บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 945 เสียแล้วเหมือนกัน
หมันเอ๋อรีบออกไปดูที่หน้าประตูจวนครู่หนึ่ง เห็นว่ามีศีรษะของคนสองคนตรงสุดซอยเอาแต่จ้องมองมายังประตูของจวนอ๋องฉู่อย่างไม่ละสายตา เพราะระยะห่างค่อนข้างไกล มองเห็นไม่ชัดเจนนัก อีกทั้งสองคนนั้นเห็นหมันเอ๋อชะเง้อมอง ก็รีบหดหัวกลับเข้าไปทันที
หมันเอ๋อรู้สึกน่าสงสัยมาก จึงไปรายงานให้กับทังหยาง ทังหยางให้คนแอบจับตาดูทั้งสองคนนั้นเอาไว้ หมันเอ๋อค่อยกลับไปรายงานด้วยเสียงต่ำที่ข้างหูสองประโยค
ในใจของหยวนชิงหลิงก็พอจะรู้แล้ว มองไปยังหยู่เหวินจุน ท่าทีเปลี่ยนแปลงไป พูดว่า “เงินหนึ่งแสนตำลึงนี้ ข้าคงเอาออกมาไม่ได้ในชั่วเวลาสั้นๆ เอาอย่างนี้ เจ้าให้เวลาข้าสามวัน หลังจากสามวันแล้ว พวกเจ้าค่อยมาใหม่ เป็นอย่างไร”
“ไม่ได้ ต้องให้ตอนนี้เลย”ท่าทีของฉู่หมิงหยางแข็งกระด้างเป็นอย่างยิ่ง
หยวนชิงหลิงจึงค่อยๆลุกขึ้น “ตอนนี้มีเพียงสิบตำลึงเท่านั้น จะเอาก็เอา ไม่เอาก็ไสหัวไป จากนั้นก็ไปป่าวประกาศใส่ร้ายว่าเจ้าห้ารังแกเจ้า”
หยู่เหวินจุนสีหน้าร้อนใจขึ้นมา รีบขวางนางเอาไว้ “หลังสามวันแล้วมีแน่ใช่หรือไม่ เจ้าอย่าหลอกข้านะ”
“มีหรือไม่ หลังจากนี้สามวันท่านมาก็จะรู้เองมิใช่หรือ”หยวนชิงหลิงนั่งอย่างไม่สบายตัวนัก และไม่อยากจะพูดกับพวกเขาแล้ว ค่อยๆเดินออกไปกับฮูหยินเหยา
ด้านหลัง มีเสียงข่มขู่ของฉู่หมิงหยางดังขึ้นมา “หลังจากนี้สามวันหากไม่มีเงินหนึ่งแสนตำลึง ข้าไม่มีทางปล่อยเจ้าไป หยวนชิงหลิง”
ทันใดนั้นฮูหยินเหยาก็หันหน้ากลับไป แววตาเยือกเย็นดุจคมดาบ กลิ่นอายของความกระหายเลือดพุ่งออกมา ทำเอาฉู่หมิงหยางหัวใจกระตุกขึ้นมาอย่างกะทันหัน
หยวนชิงหลิงยิ้มบางๆเดินตรงไปข้างหน้า พูดถึงระดับชั้นแล้ว ฉู่หมิงหยางควบม้าก็ตามฮูหยินเหยาไม่ทัน พูดถึงพลังที่ทำให้ตกตะลึง ฉู่หมิงหยางก็แค่ทำสีหน้าดุดันปากพ่นคำชั่วร้ายเท่านั้น
สองสามีภรรยาหยู่เหวินจุนไปจากจวนอ๋องฉู่ ก็มีคนค่อยๆย่องตามหลังไปอย่างช้าๆแล้ว
ฮูหยินเหยาเงียบขรึมตลอดทาง กลับมาถึงโถงด้านข้าง พูดด้วยเสียงเรียบคำหนึ่ง“นี่มันอะไร”
“ผิดหวังหรือ”หยวนชิงหลิงถาม
“สำหรับเขาแล้วไหนเลยยังมีความรู้สึกผิดหวังหรือไม่ผิดหวัง ไม่รู้จักตั้งนานแล้ว”ฮูหยินเหยาพูด
หยวนชิงหลิงมองนาง “ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่แล้ว”
“ข้าเกิดปีม้า”ฮูหยินเหยาพูดออกมาอย่างสบายๆ ยื่นมือออกไปกดปิ่นปักผมทีหนึ่ง “ดูแก่ใช่หรือไม่ ”
หยวนชิงหลิงคำนวณดูแล้ว เกิดปีม้า ก็คือสามสิบต้นๆ ในปีที่ผ่านมานี้ไม่ได้วางแผนการอะไร ขัดเกลาจิตใจและร่างกายตัวเองตลอด หล่อเลี้ยงผิวพรรณของนางจนดูขาวกระจ่างใส ใบหน้าสมดุล ดวงตาสดใส สวยกว่าก่อนหน้านี้มาก
ก่อนหน้านี้ถ้าไม่ใช่ใบหน้าอมทุกข์ ก็เป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยแผนการ ทำให้คนที่เห็นรู้สึกไม่สบายใจ
