บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 939 โสวฝู่ขอโองการปลดฮองเฮา
เมื่อตระกูลหยวนรู้เรื่องนี้แล้วก็เดือดจนเต้นผาง แต่พอเห็นหยวนหย่งอี้พาลูกน้อยกลับมาก็ดีใจกันใหญ่ จัดการให้พักที่ห้องเดิมของนาง แล้วเริ่มปรนนิบัติอยู่เดือน
เนื่องจากวันรุ่งขึ้นเป็นว่ามงคลสมรสของอะซี่ ดังนั้นเรื่องนี้จึงพักไว้ก่อน คนก็กลับมาแล้ว ไม่ถูกข่มเหงอีก ไม่รีบเอาความ อีกอย่าง ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องขึ้นเอง ให้คนไปพูดในวังสักหน่อย แล้วให้คนไปพูดต่อหน้าโสวฝู่อีกนิด ตระกูลหยวนเป็นแค่ผู้เคราะห์ร้าย ไม่ต้องพูดสักคำก็มีคนออกหน้าจัดการให้แล้ว
แถมทุกคนได้เห็นเจ้าตัวน้อยตัวชมพูแล้วก็ใจละลาย หากฮองเฮาไม่ก่อเรื่องก็กลับบ้านมาอยู่เดือนไม่ได้
คนตระกูลหยวนไม่ค่อยถือธรรมเนียมข้อห้ามสักเท่าไหร่ สำหรับพวกเขา ทุกสิ่งที่ได้มาในวันนี้ล้วนแลกมาด้วยเลือดเนื้อ ไม่ได้ได้มาเปล่าๆ และไม่เคยคิดจะเอามาเปล่าๆ ด้วย ดังนั้นจึงใช้ชีวิตอย่างเปิดเผย ไม่หวาดเกรงสิ่งใด
ไม่นานเรื่องที่พระชายาฉีให้กำเนิดบุตรีก็เข้าถึงหูฮ่องเต้หมิงหยวน ฮ่องเต้หมิงหยวนกำลังเล่นกับเจ้าสิบอยู่ที่ตำหนักฮู่เฟย เมื่อรู้ข่าวว่ามีหลานสาวก็ดีใจมาก สั่งให้มู่หรูกงกงส่งของขวัญไปที่จวนอ๋องฉีทันที
แต่มู่หรูกงกงกลับหน้านิ่ว เอ่ย “ฝ่าบาท รอให้ครบเดือนค่อยประทานของขวัญดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”
“ครบเดือนก็มีของครบเดือน ตอนนี้เป็นการชมเชยชายาฉีที่เพิ่มลูกหลานให้ราชวงศ์”
ฮ่องเต้หมิงหยวนอุ้มเจ้าจ้ำม่ำ หยอกเล่นกับคางน้อยๆ “ตอนนี้เจ้าไม่เด็กที่สุดแล้วนะ เจ้าที่เสด็จอาเนี่ย เป็นได้สมชื่อสมศักดิ์แล้ว พี่เจ็ดเจ้ามีหลานสาวให้เจ้าแล้วนะ เด็กกว่าเจ้าอีก”
เจ้าสิบมือไม้เริงร่า ฉีกยิ้มให้เห็นคางสามชั้นตามมาตรฐาน
ทว่าฮู่เฟยกลับฟังความนัยออก จึงถาม “ท่านกงกง ทำไมถึงประทานของขวัญวันนี้ไม่ได้เล่า? ทำไมหน้าท่านยู่ยี่อย่างนี้ล่ะ?”
มู่หรูกงกงแอบมองฮ่องเต้หมิงหยวนทีหนึ่ง แล้วอึกอัก
ฮ่องเต้หมิงหยวนเหลือบมองเขา “ไปเรียนท่าทางลับๆ ล่อๆ แบบนี้มาตั้งแต่เมื่อไร? มีอะไรก็ว่ามา”
เมื่อนั้นมู่หรูกงกงจึงเงอะงะพูด “ฝ่าบาท คืออย่างนี้พ่ะย่ะค่ะ พระชายาฉีให้กำเนิดจวิ้นจู่แล้วก็กลับบ้านเดิม ฉะนั้นข้าน้อยก็เลยไม่รู้ว่าหากประทานของขวัญ จะต้องไปที่ตระกูลหยวนหรือว่าจวนอ๋องฉีพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนชะงัก ส่งเจ้าสิบให้ฮู่เฟย “ทำไมเพิ่งคลอดก็กลับบ้านเดิมล่ะ? สองคนทะเลาะอะไรกัน?”
