริกได้ ด้วยเหตุนี้ การจัดงานแต่งงานที่เรียบง่ายและตรงตามขนบประเพณี จึงถือได้ว่าเป็นความสำเร็จที่ตรงตามเป้าประสงค์แล้ว
หลังจากพิจารณาอยู่หลายครั้ง ทังหยางจึงขอให้ช่างฝีมือเร่งทำงานโดยเร็ว ส่วนของโถงหลักกับห้องเจ้าบ้านหลักให้สร้างขึ้นมาให้เสร็จก่อน ในวันจัดงานแต่งจะได้สามารถใช้ทำเป็นเรือนหอให้คู่บ่าวสาวทำพิธีเข้าเรือน หลังแต่งงานไปสามวันก็ให้พวกเขากลับไปพักอยู่ที่จวนอ๋องฉู่ไปก่อนจากนั้นรอให้เรือนทั้งหลังสร้างเสร็จ ก็ค่อยย้ายกลับเข้าไปอีกครั้ง
เรื่องที่ทำให้เจ้าสาวต้องน้อยเนื้อต่ำใจขนาดนี้ ก็คงมีแค่ตระกูลหยวนที่มีหัวใจอันแสนจะเปิดกว้างเพียงตระกูลเดียวเท่านั้นแหล่ะ ถึงจะสามารถยอมให้ทำอะไรแบบนี้ได้
สวีอี ไอ้เจ้าคนบุญหล่นทับเอ๊ย!
เพียงไม่นาน ข่าวเรื่องการแต่งงานของสวีอี ขุนนางรับใช้ในจวนรัชทายาทกับลูกสาวตระกูลหยวนก็แพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง บรรดาจวนขุนนางน้อยใหญ่ ต่างก็เริ่มตระเตรียมของขวัญแต่งงานกันถ้วนหน้า
ว่ากันว่าของขวัญนี้มอบให้กับตระกูลหยวน ถ้าพูดตรงๆ ตระกูลหยวนแต่งลูกสาวออกไปให้กับสวีอี จะพูดอย่างไร ทางตระกูลหยวนก็มีความสามารถในการต่อสู้ที่ดีกว่านิดหน่อย
แต่เนื่องจากตอนนี้ สวีอีได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งทางการแล้ว อีกทั้งงานแต่งงานนี้ถูกจัดขึ้นในจวนรัชทายาท จะอย่างไรก็ต้องไว้หน้ารัชทายาท ดังนั้น ของขวัญแต่งงานจึงส่งไปให้ทั้งสองฝ่าย ด้านหนึ่งคือแสดงความยินดีกับตระกูลหยวน อีกด้านหนึ่งคือแสดงความยินดีกับจวนอ๋องฉู่สำหรับพิธีแต่งงาน
หยู่เหวินเห้ามองไปที่ของขวัญแสดงความยินดี ที่บัดนี้กองพะเนินอยู่ในห้องเก็บของ พลางพึมพำอะไรบางอย่างกับตัวเองว่า “คืนทุนแล้ว ครั้งนี้ข้าคืนทุนแล้ว”
หยวนชิงหลิงตีแขนของเขาเบาๆ “คืนทุนอะไรกันล่ะ? นี่คือของขวัญที่ส่งให้สวีอีกับอะซี่ เจ้าจะหน้าไม่อายกล้าเอาไว้เองอย่างนั้นรึ?”
“ไม่ได้จะเอาไว้ทั้งหมดเสียหน่อย แค่เก็บไว้เป็นสิริมงคลเอาโชคเอาลางเท่านั้น” หยู่เหวินเห้า มองจนตาพร่า ในใจนึกอิจฉาอย่างมาก มีทั้งแก้วแหวนเงินทองรวมถึงเครื่องประดับมากมายลายตาไปหมด “คิดไม่ถึงเลยว่าตอนแต่งงานจะมีคนส่งของขวัญมาให้มากมายขนาดนี้ นึกถึงตอนงานของข้า ทั้งเงียบเหงาทั้งแร้นแค้นยิ่งนัก”
แม่นมสี่เดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้ม “ทำไมหรือเพคะ? ยังอยากจัดงานแต่งงานใหม่อีกครั้ง?”
หยวนชิงหลิงแค่นยิ้มเย็นชา “จัดงานแต่งงานใหม่ ? รับชายารองน่ะรึ?”