“ทั้งชีวิตของเจ้าไม่ควรจะอยู่ในมือของเขา สามารถหาความสุขของตัวเองได้”
“ความสุข ตอนนี้ข้ามีความสุขมาก”ฮูหยินเหยาหัวเราะอย่างเย้ยหยัน “เจ้าคงไม่ได้ให้ข้าไปหาผู้ชายกระมัง”
“อายุเจ้าตอนนี้ หาผู้ชายที่ชื่นชอบสักคนไม่ใช่เรื่องปกติหรือ”ฮูหยินเหยาเห็นนางจริงจัง ก็รีบโบกมือ “พอแล้ว เจ้ารีบหุบปากเถอะ ชาตินี้ข้าลำบากเพราะผู้ชายมามากพอแล้ว ตอนนี้ยากนักกว่าจะสงบได้ จะไม่ยอมหาผู้ชายมาทำให้ตัวเองต้องระทมทุกข์อีกแล้ว”
“คงไม่ดวงซวยเจอแต่ผู้ชายเลวๆเช่นนี้ตลอดไป”
“ใต้หล้านี้ทั่วทุกที่ที่มีคนแสวงหาผลประโยชน์และกดขี่คนอื่นล้วนเป็นคนเลว นอกจากเจ้าห้า ข้าไม่เคยเห็นผู้ชายดีๆมาก่อนเลย”ฮูหยินเหยาเหลือบสายตาขึ้นมา “เอาล่ะ น้องหกก็นับว่าดี น้องเจ็ด ……เมื่อก่อนตาบอด ตอนนี้ตาสว่างแล้วก็นับว่าใช้ได้ ส่วนน้องสามน้องสี่ ล้วนเป็นพวกหมกมุ่นทั้งสิ้น”
“ใต้หล้านี้ไม่ได้มีแต่ผู้ชายในราชวงศ์เท่านั้น เจ้าลองเบิกตากว้างๆมองดูรอบตัว ยังมีที่ดีอีกมากมาย”
“คนดีก็คงไม่มองภรรยาที่ถูกทิ้งอย่างข้า”ฮูหยินเหยารู้สึกว่าพูดเรื่องเหล่านี้ไปก็เสียเวลาเปล่า ลุกขึ้นจากไปทันที
หยวนชิงหลิงตะโกนเรียกนางเสียงหนึ่ง “ยังจะเลี้ยงหมาอีกหรือไม่ จะส่งไปให้อีกตัว”
“ได้ ส่งมา ”เสียงของฮูหยินเหยาส่งมาจากที่ไกลๆ ได้เดินออกจากลานบ้านไปแล้ว
ทางด้านทังหยางได้ออกไปสืบข่าวอย่างเงียบๆสักพัก เรื่องที่หยู่เหวินจุนกับฉู่หมิงหยางมาขอเงินถึงจวนก็มีความจริงปรากฏขึ้นมาแล้ว
แม้ว่าตอนนี้หยู่เหวินจุนยังคงอยู่ในฐานะองค์ชายใหญ่ ตอนแรกนั้นยังคงทำตัวสงบเสงี่ยมดี ทุกเดือนก็มีเงินเดือนที่ราชสำนักแจกจ่ายให้ แม้ว่าตอนนี้จะไม่มีคนคอยส่งเสียแล้ว ชีวิตก็นับว่ายังพอไปได้
เสียดาย คนกินข้าวอิ่มแล้ว ก็จะเกิดความละโมบขึ้นมา อ๋องจี้แรกเริ่มไม่อยู่ในกฎระเบียบ เมื่อยุ่งเรื่องการเมืองไม่ได้ ก็ทำการค้าขายเพื่อหวังกำไรกับคนอื่นเพื่อเลี้ยงชีพ ตอนแรกก็ถือว่าดี ได้กำไรมาก้อนหนึ่ง ฉู่หมิงหยางก็คุ้นเคยกับการใช้ชีวิตที่หรูหรา คิดอยากจะเจริญรุ่งเรืองอย่างรวดเร็ว จึงได้เอาเงินทุนของตนเองออกมาให้หยู่เหวินจุนนำสินค้าเข้ามาอีกหนึ่งงวด
ไหนเลยจะรู้ว่า สินค้างวดนี้ได้ขนส่งทางน้ำเข้าสู่เมืองหลวง ได้จมลงกลางทาง สินค้าจมน้ำ เขายังไปรับเงินของพ่อค้ามา พร้อมกันนั้นเงินที่ขายสินค้าเพื่อจ้างเรือขนส่ง ทั้งหมดรวมกันเสียหายไปมากกว่าหนึ่งแสนตำลึง
ด้วยเหตุที่ว่าสินค้างวดนี้ได้ร่วมลงทุนกับคนอื่น รายการที่ต้องชดใช้คนอื่นได้ควักออกมาจ่ายก่อน หลังจากชดใช้แล้วก็มาไล่ตามเอาคืนจากเขา บอกว่าถ้าหากเขาไม่ให้ ก็จะเปิดเผยเรื่องนี้สู่สาธารณะ ทำเอาเขาตกใจจนไม่สนฐานะของตัวเอง มาขอเงินถึงจวน
หยู่เหวินเห้าได้ยินแล้ว ก็ถามว่า “ค้าขายสินค้าอะไร”
