บัลลังก์หมอยาเซียน - บทที่ 991 ลูกเขยคนใหม่กลับบ้าน
พี่ชายของหยวนชิงหลิงกอดนาง กล่าวอย่างสะอึกสะอื้น: “ดี ดี ดี!”
หยู่เหวินเห้าเห็นยายหยวนกอดชายผู้นั้นแล้วร้องไห้โฮอย่างฉับพลัน ก็ค่อนข้างงงงันเล็กน้อยขณะที่อยากจะเข้าไปดึงออก ก็ตระหนักได้อย่างรวดเร็วว่าคนผู้นี้น่าจะเป็นพี่ชายแล้ว หยุดฝีเท้าลงทันที
เห็นพี่น้องทั้งคู่กอดคอกันร้องห่มร้องไห้ ในทรวงอกของหยู่เหวินเห้าก็รู้สึกปวดร้าวขึ้นมาอย่างเปี่ยมล้นในพริบตา ในตาร้อนผ่าว
พวกเด็กๆเดินเข้าไปเงียบๆ ดึงเสื้อของคุณลุง ร้องเรียกอย่างพร้อมเพรียงกัน: “คุณลุง!”
พี่ชายของหยวนชิงหลิงจึงได้ปล่อยหยวนชิงหลิง น้ำตายังคงคลอเบ้า ก้มหน้ามองดูเด็กทั้งสามที่หน้าตาเหมือนกันทุกอย่าง จึงดีใจขึ้นมาทันที มือหนึ่งอุ้มขึ้นมาคนหนึ่ง ทิ้งทังหยวนไว้อีกแล้ว
เคยเห็นจากในวิดีโอ แต่ยืนอยู่ต่อหน้าเช่นนี้จริงๆแล้ว ก็ยังทำให้พี่ชายของหยวนชิงหลิงมีความรู้สึกเหมือนราวกับอยู่คนละโลกเช่นนั้น
วางซาลาเปาและข้าวเหนียวลง ก็อุ้มทังหยวนขึ้นมา แล้วจูบลงไปอย่างเต็มที่ “เด็กดี”
หยวนชิงหลิงพยักหน้าให้หยู่เหวินเห้า หยู่เหวินเห้าเอาเจ้าแฝดให้นาง เดินขึ้นหน้าไปทำมือเคารพ “ท่านพี่!”
พี่ชายของหยวนชิงหลิงมองดูเขา ความรู้สึกแรกคือความพอใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะสีหน้าท่าทางที่สงบและอ่อนโยน ทำให้เขาซาบซึ้งเล็กน้อย วางทังหยวนลง จับมือกับหยู่เหวินเห้า “พบหน้ากันครั้งแรก!”
หยู่เหวินเห้าค่อนข้างไม่เป็นตัวเอง ผู้ชายที่มีอายุแล้วทั้งสองคนจับมือกันแบบนี้ ค่อนข้างแปลก แต่ว่า ก็ไม่ได้แสดงออกอย่างชัดเจนเกินไปนัก เพียงแค่ยิ้มๆ “ได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว!”
โทรศัพท์พี่ชายของหยวนชิงหลิงดังขึ้นแล้ว เขาปล่อยมือหยู่เหวินเห้าแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “แม่ อืม เห็นแล้ว……มี มีแล้วครับ มีทั้งหมดเลยล่ะครับ เด็กห้าคน ไม่เป็นไร แม่ไม่ต้องมา ถ้านั่งไม่พอเดี๋ยวผมใช้แอปพลิเคชันเรียกรถแท็กซี่ อืม แม่กลับบ้านก่อนเถอะครับ กินข้าวรึยัง?
นั่นจะต้องยังไม่กินแน่ พวกเด็กๆจะต้องหิวแล้วแน่นอน ล้วนร้องเรียกคุณลุงเองแล้ว ยังไม่หิวเหรอครับ? ได้……ถูกแล้ว ซื้อเสื้อผ้าสักสองสามชุด ลูกเขยของแม่แต่งตัวค่อนข้างแปลกไปนิด ลูกเขยแม่สูงเท่าไหร่? ประมาณหนึ่งร้อยแปดสิบแปดล่ะมั้งครับ? หนักเท่าไหร่? จากที่วัดด้วยสายตาประมาณหกสิบห้ากิโลกรัม โดยสรุปแม่ก็จัดการได้เลย…….”