แววตาของหยู่เหวินเห้ากลับเป็นประกายพร่างพราว ระยิบระยับขึ้นมาทันที “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? งานแต่งงานครั้งก่อนไม่นับ พวกเราสามารถจัดใหม่อีกครั้งก็ได้นี่”
“เพียงเพื่อจะได้รับของขวัญน่ะรึ?” หยวนชิงหลิงไม่เคยเห็นเขาเห็นแก่เงินขนาดนี้มาก่อนจริงๆ
“ ประเด็นหลักคือการชดเชยต่างหาก งานแต่งงานในครั้งนั้นจริงๆ แล้ว…” จริงๆ แล้วหยู่เหวินเห้าไม่ค่อยอยากนึกย้อนไปถึงเรื่องที่เก่าก่อน เพราะมันเป็นอะไรที่น่าเศร้ามาก ตอนนั้น เขาไม่เป็นที่โปรดปรานของเสด็จพ่ออีกต่อไป ใครๆ ก็บอกว่าเขาเป็นพวกลามกหื่นกาม ไม่มีใครอยากไปมาหาสู่กับจวนอ๋องฉู่ทั้งสิ้น งานแต่งงานนั้นจึงเรียกได้ว่าเงียบเหงาแร้นแค้นอย่างยิ่ง
เขาโน้มตัวไปที่หูของหยวนชิงหลิง “อันที่จริง พวกเรายังไม่นับว่าได้เข้าพิธีแต่งงานกัน เราจึงควรจัดงานแต่งงานใหม่อีกครั้งไม่ใช่รึ?”
หยวนชิงหลิงกลอกตามองบนใส่เขา “จะใช้เหตุผลอะไรล่ะ?”
“นี่ล่ะที่เป็นปัญหา” หยู่เหวินเห้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “นี่เจ้าคิดจริงๆ รึ? ช่างมันเถอะ อย่าทรมานทรกรรมข้าอีกเลยน่า ข้าไม่ได้พิสมัยเรื่องงานแต่งงานขนาดนั้น แค่ในแต่ละวันต้องคอยวางแผนงานแต่งงาน ก็ต้องใช้เรี่ยวแรงกำลังไปตั้งเท่าไหร่แล้ว? อายุข้ามากแล้วนะ ทนรับการเคี่ยวกรำขนาดนั้นไม่ไหวหรอก ”
หยู่เหวินเห้าคิดจริงๆ ว่า ในชีวิตของคนคนหนึ่ง สมควรจะต้องมีงานแต่งงานที่วิเศษจนลืมไม่ลงสักครั้ง ในใจของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวังที่จะได้แต่งงานกับคนที่ตนรัก เพราะความหมายของมันไม่ได้เป็นแค่พิธีกรรมพิธีหนึ่ง แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิตคู่อีกด้วย
หลังจากหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง เขาก็พูดว่า “รอให้ข้าทำพิธีขึ้นครองราชย์แล้ว ก็สามารถจัดงานแต่งได้อีกครั้งแล้วล่ะ เป็นพิธีแต่งตั้งยศฮองเฮา”
หยวนชิงหลิงเตะเขาไปครั้งหนึ่ง “เจ้าเสียสติไปแล้วรึ ? พูดจาไร้สาระอะไร?”
พิธีขึ้นครองราชย์ ไม่ใช่สิ่งที่เอาไว้ให้คนเป็นฮ่องเต้ทำอะไรแบบนั้นเสียหน่อย
หยู่เหวินเห้าพูดอย่างไม่เต็มใจ: ” ใครๆ ต่างก็มีกันหมด มีแต่ข้าที่ไม่มี ในใจข้าไม่ได้รับความรู้สึกเท่าเทียม!”
“นายท่าน อ๋องชุนได้นำคนมาส่งมอบของขวัญเพคะ” ฉี่หลอเข้ามารายงาน
หยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงประสานสายตากันโดยไม่รู้ตัว เจ้าเก้าพาคนมา หมายความว่าแม่นมฉินก็ควรจะตามมาด้วยน่ะสิ?
