บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 971 เขาไม่ใช่ลิง
หยวนชิงหลิงหัวเราะจนในดวงตาราวกับมีสุราชั้นเลิศอยู่เต็มไปหมด เอื้อมเข้าไปขบริมฝีปากเขาเบาๆ “บางทีเรื่องเงียบๆ ที่เจ้าคิด…ข้าอาจช่วยได้นะ”
“ไม่ได้ ท่านย่าบอกว่า…”
“ข้าก็เป็นหมอเหมือนกัน อีกอย่าง ใครจะรู้ร่างกายของข้าได้ดีกว่าข้าอีก?”
“จริงหรือ?”
หยวนชิงหลิงคลอเคลียอยู่ข้างใบหูเขา แล้วปล่อยลมหวานออกมา “จริงสิ”
นัยน์ตาหยู่เหวินเห้าลึกโพรง คล้องเอวนางแล้วกดลงไป ประทับริมฝีปากลมหายใจกระชั้นเล็กน้อย “ยังจะอาบน้ำอะไรอีก? ไม่ไปแล้ว!”
เมื่อโบกแขนเสื้อยาวไปก็พัดเทียนให้ดับ น้ำตาเทียนหยดลงเชิงเทียนพอดี ราวกับอัดแน่นช่วงเวลาแห่งความสวยงาม
ผ่านไปนานก็ได้ยินเสียงคนในมุ้งเอ่ย “ไม่ว่าข้าอยากมีลูกสาวซักแค่ไหน ก็รับความทรมานพวกนี้ไม่ไหว ตั้งหลายเดือน จะตายอยู่แล้ว”
“ได้ ไม่มีแล้ว!” หยวนชิงหลิงก็รู้สึกว่าลูกห้าคนเหลือบ่ากว่าแรง หากยังมีอีก…ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ท้อง แต่อยู่ที่ในท้องมีกี่คนต่างหาก ดังนั้นจะเสี่ยงง่ายๆ ไม่ได้
“ไม่ได้จริงๆ ก็เก็บลูกสาวมาเลี้ยงก็ได้” หยู่เหวินเห้ารู้สึกว่าชีวิตต้องมีลูกสาวสักคนถึงจะสมบูรณ์ แต่ในเมื่อคลอดไม่ได้ เช่นนั้นเก็บมาเลี้ยงก็ได้นี่
“เก็บ? มีเด็กให้เก็บที่ไหนกัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะเขา
“เก็บไม่ได้ก็แย่งมาซักคน ดูแล้วดวงของน้องเจ็ดต้องเป็นดวงพ่อตาแน่ คนต่อไปก็คงเป็นลูกสาวอีก เขาจะเอาลูกสาวเยอะแยะไปทำไมกัน? ให้ข้าซักคนเถอะ” หยู่เหวินเห้าพูดอย่างเอาแต่ใจ
หยวนชิงหลิงหนุนอยู่ที่ไหล่เขา “งั้นเจ้ายังมีลูกชายห้าคนเลย ต้องแบ่งไปหน่อยไหมล่ะ?”
“ใครจะเอาก็เอาไปสิ จะไม่หวงเด็ดขาด” พอหยู่เหวินเห้านึกถึงเรื่องที่ทังหยวนหนีออกจากบ้านแล้วก็ถอนหายใจ “สอนเด็กนี่ยากจริงๆ คลอดมันเป็นแค่เรื่องช่วงหนึ่ง แต่คลอดมาแล้วสิถึงเรียกว่าทรมาน”
หยวนชิงหลิงตีเขาทีหนึ่ง “เจ้าจะพูดอย่างนี้ไม่ได้นะ เดี๋ยวเดียวก็งกอีกแล้ว”
“เรื่องเจ้าแฝดมันยังไงกันแน่? ทำไมไปห้องทรงอักษรเองล่ะ?” หยู่เหวินเห้ายังติดใจกับเรื่องนี้
“ไม่รู้สิ” พอหยวนชิงหลิงคิดถึงเรื่องนี้แล้วก็ว้าวุ่น “ดูพวกเขาสองคนเหมือนจะเก่งกว่าพี่ๆ ทั้งสามอีก ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีหรือร้ายกันนะ”