หยู่เหวินเห้าเห็นเขาพูดเองเออเองกับกล่องที่เอาไว้ถ่ายรูปนั่น รู้สึกขนลุกขนชันเล็กน้อย กระซิบกล่าวกับหยวนชิงหลิง: “หรือว่าสมองพี่ชายของพวกเราค่อนข้าง…….”
หยวนชิงหลิงเช็ดน้ำตา บรรยากาศถูกเขารบกวนทันที ครั้นแล้วก็หัวเราะและตีเขาเล็กน้อย “ท่านพูดจาเลอะเทอะอะไร? นั่นคือโทรศัพท์ สามารถสนทนากับคนที่อยู่ไกลมากๆได้ สมองพี่ชายท่านใช้งานได้ดีมาก อย่างน้อยก็ใช้ได้ดีกว่าท่าน”
“อ่อ รู้แล้ว เป็นการส่งผ่านเสียงโดยการควบคุมของจิตใต้สำนึกใช่หรือไม่? คนที่นี่แบบพวกเจ้าล้วนทำเป็นหรือ?”
หยู่เหวินเห้าตกตะลึง แต่เขาก็ไม่ค่อยเต็มใจนัก “ข้าก็เพิ่งเคยมาที่นี่ และไม่รู้จักสิ่งของอะไรเหล่านั้นที่พวกเจ้าใช้ จะบอกว่าสมองของข้าใช้การไม่ได้ได้อย่างไร? หากว่าเจ้าบอกให้เขาสู้กับข้าสักสองสามกระบวนท่า รับรองว่าเจ้าจะบอกว่าเขาใช้การไม่ได้”
หยู่เหวินเห้าดูออกแล้ว พี่ชายผู้นี้ไม่ใช่คนที่มีฝีมือสูงส่งของในครอบครัว ลมปราณล้วนวุ่นวายไปหมด
พี่ชายของหยวนชิงหลิงโทรศัพท์เสร็จ กลับมาพาพวกเขาไปในลานจอดรถ
ที่เขาขับคือรถSUVประเภทห้าที่นั่ง ดีที่สองคนเป็นทารกที่ใช้มืออุ้มไว้ เด็กอายุไม่ถึงสามขวบสามคน ฝืนหน่อยก็ยังสามารถเบียดกันเข้าไปได้
หยู่เหวินเห้าจำได้นี่ก็คือรถม้าหนังเหล็กที่ได้เห็นเมื่อครู่ วนรอบตัวรถด้วยความสงสัยเป็นอย่างมากรอบหนึ่ง ของสิ่งนี้ไม่มีกำลังจากภายนอกจะลากไปข้างหน้าได้อย่างไร? อีกทั้งยังจะเร็วสุดๆอีกด้วย
เขานั่งแถวหลัง เพราะว่าต้องอุ้มลูก ปลดสิ่งของที่แบกออกไว้ท้ายรถ เขานั่งตำแหน่งติดกับหน้าต่าง เด็กสามคนนั่งด้านซ้ายมือของเขาเป็นแถว พื้นที่แคบๆนี้ ทำให้หยู่เหวินเห้ารู้สึกอึดอัดเป็นที่สุด มีกลิ่นที่ไม่น่าดมกลิ่นหนึ่ง
“ยายหยวน!” รถยนต์เริ่มทำงานในพริบตานั้น เขาร้องเรียกเบาๆคำหนึ่ง
หยวนชิงหลิงคาดเข็มขัดนิรภัยดีแล้ว หันกลับไปเห็นเขาแววตาที่ทำอะไรไม่ถูกของเขา ในใจเกิดความรู้สึกผิดทันที เคยเห็นรัชทายาทแห่งเป่ยถังที่ห้าวหาญนี่ทำตัวไม่ถูกเพียงนี้ที่ไหนกัน?
