บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 949 เป็นใบ้หรือ
ไท่ซ่างหวงมีท่าทีดีใจจนแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ รู้สึกรักเป็นพิเศษ ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกอบอุ่นในหัวใจ
ผู้เป็นต้นตระกูลดีใจ เช่นนั้นในตำหนักก็ไร้คนไม่ดีใจ ฉางกงกงก็ถูกเข็นออกมาดูเด็กๆ เด็กน้อยทั้งสองคนถูกแสดงตัวต่อหน้าทุกคน ยังคงนิ่งสงบดุจไก่ ไม่ร้องไม่อาละวาด
หลังจากที่ทุกคนดีใจผ่านไป ในใจก็มีความรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาอยู่บ้างเล็กน้อย ความกังวลนี้เหมือนกันกับหยู่เหวินเห้า ทั้งสองคนนี้เป็นใบ้หรือไม่ ได้ยินว่าตั้งแต่คลอดออกมาก็ไม่ร้องไห้เลย
ในใจของฮ่องเต้หมิงหยวนยิ่งรู้สึกไม่สงบ จงใจสร้างความเคลื่อนไหวขึ้นมาเล็กน้อย เช่นทันใดนั้นก็ตะคอกมู่หรูกงกงเสียงหนึ่ง คนที่อยู่ในตำหนักต่างก็ตกใจกันไปหมด แต่เจ้าสี่กับเจ้าห้ากลับไม่มีปฏิกิริยาอะไร ราวกับไม่ได้ยินด้วยซ้ำไป
ไท่ซ่างหวงหันไปสบตากับฮ่องเต้หมิงหยวนแวบหนึ่ง แววตาขรึมลงในทันที
ในที่สุดหยู่เหวินเห้าก็บอกเล่าถึงความกังวลของตัวเองออกมา “ไม่ร้องไห้ ใช่หูหนวกหรือไม่”
“หุบปากเหม็นๆของเจ้า”ฮ่องเต้หมิงหยวนตำหนิ
“ประเดี๋ยวจะฉีกปากเจ้า”ไท่ซ่างหวงก็ตำหนิเช่นกัน ทั้งสองคนพูดขึ้นมาพร้อมกัน และจ้องหยู่เหวินเห้าอย่างดุดันแวบหนึ่ง
แต่ว่า เพื่อคำนึงถึงความปลอดภัย ก็ยังคงเรียกหมอหลวงมาตรวจร่างกายดู
สวีอีส่งผ้าห่อตัวเด็กเข้าวัง พร้อมกันกับแม่นม หลังจากเปลี่ยนผ้าห่อตัวแล้ว ก็วางเอาไว้บนเตียงหลอฮั่น หมอหลวงทั้งสองคนเข้าวัง และได้ทำการตรวจรอบหนึ่ง
การตรวจไร้ผล ลำคอปากลิ้นด้านนอกของหูดูแล้วก็ไม่มีปัญหาอะไร หมอหลวงจึงรายงานว่า “ตามปกติแล้วถ้าหากเด็กตกใจ แม้จะไม่ร้องไห้ ก็ต้องมีปฏิกิริยาเกิดขึ้น ขอไท่ซ่างหวงและฮ่องเต้อนุญาตให้นำฆ้องทองแดงเข้ามา”
ไท่ซ่างหวงนิ่งขรึมไปชั่วครู่ สีหน้าหนักอึ้งขึ้นมาเล็กน้อย
“ไปเอามาเถอะ”หยู่เหวินเห้าพูดเสียงขรึม
คนที่อยู่ในตำหนัก ไล่ออกไปเกือบครึ่ง แต่ดีที่ที่นี่เป็นตำหนักฉินคุน ที่นี่ไม่มีคำนินทาอะไรสามารถแพร่ออกไป
ฆ้องทองแดงถูกหามเข้ามา หยู่เหวินเห้าตีฆ้องด้วยตัวเอง ใช้แรงอย่างมากจึงได้ยินเสียง “ตึงตึง”สองเสียง ดังไปทั่วทั้งตำหนักฉินคุน แม้แต่ฉางกงกงกับแม่นมสี่ก็ถูกทำให้ตกใจจนตัวสั่นไปชั่วครู่
ทุกคนต่างก็มองไปที่เด็กทั้งสองคน ใบหน้าของเด็กทั้งสองคนไม่มีความเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย ราวกับไม่ได้ยินอะไรเลย จากนั้น ก็กลับตาลงอย่างเกียจคร้าน
หยู่เหวินเห้ารู้สึกตื่นตระหนกในใจ ใช้แรงเคาะไปอีกครั้ง คลื่นเสียงนี้ทำเอาหัวใจและวิญญาณสั่นสะท้านไปด้วย แต่เด็กทั้งสองคนไม่ลืมตาขึ้นมาเลย
ในตำหนักเงียบราวกับป่าช้า
สีหน้าของไท่ซ่างหวงกับฮ่องเต้หมิงหยวนค่อยๆหนักอึ้งขึ้นมา ถอนหายใจเบาๆหนึ่งเสียง