“เจ้าหยวน อีกหน่อยถ้าคุมพวกเขาไม่อยู่จะทำไงดี?” เจ้าห้าเครียดจัด คนเป็นพ่อยังไม่เก่งเท่าลูก ต่อไปจะสั่งสอนอย่างไร? ตอนนี้ยังเด็ก ไม่รู้ความยังตั้นหน้าได้ ต่อไปถ้าเกิดมีบุคลิกแล้วจะตั้นหน้าไม่ได้อีก พอคิดถึง ‘คำพูดคุยโม้’ ที่ซาลาเปาเคยพูดแล้ว เขาก็ร้อนรนขึ้นมาทันที ตอนนี้ยังสามขวบไม่เต็ม ก็คิดแล้วว่าต่อไปรอเขาแก่จะจัดการเขา
พวกอกตัญญูไม่รู้จักสำนึกบุญคุณพวกนี้นี่ พี่หญิงซิ่วยังรู้จักกับดีกู้ซือ รู้จักห่วงหาพ่อ
กู้ซือกับน้องเจ็ด เด็กเฒ่าสองคนนี้มีบุญจริงๆ
สองสามีภรรยาสบตากันทีหนึ่ง ครั้นแล้วหยู่เหวินเห้าก็นึกถึงเรื่องฮูหยินเหยาขึ้นมา เอ่ย “เจ้าต้องไปพูดกับทางฮูหยินเหยาหน่อยนะ เรื่องที่เกิดในวังคืนนี้ต้องแพร่ไปถึงหูนางแน่ อย่าให้เป็นเรื่องใหญ่จะดี”
“นางมีวุฒิทางอารมณ์น่า ถึงจะรู้ก็เก็บอารมณ์ได้” หยวนชิงหลิงกล่าว
“เก็บน่ะเก็บได้ แต่จะเก็บไว้ในอกมันก็ไม่ดี”
หยวนชิงหลิงคิดแล้วก็เห็นด้วย ท่าทางเหล่านั้นในวัง ตอนนี้เรื่องยังไม่ทันส่งผลกระทบก็คัดค้านกันแล้ว ช่างน่าเสียใจจริงๆ
“เจ้าห้า ถ้าฮูหยินเหยาจะหาใครซักคนจริงๆ เจ้าว่าเสด็จพ่อกับไท่ซ่างหวงจะเห็นด้วยไหม?” หยวนชิงหลิงถาม
หยู่เหวินเห้าตอบ “พวกเขาไม่สนใจแน่ แต่จะยินดีหรือไม่นี่ก็พูดยาก”
หยวนชิงหลิงคิด ไม่สนใจก็คงไม่ได้ ด้วยท่าทีหวงกุ้ยเฟยในคืนนี้ ถ้าฮ่องเต้ไม่ยืนยันชัดเจน หวงกุ้ยเฟยต้องคัดค้านแน่
ตอนแรกหยวนชิงหลิงนึกว่าไม่ต้องคิดมาก เพราะเรื่องนี้ยังไม่เกิด แต่ด้วยระดับความยุ่งยากของหรงเยว่ ถ้าฮุ่ยเทียนไม่ได้รักมั่น นางต้องทำทุกวิถีทางแยกพวกเขาทั้งสองออกแน่ หากเรื่องนี้เป็นจริงก็ต้องเป็นปัญหาในไม่ช้า
หยู่เหวินเห้าง่วงแล้ว พูดงัวเงีย “นอนเถอะ”
หยวนชิงหลิงรับคำ หาท่าสบายในอ้อมกอดเขาแล้วหลับตาลง
วันรุ่งขึ้นหยวนชิงหลิงก็ไปเยี่ยมเยียนฮูหยินเหยา และเป็นเช่นนั้นจริงๆ เรื่องนี้แพร่มาถึงหูนางแล้ว แถมคนที่พูดนั้นหาใช่ใครอื่นแต่เป็นเมิ่งซิง
เมิ่งซิงไม่ได้กลับตระกูลถง แต่เฝ้าฮูหยินเหยา ไม่ให้ชายอื่นเข้ามา
เมื่อเมิ่นซิงอยู่ด้วย หยวนชิงหลิงก็พูดอะไรมากไม่ได้ แต่กลับเป็นฮูหยินเหยาหัวเราะขึ้นแทน “ทำไมตอนนี้ยังต้องให้พวกเจ้ามากังวลเรื่องคู่ครองข้าอีกล่ะ?”
“แค่ข่าวลือซุบซิบ ไม่ต้องใส่ใจไป” หยวนชิงหลิงได้แต่พูดอย่างนี้
“เรื่องพวกนี้หากข้ายังเก็บมาใส่ใจอีกมิต้องไปตายแล้วหรือ?” ฮูหยินเหยาเรียกเจ้าสุนัขน้อยเข้ามาแล้วอุ้มขึ้นหยอกเล่น
“งั้นก็ดี!” หยวนชิงหลิงเห็นท่าทางนางแบบนี้แล้วก็รู้สึกว่าตัวเองไม่น่ากังวลเลย
“หยู่เหวินจุนไม่มาหาเรื่องท่านแล้วใช่ไหม?” หยวนชิงหลิงถาม
“เปล่า แต่ถึงมาข้าก็ไม่กลัว” ฮูหยินเหยาพูดเรียบ
“ทำไมไม่บอกข้าว่าเขามาหาเรื่องท่านล่ะ?”