“ไม่ใช่อ๋องฉีทะเลาะหรอกพ่ะย่ะค่ะ” มู่หรูกงกงคุกเข่าตรงหน้า “ฮองเฮาเสด็จไปจวนอ๋องฉี พอทราบว่าพระชายาให้กำเนิดท่านหญิงก็ไม่พอใจ พูดกับพระชายาผ่านประตูว่าจะให้ท่านอ๋องแต่งชายารอง ตรัสว่าคลอดลูกสาวไม่มีประโยชน์ อ๋องฉีกับพระชายาเสียใจมากก็เลยกลับบ้านเดิมพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนยังไม่ทันพูด ฮู่เฟยก็พูดด้วยความตกใจ “สวรรค์ เรื่องใหญ่เลยนะ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนทำหน้าขรึม “เหลวไหลจริงๆ เพิ่งคลอดลูก เป็นเวลาที่ต้องพัก ทำไมถึงกลับบ้านเดิมไปล่ะ? ไม่ใช่ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่หรือ?”
แม้ฮ่องเต้หมิงหยวนก็คิดว่าฮองเฮาทำเกินไป แต่หยวนหย่งอี้ก็ทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย แต่ไหนมาก็เห็นนางเข้มแข็งมาตลอด ไม่เหมือนคนสำออย
ดังนั้นคำพูดนี้จึงเป็นการตำหนิหยวนหย่งอี้
ฮู่เฟยอุ้มเจ้าสิบ น้ำเสียงเสียใจและน้อยใจเล็กน้อย “ดีว่าหม่อมฉันให้กำเนิดโอรสนะเพคะ หากเป็นเจ้าหญิง มิต้องฟังคำพูดแย่ๆ หรือ?”
ตอนนี้ฮ่องเต้หมิงหยวนก็รู้นิสัยนางแล้ว เมื่อได้ยินดังนั้นก็รู้ว่านางคิดไม่เหมือนตน จึงถาม “ยังไง? เจ้าคิดว่ากลับบ้านเดิมถูกต้องแล้วหรือ?”
ฮู่เฟยยื่นปลอกเล็บเกาคราบที่มุมปากเจ้าสิบ พูดน้ำเสียงเย็น “เมื่อก่อนหากมีใครบอกหม่อมฉันว่าคลอดลูกก็เหมือนเข้าประตูผีรอบหนึ่ง หม่อมฉันต้องไม่เชื่อแน่ คลอดลูกจะยากแค่ไหนกันเชียว?
ในท้องมีตัว ถ่ายออกมาก็สิ้นเรื่อง แต่พอหม่อมฉันผ่านการคลอดมาแล้วถึงรู้ว่าเมื่อก่อนช่างด้อยความรู้นัก ตั้งท้องสิบเดือนยังไม่ว่า เจ็บเจียนตายก็ทน แต่ตอนคลอดกลับเอาขาก้าวเข้าประตูผีไปข้างกว่าจะคลอดออกมาได้
เดิมคิดว่าเป็นเวลาแห่งความยินดี ชมเชยไม่มีซักคำ แต่กลับได้ยินว่าลูกสาวที่คลอดมาด้วยความยากลำบากถูกคนรังเกียจ สามีจะแต่งกับหญิงอื่น นี่อย่างกับเอาน้ำเย็นรดใส่ตัว จากศีรษะถึงเท้า หนาวสะท้านถึงใจ”
ฮ่องเต้หมิงหยวนมองนาง แม้นึกความรู้สึกนั้นไม่ออก แต่ก็จินตนาการได้ โหดร้ายจริงๆ
“ผู้ชายหรือจะเข้าใจ?” ว่าแล้วฮู่เฟยก็เชอะเสียงหนึ่งแล้วอุ้มลูกน้อยไป เหลือเพียงแผ่นหลังที่โกรธเคือง
นี่ก็คือข้อดีของนงเยาว์กับตาเฒ่า สาวน้อยมักใช้อารมณ์กับชายสูงวัยได้เสมอ
ฮ่องเต้หมิงหยวนตบโต๊ะ “เตรียมเกี้ยวไปห้องทรงอักษร เชิญโสวฝู่มา!”
