บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 965 ข้าเองก็ไม่รู้
หยวนชิงหลิงยังคงมุ่งมั่นอยู่ในเรื่องของลิง ถามต่อไปว่า “ฉะนั้น คำว่าดอกเตอร์คำนั้นก็เป็นลิงที่บอกท่าน ท่านรู้ฐานะที่แท้จริงของข้า รู้เรื่องของทะเลสาบจิ้ง ท่านรู้เรื่องโลกที่ลิงตัวนั้นพูดถึง”
หงเย่มองนาง สีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดจา
หยวนชิงหลิงก็มองเขา “แต่เดิมคำพูดเหล่านั้นที่ลิงพูดออกมา ท่านไม่ได้เชื่อทั้งหมด ฉะนั้นท่านเองก็กำลังค้นหาความจริง ใช่หรือไม่”
หงเย่เอ่ยเสียงเบาว่า “พระชายา กระหม่อมไม่อยากจะคุยถึงเรื่องนี้ มีบางคนมีบางเรื่อง ได้แต่เก็บซ่อนเอาไว้ในใจ ไม่สามารถแตะต้องได้”
“ได้ เรื่องลิงพวกเราไม่พูดถึงแล้ว ขอบังอาจถามอีกเรื่อง ข้ามีหน้าตาเหมือนกันอย่างกับแกะกับมารดาของท่านใช่หรือไม่”
หงเย่มองนาง สายตามีแววหม่นหมองลง พูดว่า “หน้าตานั้นมีความคล้ายคลึงอยู่บ้าง แต่ไม่ถึงกับเหมือนกันอย่างกับแกะ”
หยวนชิงหลิงไม่ได้บอกเขาว่าใบหน้าที่เหมือนกันราวกับแกะนั้นเป็นใบหน้าในโลกปัจจุบัน แต่ไม่ใช่ใบหน้านี้ นางถอนหายใจเบาๆเสียงหนึ่ง “ข้ารู้ว่าบางทีลิงตัวนั้นสำหรับท่านแล้วอาจมีความหมายไม่ธรรมดา กับข้าก็เช่นกัน ฉะนั้นถ้าหากท่านชายยินดีจะพูดเมื่อไหร่ ก็มาหาข้าได้เสมอ”
หงเย่มองไปที่กาน้ำชา สายตามีแววอบอุ่นอยู่จางๆ ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็เอ่ยว่า “มันช่วยข้าเอาไว้ ถ้าหากไม่ใช่มัน ข้าคงตายอยู่ที่กระดูกมนุษย์หมาป่าตั้งนานแล้ว มันอยู่เป็นเพื่อนข้าเป็นเวลาห้าร้อยกับหนึ่งวัน ก่อนตาย เขาได้ร้องเรียกดอกเตอร์เสียงหนึ่ง”
หยวนชิงหลิงมองเขา หัวใจรู้สึกระแวง “มันตายแล้ว ตายแล้วจริงหรือ”
หรือพูดอีกอย่าง ถ้าหากไม่มีร่างกายในปัจจุบันคอยค้ำจุนอยู่ นางเองก็คงต้องตาย
“ถ้าหากเป็นไปได้ ข้ายินดีจะใช้โลกทั้งใบเพื่อแลกเปลี่ยนกับมัน ”ในน้ำเสียงของหงเย่มีความเสียใจที่พูดไม่ออก เขายืนขึ้นประสานมือคำนับ “ขอบคุณที่ให้การต้อนรับอย่างดี ขอตัวลา”
หยวนชิงหลิงมองเขาอย่างนิ่งอึ้ง ในใจมีความรู้สึกที่พูดไม่ออก “ท่านชาย บอกข้าได้หรือไม่ จุดประสงค์ที่ท่านมาเป่ยถัง”
หงเย่หมุนตัวนิ่งขรึมไปชั่วครู่ “ไม่รู้ ข้าก็แค่อยากมา อยากพบคนบางคน”
“ไม่ได้มาเพราะผืนแผ่นดินเป่ยถังหรอกหรือ”
“เหนื่อยมากเกินไปแล้ว ไม่คุ้มค่า”หงเย่เดินต่อไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ชะงักไปชั่วครู่ “แต่บางทีก็อาจเป็นไปได้ ใครจะไปรู้ หัวใจของคนมีการเปลี่ยนแปลงไม่สิ้นสุด ความต้องการก็เช่นกัน ตอนนี้ข้าไม่ต้องการสิ่งเหล่านี้ แต่ไม่ได้แสดงว่าภายหน้าจะไม่ต้องการ”
“ข้าหวังจริงๆว่าจะได้เป็นเพื่อนกันท่านชาย แต่ไม่ใช่ศัตรู ”หยวนชิงหลิงยืนอยู่ที่ด้านนอกกรอบประตู มองเขาที่ค่อยๆเดินลงบันไดหินไป
