บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 980 พระชายาอานเกลี้ยกล่อม
หลังจากหยู่เหวิยเทียนออกเดินทางได้สองสามวัน อ๋องเว่ยถึงได้รับจดหมายของอ๋องซุน
เมื่อรู้ว่าจิ้งเหอถูกคนเจียงเป่ยลักพาตัวไป เขาก็แทบมุ่งหน้าไปเลือกทหารที่ค่ายทันที แต่แม่ทัพข้างตัวรั้งเขาเอาไว้ บอกว่าเคลื่อนพลโดยไม่คำนึงถึงสิ่งใดไม่ได้เด็ดขาด แต่จะห้ามปรามเจ้าสามที่หัวใจมีแต่ความร้อนรนและความโกรธแค้นได้อย่างไร? หัวใจของเขาได้ลอยไปถึงเจียงเป่ยแล้ว
สุดท้ายแม่ทัพจนใจจึงได้แต่ตีเขาให้สลบก่อน แล้วมัดเขาติดเตียง รอเขาฟื้นขึ้นมาสงบสติอารมณ์
แต่พออ๋องเว่ยฟื้นขึ้นมาก็โมโหโกรธาหนัก ทว่าเชือกที่ใช้มัดเขาเป็นเชือกเอ็น เหนียวแน่นเป็นที่สุด ดังนั้นถึงเขาเกรี้ยวกราดอย่างไรก็ดิ้นไม่หลุด
รองแม่ทัพฟางฝูจึงเอ่ย “ท่านอ๋อง โปรดพิจารณาด้วย ทหารของพวกเขาเฝ้าประจำอยู่ที่ชายแดน จะเคลื่อนไปไหนไม่ได้เด็ดขาด อีกอย่างทหารพวกนี้ยังต้องเฝ้าระวังอ๋องอานอีกนะพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่ได้จะเอาไปหมด เจ้าปล่อยข้า ข้าจะเอาไปแค่ไม่กี่ร้อยเท่านั้น” อ๋องเว่ยโมโหจนตาแดงก่ำ จ้องขมึงฟางฝู “ฟางฝู เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าหรือ?! ข้าจะฆ่าเจ้า!”
ฟางฝูย่อเข่าลงข้างหนึ่ง พูดเตือนไปตรงๆ “ถึงท่านอ๋องจะฆ่ากระหม่อม กระหม่อมก็ให้พระองค์ไปไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ เอาคนไปแค่ไม่กี่ร้อยคนจะบุกเข้าเจียงเป่ยได้อย่างไร?
ที่นั่นเป็นดินแดนประหลาด เข้าไม่ได้ จะออกก็ไม่ได้ เอาคนไปไม่กี่ร้อยก็เท่ากับไปตายเปล่า กระหม่อมจะให้พระองค์ทำเรื่องผิดพลาดไม่ได้ กว่าราชสำนักจะเปลี่ยนทัศนคติต่อท่านใหม่ โองการให้กลับเมืองหลวงก็อีกไม่ช้าแล้ว จะมาเสียกลางคันไม่ได้เด็ดขาดพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องเว่ยเกรี้ยวกราด “ข้าไม่สนใจ! กลับเมืองหลวงอะไร? ข้าไม่อยากกลับ ปล่อยข้า! ข้าไม่เอาทหารไปซักคนเดียวแบบนี้ได้หรือยัง? ข้าคนเดียวก็บุกเข้าไปได้!”
“อย่างนั้นยิ่งไม่ได้กันใหญ่พ่ะย่ะค่ะ ทรงรอก่อน องค์รัชทายาทต้องมีคำสั่งมาแน่ เขาต้องมีวิธี ทรงรอซักสองวันก่อนพ่ะย่ะค่ะ”
“ข้าไม่อยากรอซักนาทีเดียว ปล่อย!” อ๋องเว่ยเดินพลัง อัดอั้นจนหน้าเป็นสีเขียวม่วง เมื่อฟางฝูเห็นดังนั้นแล้วก็จำต้องยกสันมือขึ้นอีกครั้ง
“ฟางฝู เจ้ากล้า…!”