หยู่เหวินเห้านั่งลงบนเก้าอี้ พูดพึมพำว่า “ยายหยวนต้องเป็นบ้าแน่”
“อย่าเพิ่งมองในแง่ร้ายเช่นนี้……”ริมฝีปากของฮ่องเต้หมิงหยวนสั่นไปชั่วครู่ ชีวิตนี้ผ่านคลื่นลมฝนมามากมาย แต่มองดูเด็กสองคนที่มาถึงอย่างยากลำบาก หัวใจก็รู้สึกทรมานขึ้นมาอย่างยิ่ง “บางที ผ่านไปหลายวันก็ดีขึ้น”
ไท่ซ่างหวงถามหมอหลวง “มีวิธีการอะไรหรือไม่ หรือว่าเคยเห็นตัวอย่างที่ตอนเกิดมาก็ไม่ได้ยินหรือไม่ ตัวอย่างที่ภายหลังก็สามารถได้ยินตามปกติ”
หมอหลวงคุกเข่าลงเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นตระหนก“เรียนไท่ซ่างหวง กระหม่อมไม่เคยเห็นมาก่อน”
แม่นมสี่ทนไม่ไหวจนร้องไห้ออกมา “ถ้าหากไม่ได้ยิน วันหน้าจะเรียนรู้การพูดได้อย่างไร”
หัวใจของทุกคนหนักอึ้งเข้าไปอีก เดิมทีก็ไม่ร้องไห้ เป็นใบ้นั้นแน่นอนแล้ว แต่ว่าแม้แต่การฟังเสียงก็ไม่ได้ยิน นั่นไม่เท่ากับเป็นความบกพร่องที่เกิดจากฟ้าดินหรอกหรือ
สองฝาแฝดของราชวงศ์ เดิมทีควรเป็นนิมิตหมายอันดี แต่กลับมีข้อบกพร่องแต่กำเนิด จะทำอย่างไรดี
ในใจของฮ่องเต้หมิงหยวนมีความทุกข์ที่พูดออกมาไม่ได้ ในลำคอราวกับมีก้อนสำลีอุดกั้นเอาไว้ก้อนหนึ่ง พูดจาไม่ออก ได้แต่มองไท่ซ่างหวงนิ่งๆ
ไท่ซ่างหวงพูดเสียงเรียบว่า “ห้ามแพร่งพรายออกไป รอดูไปก่อน รอให้ผ่านไปสามวันค่อยนำกลับจวน พระชายารัชทายาทเป็นหมอ บางทีนางอาจจะรู้ก็ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ฮ่องเต้หมิงหยวนอุ้มเด็กทั้งสองขึ้นมาข้างละหนึ่งคน มองดูเด็กน้อยที่น่ารักราวกับตุ๊กตา ทำไมจึงเป็นเช่นนี้ไปได้ รอคอยมาตั้งนาน คิดว่าแม้จะไม่ฉลาดเฉลียวเท่ากับพี่ชายทั้งสามคนก่อนหน้านี้ อย่างน้อยก็ต้องแข็งแรงสมบูรณ์
เด็กๆถูกส่งไปดื่มนม จากนั้นก็ส่งกลับไปอยู่ข้างกายหยวนชิงหลิง
หยู่เหวินเห้านั่งอยู่ข้างเตียงลังเลอยู่เป็นเวลานาน ยื่นมือออกไปลูบไปหน้าที่ขาวซีดของหยวนชิงหลิง พูดด้วยน้ำเสียงแหบต่ำว่า “หยวน ต้องพูดเรื่องหนึ่งกับเจ้า”
หยวนชิงหลิงมองเขา “มีอะไรก็พูดมา อ้ำอ้ำอึ้งอึ้งอยู่ทำไม”
หยู่เหวินเห้าดวงตาแดงก่ำ “ลูกทั้งสองคน อาจเป็นคนใบ้หูหนวก”
หยวนชิงหลิงนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ สีหน้าขาวซีดขึ้นมาอย่างกะทันหัน “จะเป็นไปได้อย่างไร รีบอุ้มมาให้ข้าดู ”
“กำลังกินนม ประเดี๋ยวก็อุ้มมาให้เจ้า เจ้าอย่าเสียใจ พวกเราคิดหาวิธีด้วยกัน”ในใจของหยู่เหวินเห้าก็รู้สึกทรมานมากถึงที่สุด เสียใจที่ตอนนั้นตีพวกเขาไปสองที หัวใจถูกบิดจนแทบจะขาดแล้ว
“เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้ ”หยวนชิงหลิงพูดพึมพำ สายตาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ด้านนอกตำหนักข้าง มีสายตาหลายคู่แนบอยู่กับกำแพง ไท่ซ่างหวงกับฮ่องเต้ต่างก็ส่งคนมาจับตาดูเอาไว้ เกรงว่าพระชายารัชทายาทจะรับความสะเทือนใจไม่ได้
ให้กำเนิดฝาแฝดออกมาอย่างลำบากแสนเข็ญ แต่คิดไม่ถึงว่าจะไม่สมบูรณ์แข็งแรง คนที่เป็นแม่จะทนรับได้อย่างไร