“วางใจ ไม่เป็นไร ฝีมือการขับรถของพี่ชายดีมาก!” หยวนชิงหลิงกล่าว
หยู่เหวินเห้ากอดเจ้าแฝดแน่น กล่าวด้วยความไม่วางใจ: “ผู้ใดลากรถ? ข้าไม่เห็น”
หยวนชิงหลิงหัวเราะแล้วกล่าว “ประเดี๋ยวข้าค่อยอธิบายต่อท่าน”
รถเพิ่มความเร็วแล้วเคลื่อนไปด้านหน้า เลี้ยวออกไปได้ครู่หนึ่งก็ขึ้นทางด่วนวงแหวนรอบที่หนึ่ง สามารถเลี่ยงรถติดได้ จากนั้นไปประมาณสิบกว่านาทีก็ถึงบ้านแล้ว
ขึ้นวงแหวนรอบหนึ่งแล้วรถก็มีความเร็วมากเป็นพิเศษ เร็วกว่าม้าที่เขาขี่เสียอีก ทิวทัศน์สองข้างทางถอยร่นไปทางด้านหลังไม่หยุด แม้ว่าการกั้นเสียงของรถจะไม่เลว แต่ก็ยังได้ยินเสียงลมพัดฮูฮู
ในใจของหยู่เหวินเห้ายังกังวลขึ้นเรื่อยๆ ผู้ใดเป็นคนลากรถนี้? ลากจนเร็วเป็นที่สุดเช่นนี้ เขามองไปทางพวกเด็กๆ กลับเห็นพวกเขานิ่งเฉยทั้งกลุ่ม ไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวโดยสิ้นเชิง เขาพยายามปรับสีหน้าท่าทาง ทำให้ตัวเองดูเหมือนไม่ตื่นเต้นขนาดนั้น ไม่เช่นนั้นก็ขายหน้าจริงๆ
วงแหวนที่หนึ่งมีกล้องวงจรปิด ลดความเร็ว เพิ่มความเร็ว ต่อเนื่องกันสองสามครั้ง ทำให้ท้องไส้ของหยู่เหวินเห้าปั่นป่วนเล็กน้อย เวียนหัว เหมือนกับเมาเหล้า เขาเอาศีรษะพิงบนหน้าต่างรถ เมื่อหน้าต่างรถสั่นสะเทือนโดนศีรษะ เขาก็ยิ่งไม่ค่อยสบายตัวขึ้นแล้ว
พี่ชายหยวนชิงหลิงเห็นสีหน้าของเขาไม่ค่อยดีจากในกระจกรถมองด้านหลัง ตกใจเล็กน้อย “น้องเขยเมารถเหรอ?”
หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างฝืนๆ: “ก่อนหน้านี้ไม่เมา ก่อนหน้านี้ก็มักจะนั่งรถม้าเสมอ ไม่รู้ว่าครั้งนี้เกิดอะไรขึ้น กล่าวตามจริงแล้วรถม้านี้สั่นสะเทือนกว่าเล็กน้อย”
“อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว นายอดทนหน่อย” พี่ชายของหยวนชิงหลิงกล่าว จากนั้นกำชับเด็กๆ “พวกเด็กๆ ดูแลคุณพ่อของเธอให้ดี”
“รับทราบ!” ทั้งสามกล่าวพร้อมกัน
หยวนชิงหลิงหันไปมองหยู่เหวินเห้าด้วยความเป็นห่วง “ยังดีอยู่หรือไม่?”
“อยากอาเจียน!” หยู่เหวินเห้าพยายามอดกลั้นความปั่นป่วนและความรู้สึกไม่สบายไว้สุดๆ ชั่งน่าอายจริงๆอับอายไปถึงบ้านแม่ยายแล้ว
“ไม่เช่นนั้นท่านนั่งด้านหน้า? ข้าอุ้มลูกด้านหลัง!” หยวนชิงหลิงกล่าว
หยู่เหวินเห้ากล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง: “ไม่ใช่ว่าใกล้จะถึงแล้วหรือ?”
“ใกล้แล้ว!” พี่ชายของหยวนชิงหลิงตอบรับคำหนึ่ง พยายามขับรถให้เสถียรและนิ่งที่สุดเล็กน้อยเพื่อดูแลน้องเขยรัชทายาทที่ฐานะสูงส่งผู้นี้
จากนั้นทุกครั้งที่ผ่านไปหนึ่งนาที หยู่เหวินเห้าก็จะถามคำหนึ่งว่าถึงรึยัง?