เมื่อสับสันมือลงไปด้วยกำลังที่พอดี ก็ทำให้อ๋องเว่ยเค้นพลังไม่ออก
แต่โชคดีที่ไม่นานจดหมายของหยู่เหวินเห้าก็มาถึง ทำให้เขาไม่มุทะลุ ทางเมืองหลวงกำลังคิดหาวิธี ในเมื่อจะช่วยก็ต้องให้มั่นใจที่สุด ไม่เช่นนั้นนอกจากจะช่วยจิ้งเหอออกมาไม่ได้ แล้วยังจะทำให้ทหารต้องตายอยู่ที่เจียงเป่ยอีก
ตอนนี้คนที่อ๋องเว่ยเชื่อก็มีแต่หยู่เหวินเห้าเท่านั้น ดังนั้นจดหมายของหยู่เหวินเห้าจึงทำให้เขาค่อยๆ สงบลง รอจนฟางฝูอ่านจดหมายจบแล้วเขาก็นิ่งงันไปพักหนึ่ง เอ่ย “ข้ารู้แล้ว ปล่อยข้า”
เมื่อนั้นฟางฝูถึงปล่อยตัวเขา แต่อ๋องเว่ยกลับกระโดดเด้งขึ้นมา ต่อยหน้าฟางฝูแล้ววิ่งโร่ออกไปราวกับพายุ
ฟางฝูตกตะลึง รีบตามออกไป “ท่านอ๋อง ไม่ได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
จากนั้นด้านนอกก็มีเสียงพิโรธของอ๋องเว่ยดังมา “เจ้ามัดข้าไว้ตั้งสิบสองชั่วยาม ข้าฉี่จะแตกแล้ว!”
ฟางฝูคลึงแก้ม เงอะๆ งะๆ ถอยกลับไป ใครให้ท่านกลั้นไว้เล่า? ท่านฉี่รดกางเกงไม่ได้หรือ?
หลังจากอ๋องเว่ยยิงกระต่ายกลับมาก็แย่งจดหมายไปอ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้ยังร้อนรนหนักเหมือนเดิม แต่ก็ค่อยๆ สงบลงแล้ว
ก็จริง หากไม่เตรียมการให้พร้อม ความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือตายเป็นเพื่อนนางที่เจียงเป่ย เขาต้องช่วยนางออกมาให้ได้ นางต้องมีชีวิตต่อ
เรื่องนี้อ๋องอานและพระชายาก็รู้แล้วเหมือนกัน พระชายาอานจึงกล่าวกับอ๋องอานว่า “ที่พวกเขาสองสามีภรรยาทะเลาะกันจนเป็นแบบนี้ ท่านก็มีส่วนรับผิดชอบ ไม่งั้นทรงก็ไปเป็นเพื่อนเขาเถอะเพคะ”
อ๋องอานมองใบหน้าเย็นชืดของนาง จากนั้นก็หัวเราะเย็น “การไปครั้งนี้อันตรายแค่ไหน เจ้ารู้ไหม?”
พระชายาอานพยักหน้า พูดเสียงเบา “เพคะ”
“เพราะงั้น เจ้าอยากให้ข้าไปตายเร็วๆ ใช่ไหม?” อ๋องอานยิ้มเย็น น้ำเสียงปนความน้อยใจเล็กๆ
เมื่อนั้นพระชายาก็ทำอะไรไม่ถูก “ทรงรู้ว่าหม่อมฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”
“งั้นเจ้าหมายความว่ายังไง?”
พระชายาอานมองเขา แล้วถอนหายใจเบาๆ “ช่างเถอะเพคะ ถือว่าหม่อมฉันไม่ได้พูด”
อ๋องอานได้ยินดังนั้นแล้วก็หัวเราะเย็นชา ถ้อยคำแฝงความพยาบาทเล็กน้อย “เจ้ารู้ไหม ว่าอะไรในตัวเจ้าที่ทำให้ทนรับไม่ได้มากที่สุด?”
สองมือพระชายาอานประสานกุมอยู่บนโต๊ะ ปลายนิ้วเป็นสีขาว “ทนไม่ได้? หม่อมฉันไม่รู้เพคะ!”
อ๋องอานจึงกล่าวอย่างเย็นชา “ก็คือท่าทางที่เจ้าชอบทำเป็นไม่แยแส ไม่พูดกับข้า แค่ข้าไม่เห็นด้วยกับความคิดเจ้า เจ้าก็ทำเป็นจนใจพูดว่าช่างเถอะ ถือว่าหม่อมฉันไม่ได้พูด
ช่างสูงส่งล้ำเลิศจริงนะ? เจ้าไม่พอใจ เคียดแค้น เจ้าไม่พูดออกมาแต่ทำเป็นน้อยเนื้อต่ำใจ ข้าข่มเหงเจ้าหรือยังไง?