“เกลือเถื่อน”ทังหยางบอกอย่างไร้คำพูด
ดวงตาของหยู่เหวินเห้ามีแววโมโหขึ้นมา “เขาช่างบังอาจจริงๆ การค้าเกลือเถื่อนเขายังกล้าเข้าไปพัวพัน ความเข้มงวดของราชสำนักที่มีแต่การโจมตีพวกค้าเกลือเถื่อนตอนนี้ทวีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เขากลัวว่าตัวเองจะอายุยืนหรืออย่างไร” ”
“พระองค์ เรื่องนี้ท่านจะรายงานฮ่องเต้หรือไม่ ”ทังหยางถามขึ้น
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิด “รายงานเสด็จพ่อ นั่นเท่ากับให้เขาไปตายลูกเดียว คนที่ร่วมลงทุนกับเขาตรวจสอบฐานะชัดเจนหรือยัง คนที่ค้าขายทางนี้จะหลบหลีกคนในกรมของราชสำนัก พี่ใหญ่อย่างไรเสียก็เป็นองค์ชาย ทำไมเขาจึงกล้าร่วมมือกับพี่ใหญ่ เบื้องหลังอาจมีแผนร้ายและอาจจะมีคนบงการ ตรวจสอบทั้งหมดให้ชัดเจนแล้วค่อยว่ากันอีกที”
“รัชทายาทสงสัยว่าเขาถูกคนหลอกใช้”ทังหยางพูด
หยู่เหวินเห้ากำแก้วเอาไว้ “เรื่องนี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ พวกเราล้วนต้องป้องกันเอาไว้บ้าง ไม่ว่าอย่างไรทางด้านหงเย่ก็ทำให้ข้าวางใจไม่ลง รู้สึกตลอดเวลาว่าแม้เขาจะไม่อยู่ในเมืองหลวง แต่คนมากมายของเข้าได้แทรกซึมอยู่ในเมืองหลวง คนเหล่านี้จะอยู่อย่างสงบได้อย่างไร”
“แต่ว่า ลงมือจากทางองค์ชายใหญ่ แล้วจะได้ประโยชน์อะไร”ทังหยางไม่เข้าใจ
“แม้พี่ใหญ่จะเป็นเสือที่ไร้เขี้ยวเล็บ แต่ว่าหมาบ้าย่อมแว้งกัดได้ ถ้าหากเขายังคงวุ่นวายทำให้ข้าลำบากใจ ข้าก็คงจะทนไม่ไหว เขาไม่อยากให้ข้าหมดห่วงกระมัง”
หยู่เหวินเห้าคาดเดาเช่นนี้
“ท่านชายหงเย่คนนี้รออะไรอยู่กันแน่”ทังหยางรู้สึกคับข้องใจกับเรื่องนี้มาก ถ้าหากจะสร้างเรื่อง ตอนนี้ก็ควรจะเคลื่อนไหวแล้ว ทำไมจึงยังท่องเที่ยวไปทั่วทุกที่ และยังคงอยู่ในเขตแดนของเป่ยถัง
ตอนนี้ความคิดของหยู่เหวินเห้าได้ลึกล้ำขึ้นมากแล้ว คิดเรื่องที่เป็นปัญหาก็คิดได้รอบด้านมาก พูดว่า “รอฐานะที่สามารถเข้าเมืองหลวงได้อย่างเหมาะสมน่าเชื่อถือ ”
หงเย่วางแผนลึกล้ำและมองการณ์ไกล ถ้าหากเขาจะเข้าเมืองหลวง ต้องไม่อับจนข้นแค้นและลำบาก
ทังหยากพยักหน้า ตอนที่หมุนตัวเดินออกไปทันใดนั้นก็หันกลับไปถามว่า “ท่านเข้าไปเอาเครื่องฟังเสียงหัวใจหรือยัง”
พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หยู่เหวินเห้าก็รู้สึกหมดกำลังใจขึ้นมาอยู่บ้าง “ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อันที่อยู่กับไท่ซ่างหวงก็เสียแล้ว และช่างประจวบเหมาะเสียจริง เสียพร้อมกันทั้งสองอัน ”
“เอ๋”ทังหยางพูดขึ้นอย่างสนใจว่า “ช่างประจวบเหมาะจริงๆ”
หมันเอ๋อก็อธิบายชัดเจนแล้วว่าพระชายารัชทายาทใช้เครื่องฟังเสียงหัวใจฟังเสียงเต้นของหัวใจในห้องทุกวัน ทังหยางรู้สึกว่าบางที สมองของรัชทายาทก็ใช้การไม่ค่อยได้สักเท่าไหร่ ผู้หญิงพูดอะไรก็ต้องว่ากันตามนั้น