“ไปต้อนรับกันก่อนเถอะ มาเดี๋ยวนี้แล้ว” หยู่เหวินเห้าตอบรับ
ทั้งสองนำข้าวของกลับมารวมกันไว้ที่เดิม แล้วสั่งให้แม่นมสี่จดบันทึกไว้ จากนั้นก็ออกไปพร้อมกัน สวีอีก็รีบมาจนหัวถูหัวไถเพราะได้ยินว่า มีคนนำของขวัญมามอบให้อีกแล้ว เขาที่เป็นเจ้าบ่าว จะอย่างไรก็ควรออกมากล่าวคำขอบคุณเช่นกัน
หยวนชิงหลิงมองเขา อดพูดขึ้นมาไม่ได้จริงๆ ว่า “สวีอี เจ้าเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ใส่หน่อยจะได้หรือไม่ ? มันเยิ้มไปหมดแล้ว นี่เจ้าใส่มันมากี่วันแล้วล่ะ?”
สวีอีพูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ช่วงนี้ต้องทำเรื่องสำคัญทุกวัน ไม่สวมเครื่องแบบราชการได้อย่างไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ? แต่พูดไปก็แปลกนัก ทำไมชุดราชการถึงไม่ใช่สองชุด? ฝ่าบาทยังมีชุดเข้าทำงานราชสำนักตั้งมากมายหลายชุดแท้ๆ”
“สิ่งที่เจ้าเรียกว่าทำเรื่องสำคัญทุกวัน ก็แค่ตามเจ้าห้าเข้าๆ ออกๆ ราชสำนักก็แค่นั้นเอง ไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเจ้าต้องสวมเครื่องแบบราชการ แล้วนี่เจ้าคิดว่ามีศักดิ์ศรียิ่งใหญ่มากนักรึ? ใส่ใจกับสุขอนามัยส่วนตัวหน่อยสิ รอหลังจากนี้คนตระกูลหยวนได้มาเห็นสารรูปสกปรกเลอะเทอะเช่นนี้ของเจ้า คนเขาจะไม่รังเกียจเจ้าหรอกรึ?”
หยวนชิงหลิงปรายตามองที่แขนเสื้อกับปกเสื้อของเขา คราบมันเป็นชั้นๆ ที่เกาะกันจนเงาวับนั่นสามารถเอามาทอดไก่ได้ทั้งตัวแล้ว!
สวีอีได้ยินคำว่าคนตระกูลหยวน หัวใจก็เต้นกระหน่ำโครมๆ ไม่หยุด รีบเงยหน้าขึ้นทันควัน พลางกวาดสายตามองไปทั่ว “คงไม่ได้มาจริงๆ ใช่หรือไม่?”
“พูดยาก พวกเราสองตระกูลเตรียมงานมงคล ต่างก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ติดต่อสื่อสารกันก่อนจะเริ่มพิธีไม่ใช่รึ?” หยวนชิงหลิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม
สวีอีครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นข้าจะรีบกลับไปเปลี่ยนชุดใหม่ หลังจากใส่มาหลายวัน พอมาวันนี้ ข้าก็รู้สึกว่าได้กลิ่นเหม็นเปรี้ยวตัวเองหน่อยๆ แล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ”
พูดจบ ก็หันหลังเดินกลับไปทันที
หยู่เหวินเห้าขมวดคิ้วมุ่น มองด้วยสายตาที่สื่อว่าออกจะรังเกียจ “ไม่ใช่ว่าข้าจะชอบดุด่าว่ากล่าวอะไรเขาจริงๆ หรอกนะ แต่บางครั้งสมองของเขาก็เลอะเลือนคิดอะไรไม่ชัดเจนพอ พาออกไปไหน ก็อับอายขายหน้าไปถึงนั่น”
“เอาเถอะๆ จากนี้ไปพอมีภรรยาที่ช่วยกำกับดูแล คอยกระตุ้นเตือนเขาได้ ก็ไม่ต้องให้เจ้าสิ้นเปลืองเรี่ยวแรงสั่งสอนอีกแล้วล่ะนะ” หยวนชิงหลิงพูด
หยู่เหวินเห้าช่วยพยุงนางเดินไปข้างหน้า ” ที่เจ้าพูดมาก็ถูก แต่เอาจริงๆ เขาก็ไม่ได้หน้าตาย่ำแย่อะไร แค่ชอบทำตัวเป็นคนนิสัยเป็นหมาไปหน่อย * (หมายถึงคนที่ไม่มีมารยาท มักแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์ หรือไม่รู้กาลเทศะ)
พอจับมาแต่งเนื้อแต่งตัวก็พอจะไปวัดไปวา พาไปให้คนเห็นได้บ้าง แต่ไม่รู้ทำไมถึงได้ชอบดันทุรังทำให้ตัวเองดูต่ำต้อยด้อยค่า ทำราวกับว่าข้าปฏิบัติตัวกับเขาไม่ดีอย่างนั้นแหล่ะ”
“ อย่ารังเกียจไปเลย ก็มีแค่สวีอีที่นิสัยอย่างนี้นี่ล่ะถึงทนเจ้ามาได้ ลองเปลี่ยนเป็นคนอื่นล่ะก็ ถูกเจ้าทั้งเบียดเบียนเวลา ทั้งบีบเค้นเจียนตายตั้งหลายครั้งหลายหนขนาดนี้ คงไปเสียตั้งนานแล้ว” หยวนชิงหลิงยืนนิ่งเหยียดตัวตรง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ ขมวดคิ้วเล็กน้อย
หยู่เหวินเห้าหยุดชะงักฝีเท้า “เป็นอะไรรึ?”