ถามจนถึงสุดท้าย ล้วนแฝงไปด้วยเสียงสะอื้นแล้ว
ในที่สุด รถขับเข้าไปในโรงจอดรถ จอดนิ่งแล้วลงมา หยวนชิงหลิงลงจากรถช่วยเปิดประตูรถให้เขาทันที “รีบออกมา”
หยู่เหวินเห้าเอาเจ้าแฝดยัดให้นาง นั่งยองลงบนพื้นอยากจะอาเจียนออกมาอย่างหนักสักรอบ แต่ก็อาเจียนไม่ออก ความรู้สึกไม่สบายเป็นที่สุดนั่นได้ประสบเป็นครั้งแรกจริงๆ
หยวนชิงหลิงเอาเจ้าแฝดให้พี่ชาย จากนั้นไปดึงเขา “ดีขึ้นหน่อยหรือไม่?”
“ดีขึ้นหน่อยแล้ว!” หยู่เหวินเห้ายืนขึ้น ข้างหูยังเป็นเสียงลมหวิวหิวอยู่เล็กน้อย
พี่ชายของหยวนชิงหลิงกล่าวว่า: “พวกเราขึ้นไปก่อน คุณพ่อคุณแม่ซื้อเสื้อผ้ามาแล้ว อีกเดี๋ยวก็ถึงบ้านแล้ว”
พวกเด็กๆวิ่งไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว หยู่เหวินเห้ารีบเรียกให้หยุด “อย่าวิ่งมั่วซั่ว เดี๋ยวก็หลงทาง”
“พวกเขารู้ว่าบ้านอยู่ที่ไหน” พี่ชายของหยวนชิงหลิงยิ้มแล้วกล่าว
มีเพื่อนบ้านสองคนหยุดรถลงมา สังเกตหยู่เหวินเห้าและหยวนชิงหลิงอย่างละเอียดสองสามครั้ง ยิ้มพลางเอ่ยถามพี่ชายของหยวนชิงหลิง “คุณหมอหยวน สองคนนี้เป็นใครกันเหรอ?”
“ลูกพี่ลูกน้องกับน้องเขย เพิ่งถ่ายละครกลับมา ยังไม่ได้ล้างเครื่องสำอางน่ะ”
“เป็นดาราหรอกเหรอ ยอดเยี่ยม ลูกพี่ลูกน้องของคุณเหมือนดอกเตอร์หยวนมาก เฮ้อ ช่างน่าเสียดายดอกเตอร์หยวนจริงๆเลย”
คนเหล่านี้ หยวนชิงหลิงล้วนรู้จัก คิดไม่ถึงว่าชีวิตนี้ยังจะพบเจอได้อีก ในตาร้อนผ่าวเล็กน้อย แต่ตอนนี้ทำได้เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก พยักหน้าให้พวกเขาเป็นมารยาท
บอกลากับเพื่อนบ้าน แล้วไปทางในบ้าน เพราะกลัวว่าหยู่เหวินเห้าขึ้นลิฟต์แล้วจะเวียนหัวอีกรอบ ดังนั้นหยวนชิงหลิงจึงเดินขึ้นบันไดเป็นเพื่อนเขา
วนเจ็ดรอบแปดรอบ หยู่เหวินเห้ารู้สึกแปลกใจเป็นที่สุด “ข้ายังคิดว่าเหล่านี้เป็นหอคอยสูงซะอีก คิดไม่ถึงว่าล้วนเป็นบ้านของพวกเจ้า บ้านของพวกเจ้าชั่งสูงนัก”
หยวนชิงหลิงกล่าวอธิบาย: “ไม่ใช่ ตึกนี้มีสิบกว่าชั้น ในหนึ่งชั้นมีสี่ครอบครัว พวกเราเรียกเหล่านี้ว่าห้องชุด หลังจากที่พ่อค้าผู้บุกเบิกสร้างเสร็จแล้ว ก็ขายเป็นห้องๆ”
“หนึ่งชั้นมีสี่ครอบครัว? เช่นนั้นในนี้ก็มีคนอื่นอีกมากมายเช่นนั้นหรือ?”
“ใช่แล้ว ทั้งหมู่บ้านใหญ่ๆนี้ ประมาณสองพันครัวเรือน” หยวนชิงหลิงกล่าว
หยู่เหวินเห้ายังคงคิดไม่ตกกับรถนั่นขึ้นมาอีก “ผู้ใดเป็นคนลากรถกันแน่ล่ะ? ชั่งลากได้เร็วยิ่งนัก”
“ประเดี๋ยวค่อยพูด”