พระชายาอานรู้สึกเจ็บแปลบ เผยปากพูดพึมพำ “หม่อมฉันไม่อยากทะเลาะกับพระองค์ หม่อมฉันเบื่อชีวิตที่ต้องทะเลาะกัน”
“ไม่ใช่! เจ้ากำลังสร้างความขัดแย้ง เจ้าทำให้พวกเรากลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้แล้ว!” อ๋องอานลุกขึ้นยืน แลต่ำพูดจนจบ จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
พระชายาอานน้ำตาคลอ อยู่นานถึงเอามือเช็ด แล้วพยายามเค้นรอยยิ้มเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“พระชายาเพคะ ท่านอย่าปะทะคารมกับท่านอ๋องอีกเลย ช่วงนี้สิบวันต้องมีเก้าวันทะเลาะกัน จะอยู่กันต่อได้อย่างไรเพคะ?” สาวใช้ข้างกายกล่าวเตือน
พระชายาอานพยักหน้า พูดเบา “ข้ารู้แล้ว ข้าจะไม่ทะเลาะอีกแล้ว”
สาวใช้พยุงนางขึ้นมาแล้วเอ่ย “เพคะ แล้วทรงเกลี้ยกล่อมให้ท่านอ๋องไปทำไมล่ะเพคะ? อันตรายขนาดนั้น ท่านอ๋องก็ต้องคิดว่าท่านไม่ห่วงใยพระองค์อยู่แล้ว อีกอย่าง ข้าน้อยไม่เข้าใจเลยว่าทำไมท่านต้องพูดให้ท่านอ๋องไปด้วย”
พระชายาอานมองลานกว้างข้างนอกที่รกร้าง ที่นี่เคยลองปลูกดอกไม้ แต่กลับปลูกไม่ขึ้น ดวงตานางเต็มไปด้วยความเศร้า “คนเราหากอยู่อย่างสงบไม่ได้ ชีวิตก็ไม่มีรสชาติ”
ที่อ๋องเว่ยสองสามีภรรยากลายเป็นแบบนี้ไป อ๋องเว่ยต้องรับผิดชอบ แต่เจ้าสี่ก็ต้องรับผิดชอบด้วย หากนางสามารถถ่ายโทษให้เขาได้ ต่อให้สละชีวิตนี้นางก็ยอม
นางเกลียดที่ตัวเองไม่เอาไหน หากนางเหมือนกับหรงเยว่ นางต้องไปด้วยแน่ๆ
อ๋องอานวิ่งออกไป ความคับแค้นเต็มทรวง ควบม้าตรงดิ่งไปหาเจ้าสามที่ค่ายทันที
เจ้าสามกำลังร้อนรนดั่งไฟ เมื่อเห็นเขาโมโหพลุ่งพล่านเข้ามาก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ตอนนี้ข้าไม่มีอารมณ์จัดการเจ้า ไสหัวไปซะ!”
อ๋องอานวาดหมัดไปทันที โมโหพูด “สารเลว! ตอนนั้นเจ้าไม่จัดการตัวเองให้ดี ตอนนี้อะไรก็มาลงที่ข้า ถ้าเจ้ามีความมั่นคงซักนิด แล้วจะเป็นอย่างทุกวันนี้หรือ?”
อ๋องเว่ยถูกต่อย เดิมคิดจะเอาคืน แต่เมื่อได้ยินดังนั้นแล้วก็เอามือที่ง้างอยู่ลง แล้วพูดชืดๆ “บุญคุณความแค้นตอนนั้นข้าไม่อยากพูดถึง เจ้าว่าเจ้าไม่ต้องรับผิดชอบก็ไม่ต้องรับผิดชอบ ตอนนี้ก็ไม่มีใครเอาความกับเจ้าแล้ว ไสหัวไปซะ!”
อ๋องอานโกรธจนหน้าเขียว “เจ้าไม่เอาความ แต่มีคนมากมายเอาความแทนเจ้า ใครๆ ก็พากันร้องขอความเป็นธรรมแทนเจ้า เรื่องในตอนนั้นถึงข้าจะผิดอยู่กึ่งหนึ่ง แต่ตอนนี้ทุกคนก็พากันโทษข้า ไม่ใช่เจ้า!
ใช่สิ! เจ้าก็เหมือนกับเป็นผู้เคราะห์ร้าย ได้รับความเห็นใจ แต่เจ้าไปถามพี่สะใภ้สามเจ้าสิ คนที่นางแค้นเป็นเจ้าหรือเป็นข้า?!”
“น้องสี่ นี่เจ้าจะพูดอะไร?” อ๋องเว่ยก็ถูกคำพูดนี้จุดชนวนขึ้นมา กัดฟันกรอด “อยากโดนต่อยแล้วใช่ไหม?”
“เอาสิ! ข้ากลัวท่านหรือ? ยังไงญาติมิตรก็พากันตีตนออกห่างจนถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะกลัวท่านต่อยอีกหรือ?”
อ๋องอานวาดหมัดไปอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่ถูกอ๋องเว่ย จากนั้นเขาก็ชกเข้าใส่ สองพี่น้องตะลุมบอนอยู่ในค่ายทหาร ไม่ว่าใครก็ห้ามไม่อยู่ ชกต่อยตั้งแต่ด้านในจนถึงลานสนาม เนื้อตัวเปรอะเปื้อนดินโคลน