ฝีเท้าของหงเย่ชะงักไปชั่วขณะ แต่ว่า ก็ไม่ได้พูดอะไร และยังคงเดินหน้าต่อไป
หลังจากหงเย่จากไปแล้ว หยู่เหวินเห้าก็เดินออกมาจากห้องด้านข้าง จูงมือของหยวนชิงหลิงเอาไว้ สายตามีแววกังวลอย่างเห็นได้ชัด “ผู้ชายที่มีเบื้องหลังเช่นนี้ สามารถดึงดูดความสงสารจากผู้หญิงได้ง่ายดายนัก โดยเฉพาะหน้าตาก็ไม่เลว”
เดิมทีหยวนชิงหลิงมีอารมณ์เศร้าใจอยู่บ้าง แต่พอได้ยินคำพูดนี้ ก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง สะบัดมือเขาออกไป “ไม่ สำหรับข้าแล้ว คนที่มีอารมณ์ขันเต็มเปี่ยมจึงจะดึงดูดใจได้ยิ่งนัก”
“อารมณ์ขัน ข้ามีอารมณ์ขันหรือไม่”หยู่เหวินเห้าถามนาง
“คนอย่างท่านตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนเต็มไปด้วยอารมณ์ขัน ”หยวนชิงหลิงนั่งลงดื่มชาแก้วนั้นที่ยังคงอุ่นอยู่เล็กน้อย พูดยิ้มๆ
หยู่เหวินเห้าถอนหายใจ “ตอนนี้ตัวข้าเต็มไปด้วยอารมณ์อันตรายนะ”
“ไม่จำเป็นเลย”หยวนชิงหลิงมองเขา สีหน้าหนักแน่น“ข้าไม่มีทางเปลี่ยนใจ”
“ว่าไม่ได้นะ บางทีภายหน้าข้าเกิดหุนหันพลันแล่นไม่คิดหน้าคิดหลัง เจ้าเอาข้าไปเปรียบกับคนอื่น รู้สึกว่าคนอื่นดีกว่าข้าเล่า”
หยู่เหวินเห้ามองนาง แม้จะเป็นการพูดเล่น แต่ในใจก็ยังคงรอดูปฏิกิริยาของนางอย่างสนอกสนใจ
“เขาไม่ได้ชอบข้าจริงๆ เพียงแต่เพราะว่าข้านั้นใกล้เคียงกับความอบอุ่นที่เหลืออยู่ในชีวิตของเขามาก ฉะนั้นเขาจึงเข้าใกล้ข้า เขากำลังรักษาบาดแผลในวัยเยาว์ของเขา ”หยวนชิงหลิงพูด
“เอ๋”ชั่วขณะนั้นหยู่เหวินเห้ารู้สึกไม่เข้าใจ
“แม่ของเขาคล้ายกับข้า ข้ายังเป็นเจ้าของคนเก่าของลิง พอดีกับที่แม่และลิงเป็นสิ่งที่เขาสนิทมากที่สุด เขาคิดว่าปลอดภัย”
หยู่เหวินเห้าครุ่นคิด “แม้ว่าที่เจ้าพูดมาจะมีเหตุผลอยู่บ้าง แต่ว่าคำพูดนั้นที่เขาพูดตอนอยู่ที่ทะเลสาบจิ้ง หลังจากนี้สองปีจะแย่งเจ้าไปให้ได้ มีความทะเยอทะยานแฝงอยู่”
“ที่จริงเขาก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำอะไร ที่พูดกับท่านเช่นนั้นบางทีอาจเป็นเพราะอยากกระตุ้นให้ท่านโกรธ บางทีก็อาจเป็นการลองใจตัวเองว่าจะทำเช่นนี้หรือไม่ การพูดคุยกันเมื่อครู่ ข้าสามารถมองเห็นความลังเลในใจของเขาได้ เดิมทีเขานั้นมีจุดประสงค์
แต่หลังจากที่ได้แก้แค้นแล้ว ทันใดนั้นเขาก็ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรต่อ เขาว่างเปล่ามาก หดหู่มาก เพราะการแก้แค้นไม่สามารถทำให้เขามีความสุขได้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงนึกถึงโลกที่ลิงได้บรรยายเอาไว้ เขามีความปรารถนาอย่างเต็มเปี่ยมต่อโลกใบนั้น เขาคิดว่าบางที่นี่อาจจะกลายเป็นจุดประสงค์ของเขาก็ได้
ถ้าหากไม่สามารถบรรลุจุดประสงค์นี้ เขาจะเปลี่ยนทิศทางใหม่ ยึดครองดินแดนเป่ยถัง เขาต้องมั่นใจว่าตัวเองจะมีงานทำ ใช้ชีวิตอยู่อย่างมีจุดหมายและทิศทาง”