“หายใจไม่ค่อยคล่อง ไม่เป็นไร ท้องใหญ่แบบนี้ก็มักจะมีอาการเช่นนี้แหล่ะ”นางเดินต่อไปช้าๆ
หยู่เหวินเห้าจ้องมองท้องที่ใหญ่เกือบพอๆ กับระฆังของนาง รู้สึกแปลกใจขึ้นมา “ทำไมลูกสาวของเราถึงอ้วนขนาดนี้นะ? อายุครรภ์ของเจ้านับรวมเดือนนี้ ก็ยังน้อยกว่าหยวนหย่งอี้ตั้งสองเดือน แต่ดูไปแล้วกลับใหญ่กว่าของนางอยู่บ้าง นี่คงไม่ใช่ว่าเป็นแฝดสามอีกหรอกนะ?”
“ ไม่ใช่แฝดสามหรอก เจ้าวางใจเถอะ” หยวนชิงหลิงพูดขึ้น
“ อย่าเพิ่งมั่นใจ เจ้ากลับไปเอาของสิ่งนั้นมาเถอะ ให้ข้าฟังเสียงหัวใจเต้นในท้องของเจ้าหน่อยว่ามีกี่ดวง ถ้าข้าไม่ได้ฟังใจข้าคงรู้สึกไม่สงบ” หยู่เหวินเห้ายิ่งเห็นรูปร่างที่ยิ่งหนักเทอะทะของนางมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกกังวลใจมากขึ้นเท่านั้น
หยวนชิงหลิงพูดอย่างติดจะรำคาญว่า: “ช่างบังเอิญจริงๆ หูฟังทางการแพทย์เกิดพังพอดี”
“พังแล้วรึ ซ่อมได้หรือไม่?”
“ไม่น่าจะได้ ของสิ่งนี้ถ้าพังแล้วมันซ่อมไม่ได้”
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่สำคัญหรอก ก่อนหน้านี้เจ้าไม่ได้ถวายให้กับไท่ซ่างหวงไปอันหนึ่งหรอกหรือ? หลังจากนี้ข้าจะเข้าวังไปเอามาฟังดูสักหน่อย”
“ค่อยคุยกันทีหลัง” หยวนชิงหลิงเดินช้าๆ ดวงตากะพริบวาบวับ
“ไปพรุ่งนี้เลย”
หยวนชิงหลิงตอบรับด้วยน้ำเสียงคลุมเครือว่า ” ได้! ไปพรุ่งนี้”
เป็นไปตามคาด เป็นดังที่สองคนสามีภรรยาคิดเอาไว้ไม่มีผิด แม่นมฉินตามมาด้วยจริงๆ ทำหน้าที่มาส่งมอบของขวัญยินดีให้คู่บ่าวสาว
แม่นมฉินสวมเสื้อคลุมสีเทา หวีผมแต่งทรงอย่างเรียบร้อยงดงาม ยืนอยู่ข้างกายเจ้าเก้า ดวงตาของนางเอาแต่มองออกไปข้างนอกตลอดเวลา เมื่อเห็นหยู่เหวินเห้ากับหยวนชิงหลิงเดินเข้ามา ก็รีบเก็บสายตากลับแล้วค้อมกายลงคำนับทันที
เจ้าเก้าลุกขึ้นยืนอย่างยินดี “พี่ห้า พี่สะใภ้ห้า น้องชายมาส่งของขวัญแล้ว ขอแสดงความยินดีกับงานมงคลที่จัดขึ้นในจวนอ๋องฉู่ด้วยพ่ะย่ะค่ะ”