หลังจากลูกทั้งสองคนดื่มนมเสร็จแล้วก็ถูกอุ้มกลับมา หยวนชิงหลิงเปิดกล่องยาเอาเครื่องฟังเสียงหัวใจออกมา หัวใจกับปอดต่างก็ดีมาก จังหวะการเต้นของหัวใจราวกับกำลังบรรเลงเพลงสรรเสริญชีวิต พลังชีวิตคึกคักมีชีวิตชีวามาก
เอาไฟฉายเล็กๆออกมา ส่องลำคอและกล่องเสียง กางหูออกเพื่อสำรวจแก้วหู บริเวณที่สามารถตรวจดูได้ ทั้งหมดล้วนเป็นปกติ
หยวนชิงหลิงอุ้มเจ้าสี่ขึ้นมา ตบไปที่หลังเบาๆ เด็กทารกที่เพิ่งจะเกิดมาใหม่ขี้เซา โดยเฉพาะตอนที่เพิ่งจากอิ่มนม ไม่ว่าหยวนชิงหลิงจะทำอะไรพวกเขา พวกเขาก็เอาแต่นอนหลับ
“เมื่อครู่ได้เอาฆ้องมาที่ด้านนอก เคาะดังมากเสียงหนึ่ง พวกเขาต่างก็ไม่มีปฏิกิริยาอะไร”หยู่เหวินเห้าพูด
ดวงตาของหยวนชิงหลิงมีน้ำตารื้นขึ้นมา สองมือที่อุ้มลูกเอาไว้เกิดอาการสั่นเทา เงยหน้าขึ้นมาหยู่เหวินเห้า เอ่ยด้วยเสียงสะอื้น “ไม่ว่าลูกจะมีปัญหาอะไร ท่านต้องรับปาก จะไม่ทอดทั้งอย่างเด็ดขาด”
“นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว”หยู่เหวินเห้ากุมมือของนางเอาไว้ นี่มันเป็นเรื่องดีกลายเป็นเรื่องร้าย แม้ว่าทั้งสองจะรู้สึกรับไม่ได้ในชั่วขณะ แต่ว่า จะไม่ทอดทั้งอย่างแน่นอน
หยวนชิงหลิงมองลูกทั้งสองคน น้ำตาไหลพรากออกมา
เจ้าสี่ค่อยๆลืมตาขึ้นมา ยืดเอวบิดขี้เกียจ มองหยวนชิงหลิงนิ่งๆ ทันใดนั้นสีหน้าก็แดงขึ้นมา “ปู๊ด”ตดออกมาเสียงหนึ่ง
เจ้าสี่ตกในนิ่งอึ้งไปเอง แบะปากร้อง“อุแว้”ขึ้นมาหนึ่งเสียง จากนั้นก็ร้องไห้
เดิมทีเจ้าห้านั้นนอนหลับอยู่ และราวกับถูกตดของพี่สี่ทำให้ตกใจตื่น ร้องไห้ขึ้นมาพร้อมกัน
สองสามีภรรยาต่างหันมามองหน้ากัน ความดีใจผุดขึ้นบนใบหน้า ของดีคู่นี้ ถูกตดของตัวเองทำให้ตกใจเสียได้
ข้างนอกได้ยินเสียงทารกร้องไห้ ก็รีบวิ่งออกไปด้านนอก “ร้องไห้แล้ว ร้องไห้แล้ว ท่านชายร้องไห้แล้ว”
ไม่ถึงอึดใจ ข้างนอกก็มีเสียงประทัดดังสนั่นหวั่นไหวไปหมด ทั่วทั้งตำหนักฉินคุนเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความยินดี ก้อนหินอันหนักอึ้งในใจของฮ่องเต้หมิงหยวนและไท่ซ่างหวงตกลงพื้นไปแล้ว ต่างหันมามองหน้ากัน ต่างก็ผ่อนคลายราวกับได้วางภาระอันหนักอึ้งลงแล้ว
ท่านชายที่เพิ่งจะมาถึงบนโลกในนี้ ตอนนี้ได้นอนหลับต่อเนื่องอีกแล้ว ราวกับว่าความคึกคักทั้งหมดบนโลกนี้ไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา
หยู่เหวินเห้ากอดหยวนชิงหลิงเอาไว้ มองดูลูกทั้งสองคนที่นอนอยู่ข้างใน นึกถึงความเจ็บปวดหัวใจเมื่อครู่ ก็เอ่ยอย่างดุดันว่า “ตอนนี้ดูแล้วไร้ความผิด ไม่รู้เลยว่าเมื่อครู่ได้ทำทุกคนตกใจแทบตาย”
หยวนชิงหลิงเช็ดน้ำตาชั่วครู่ จมูกยังคงตื้อตันอยู่มาก“อย่างนี้ก็ดี ปกติกว่าพวกพี่ชายพวกเขาอยู่บ้าง ข้าหวังว่าพวกเขาจะมีชีวิตเหมือนคนธรรมดา ”
คำพูดนี้เพิ่งพูดจบ ลูกทั้งสองคนก็ลืมตาขึ้นมา มองหยวนชิงหลิงนิ่งๆ ท่านแม่คิดมากไปแล้วกระมัง