ฮูหยินเหยามองนาง แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกแปลกใจ “ทำไมตอนนี้พวกเจ้าทุกคนต้องพูดว่าจะปกป้องข้าด้วยล่ะ? ถึงข้าจะไม่ใช่พระชายา แต่ก็ปกป้องตัวเองได้ พวกเจ้าไม่เชื่อข้าขนาดนี้เชียวหรือ? เขายังไม่ได้บีบคั้นข้าจนเกินไป เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นจริง เขาจะแค่มือหักข้างเดียวหรือ?”
“นั่นสิ! ข้าลืมความเก่งของท่านไปเลย” หยวนชิงหลิงก็หัวเราะขึ้นด้วย พักหนึ่งแล้วก็เอ่ย “แต่ทุกคนไม่ได้ดูถูกท่านนะ แค่รู้สึกว่าท่านอยู่นี่ตัวคนเดียว หากเกิดอะไรขึ้นพวกเราก็ไม่รู้ ที่หรงเยว่ให้ฮุ่ยเทียนมาคุ้มครองท่านก็เป็นความคิดที่ดี ไม่มีเจตนาอื่น ท่านอย่าได้ใส่ใจเลย รับความปรารถนาดีของหรงเยว่ก็พอ”
“ข้าก็ไม่ใช่คนไม่รู้จักดีชอบ รู้แล้วล่ะ” นัยน์ตาฮูหยินเหยาเรียบๆ ยิ้มเล็กน้อย
ซาลาเปาบอกเล่าสภาพการณ์เจ้าแฝดกับฟางหวู จากนั้นฟางหวูก็ให้ซาลาเปาบอกกับหยวนชิงหลิง ว่าตรวจสอบสถานการณ์ของแฝดทั้งสองไม่ได้ เพราะตอนที่นางกำลังตั้งครรภ์อยู่ เซลล์สมองนางแตกออกแล้วเกิดใหม่ไม่หยุด จะเกิดผลพวงอะไรก็ไม่รู้ นอกเสียจากส่งพวกเขาไปตรวจสอบ
หยวนชิงหลิงให้ซาลาเปาถามเรื่องลิงด้วยเหมือนกัน เพราะนางตงิดความคิดหนึ่งในใจ หงเย่อาจเป็นลิงตัวนั้นนั่นแหละ แต่ฟางหวูบอกว่าถ้าอยากรู้ว่าหงเย่ถูกลิงควบคุมจิตหรือไม่ก็ง่ายมาก เด็กๆ มองออกได้ ถ้าจิตถูกควบคุม เช่นนั้นต้องมีการเชื่อมต่อระหว่างประจุไฟฟ้าสมองกับคลื่นแม่เหล็กแน่ เด็กๆ เห็นส่องแสงจากจุดเชื่อมต่อได้
ก่อนหน้านี้เด็กๆ ก็เคยพบหงเย่มาก่อน ดังนั้นหยวนชิงหลิงจึงถามพวกเขาว่าเห็นหรือเปล่า แต่พวกเขาบอกว่าไม่ได้สังเกตดูท่านอาชุดแดง
จนปัญญา เพื่อให้เด็กๆ ดูอีกครั้ง หยวนชิงหลิงจึงได้แต่เชิญหงเย่มาที่จวนอีก
ครั้งนี้ หยู่เหวินเห้าไม่อยากหลบแล้ว เขาจะอยู่ต้อนรับหงเย่ด้วยตัวเอง เขาคิดว่ายิ่งขยาดก็ยิ่งได้ใจ ถือดีอย่างไร?
พอถึงช่วงกลางวัน ร่างชุดแดงพลิ้วก็ปรากฏขึ้น ราวกับเทพจุติจากสวรรค์ ใบหน้างดงามราวกับเหนือกว่าแต่ก่อน แต่…หากมองดูดีๆ แล้ว ความงามนั้นอาจเป็นเพราะการขับของอะโฉ่ว วันนี้อะโฉ่วอัปลักษณ์เป็นพิเศษ รอยกระกระจายทั่วใบหน้า อย่างกับมีมดไต่อยู่บนนั้น
หมันเอ๋อนำพวกเขาเข้ามา หยวนชิงหลิงจูงมือซาลาเปารออยู่ที่ระเบียงทางเดิน เมื่อซาลาเปาเห็นเขาแล้วก็พูด “ไม่ใช่ ไม่มีแสง”
หยู่เหวินเห้ายินอยู่ข้างหลัง คิดไม่ถึงว่าจะดูไวขนาดนี้ สมกับเป็นลูกชายเขา เมื่อนั้นจึงพูดกับหยวนชิงหลิงเรียบๆ “ที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะเสียมารยาท ตอนนี้ก็ไล่เขาออกไปได้แล้ว”