ยามดึกย่อมเชิญโสวฝู่มาไม่ได้อยู่แล้ว แต่ราชโองการยังสามารถส่งถึง วันถัดมาไม่ใช่วันประชุม เกี้ยวของตระกูลโสวฝู่ก็เข้าวังมา
พอโสวฝู่ออกมาจากห้องทรงพระอักษรก็ทำดำคร่ำเครียด ตรงดิ่งไปตำหนักฮองเฮาทันที
ฮองเฮากำลังอัดอั้นตันใจอยู่พอดี พอได้ยินว่าบิดามาก็รีบออกไปต้อนรับ
เมื่อก่อนโสวฝู่ยังรักษาธรรมเนียมระหว่างเจ้ากับขุนนาง ทว่าวันนี้เขาไม่ใช่ขุนนาง แต่เป็นบิดาที่โมโหเลือดพล่าน
เมื่อเห็นฮองเฮาแล้ว เขาก็ไม่สนใจคนที่อยู่ในที่นั้น ตบเข้าให้ฉาดหนึ่งแล้วตวาดไป “เจ้าทำเรื่องงามหน้าอะไรไว้?! ชักไม่มีท่าทางแม่ของแผ่นดินเข้าไปทุกทีแล้ว ยังวางมาดตำแหน่งฮองเฮาทำอะไร? พรุ่งนี้ข้าจะเข้าประชุมขอโองการปลดเจ้าซะ!”
ฮองเฮาราวกับยินเสียงอัสนีฟาดผ่า ตกใจจนหน้าซีดเผือด “ท่านพ่อ…”
“เจ้าก็รักษาตัวแล้วกัน!” แม้แต่การอธิบายโสวฝู่ก็ไม่ให้นางได้เอ่ย สะบัดหน้าไปทันที
ฮองเฮาหมดเรี่ยวแรง ความเดือดดาลหัวฟัดหัวเหวี่ยงของบิดาน่ากลัวยิ่งกว่าฮ่องเต้กริ้ว เพราะแต่ไหนมามักพูดคำไหนคำนั้น
นางสั่นเทิ้มไปทั้งตัว หลายปีมานี้ไม่ว่าทำอะไร ก่อเรื่องอะไร นางก็มั่นใจมาตลอด เพราะฮ่องเต้จะไม่หักหน้าบิดานางเป็นอันขาด ตระกูลฉู่เป็นใหญ่เพียงหนึ่งเดียว บ่าบิดาแบกรับแผ่นดินกึ่งหนึ่ง ถึงนางจะอาละวาดในวัง ฮ่องเต้ก็เห็นแก่หน้าตาตระกูลฉู่ ไม่ปลดฮองเฮาเด็ดขาด
แต่…หากบิดาไปขอโองการปลดฮองเฮาจริง เช่นนั้นก็สมใจฮ่องเต้พอดี ฮ่องเต้อยากยกนางแพศยาฮู่เฟยนั่นขึ้นอยู่แล้ว
ฮองเฮาตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก รีบสั่งให้คนไปสืบข่าว และถึงรู้ว่าหยวนหย่งอี้กลับบ้านเดิม นางโกรธจัด ส่งคนไปเรียกตัวอ๋องฉีเข้าวัง แต่อ๋องฉีไปบ้านตระกูลหยวนอยู่เดือนเป็นเพื่อนหยวนหย่งอี้แล้ว คนที่ไปถ่ายทอดพระเสาวนีย์ไม่กล้าเข้าบ้านตระกูลหยวน จึงได้แต่กลับเข้าวัง
ฮองเฮาราวกับนั่งบนพรมเข็ม อยู่ไม่สุขจึงไปขอพบฮ่องเต้หมิงหยวน แต่ฮ่องเต้หมิงหยวนไหนเลยจะอยากพบนาง? เรื่องนี้มอบให้โสวฝู่จัดการเหมาะสมที่สุด
ฮ่องเต้หมิงหยวนคิดอยู่ในใจแล้ว บัดนี้โสวฝู่คิดจะค่อยๆ ถอยไปอยู่เบื้องหลัง เขาย่อมไม่ยอมให้ฮองเฮาโอหังแบบนี้ สร้างเรื่องให้ตระกูลฉู่ในภายหลังแน่ ดังนั้นฮ่องเต้หมิงหยวนจึงรู้ดีว่าฉู่โสวฝู่คิดจะทำอะไร
ดังนั้นวันนี้เป็นวันแต่งงานของอะซี่ เขาจึงสั่งให้คนไปมอบของขวัญ แล้วเชิญเหลิ่งจิ้งเหยียนเข้าวังมาเล่นหมากรุก
“ดูท่าโสวฝู่จะถอยแล้ว ฝ่าบาททรงมีเรื่องกังวลหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” เหลิ่งจิ้งเหยียนถนัดคาดเดาความคิดฮ่องเต้เป็นที่สุด แต่…แม้เห็นหมดเปลือกแต่กลับไม่พูดหมดเปลือก
ฮ่องเต้หมิงหยวน “เขาเลือกคนสานงานกับขุนนางฝ่ายรัชทายาทไว้แล้ว ข้ายังต้องกังวลอะไรอีก”
เหลิ่งจิ้งเหยียนบีบหมากขาว พูดอย่างมีความคิด “เช่นนั้นฮองเฮา…”