หยู่เหวินเห้าฟังแล้วรู้สึกอึ้งจนพูดไม่ออก “เจ้าไม่ใช่เขาเสียหน่อย ทำไมจึงรู้ว่าเขาคิดเช่นนี้”
หยวนชิงหลิงยิ้ม “ข้าเคยเรียนเสริมวิชาจิตเวช จากการพูดคุย สีหน้า สามารถคาดเดาถึงความคิดที่อยู่ในใจได้”
หยู่เหวินเห้ามองนาง “ถ้าเช่นนั้นเจ้าลองบอกมาสิว่าข้าในใจข้าคิดอะไรอยู่”
หยวนชิงหลิงยื่นชาให้เขาแก้วหนึ่ง “ท่านอยากจะไล่หงเย่ออกจากเมืองหลวง”
หยู่เหวินเห้ารับน้ำชาไป ก่นด่าด้วยเสียงต่ำว่า “ถูกต้อง นี่เป็นความคิดของข้าตอนนี้”
ผ่านไปสองวัน ทางด้านองค์ชายใหญ่หยู่เหวินจุนได้ส่งคนมา บอกว่าองค์ชายใหญ่ถูกคนทำร้ายจนมือหักข้างหนึ่ง ให้หยู่เหวินเห้าไปช่วยเขา
หยู่เหวินเห้าเกือบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้ว แต่เรื่องการขนเกลือเถื่อน เดิมทีก็เป็นเรื่องผิดกฎหมาย ก่อนหน้านี้ได้ให้คนเก็บเรื่องนี้เอาไว้ เดิมคิดว่าเรื่องนี้จะผ่านไปแล้ว ไหนเลยจะรู้ว่ากล้ามาทวงเงินถึงบ้าน ขอไม่ได้ก็ลงไม้ลงมือ
หยู่เหวินเห้าให้อ๋องฉีพาคนของกรมการพระนครไปทันที ไปจับตัวคนลงมือทำร้ายมาดำเนินคดี
แต่แล้ว ช่วงเวลาค่ำอ๋องฉีกลับมารายงาน ใบหน้ากลับเต็มไปด้วยบาดแผล มีความดวงซวยที่พูดไม่ออก “จับอะไรกัน เขากุเรื่องขึ้นมาเองทั้งนั้น”
“เขากุเรื่องหรือ กุเรื่องทำไม บอกว่าถูกตีจนมือหักมิใช่หรือ”หยู่เหวินเห้าเอ่ยอย่างอึ้งๆ
อ๋องฉีเอ่ยอย่างดุดันว่า “เขาเป็นคนชนเอง ก่อนหน้านี้พี่ห้าออกหน้าจะจัดการเรื่องนี้ เขาก็คิดว่ามีคนคอยหนุนหลัง ถึงกับกล้าไปหาอีกฝ่ายถึงบ้านเพื่อขอเงินคืน ไม่ยอมรับความเสียหายที่เกิดขึ้น บอกว่าเงินเหล่านั้นเป็นการยืมให้อีกฝ่าย
อีกฝ่ายไม่ให้ เขาก็ต่อยตีกับเข้าขึ้นมา บาดเจ็บกันไปหลายคน เกรงว่าคนอื่นจะอาละวาดขึ้นมา ไม่ใช่ ชนตัวเองจนมือหักแล้วยังเป็นคนชั่วคิดจะฟ้องร้องคนอื่นก่อน ข้าไปจัดการ เขายังบอกว่าข้าไม่ช่วยเขา และต่อยตีข้าอีกยกหนึ่ง”
หยู่เหวินเห้าคิดไม่ถึงว่าแม้แต่กลอุบายเช่นนี้ก็คิดออกมาได้ อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า “เรื่องนี้เจ้าก็จัดการไปตามสมควรเถอะ ถ้าไม่อย่างนั้นก็ทูลเสด็จพ่อให้ทรงทราบ”
“บอกเสด็จพ่อไปก็ไร้ประโยชน์ เสด็จพ่อไม่ยอมพบหน้าเขาเด็ดขาด มากที่สุดก็แค่ส่งราชโองการฉบับหนึ่งไปตำหนิเขา แต่เขามันนิสัยเสียขนาดนี้แล้ว ไม่กลัวการตำหนิ”อ๋องฉีพูดด้วยเสียงหอบหายใจแรง
“ถ้าเช่นนั้น ไปบอกโสวฝู่สักหน่อย”หยู่เหวินเห้าพูด
อ๋องฉีโบกมือ “ช่างเถอะ ฉู่หมิงหยางก็ใช่ว่าจะแหย่ได้เสียที่ไหนกัน ไปบอกโสวฝู่ ประเดี๋ยวไม่รู้จะมาพัวพันอะไรกับข้าอีก”
“ใครพัวพันเจ้า ฉู่หมิงหยางหรือ”หยู่เหวินเห้ามองเขา
อ๋องฉีเอ่ยอย่างโมโหว่า “ก็นางน่ะสิ วันนี้ชี้หน้าประณามข้า บอกว่าเพื่อเจ้าอ้วนแล้วข้าถึงกับทอดทิ้งฉู่หมิงชุ่ย ฉู่หมิงชุ่ยจึงต้องตาย ข้างนอกมีคนมุงดูตั้งมากมาย ที่ได้ยินคำพูดนี้ ข้าล่ะโมโหจริงๆ ”