บุตรอสูรบรรพกาล - ตอนที่ 37 เซียนกระบี่
ตอนที่ 37
เซียนกระบี่
หลังจากสำนักบุปผชาติมาถึง งานเลี้ยงต้อนรับก็ได้ถูกจัดขึ้นอย่างอลังการ โต๊ะอาหารของแต่ละสำนักถูกจัดวางเอาไว้รอบๆลานประลองที่จะใช้ในการประลองเมื่อพระอาทิตย์ของวันพรุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่ในยามนี้มันเป็นเพียงแท่นวางของตกแต่งที่อยู่ตรงกลางระหว่างงานเลี้ยงฉลองเท่านั้น
ท่ามกลางงานฉลองเหล่าศิษย์สำนักต่างๆ ต่างก็ตื่นเต้นกันถ้วนหน้าที่จะได้ร่วมประลองในงานประลองสามสำนัก หากแต่มีเพียงไป๋จูเหวินเท่านั้นที่อาจจะคิดต่างออกไป
น่าผิดหวัง ไป๋จูเหวินลองสำรวจรอบๆดูว่ามีผู้มีพลังฝีมือหรือไม่ แต่นอกจากเหล่าอาจารย์ที่มีพลังวิญญาณสูงกันหน่อยแล้วศิษย์ที่จะลงประลองล้วนไม่มีใครอยู่สูงกว่าระดับผลึกวิญญาณขั้นที่ 5 เลย
จะบอกว่าสมแล้วที่คุยโตโอ้อวดไว้มาก ศิษย์ของสำนักยอดเมฆามีถึง 5 คนที่มีพลังระดับผลึกวิญญาณแล้ว 2 คนอยู่ขั้น 1 และอีก 2 คนอยู่ขั้นที่ 3 ส่วนคนสุดท้ายน่าจะเป็นศิษย์เอกของเจ้าสำนักเพราะมันอยู่ขั้น 5 ไปแล้ว แต่ตัวมันดูภายนอกก็น่าจะอายุเกือบๆ 30 เทียบกับเฟิงชิวหรือแม้แต่ฮั่วเจียนก็ออกจะไม่เกินคาดเท่าไหร่ ส่วนทางสำนักบุปผชาตินั้นแทบไม่มีความน่าสนใจ พวกนางล้วนมีพลังวิญญาณไม่เกินระดับก่อกำเนิด เรียกได้ว่าพวกนางเป็นเหล่าผู้รักสงบที่ฝึกฝนพลังวิญญาณเพื่อปกป้องตนเองเท่านั้น เมื่อรวมทั้งหมดที่เห็นแล้วไป๋จูเหวินก็ได้แต่ถอนหายใจ ในงานเลี้ยงครั้งนี้ไม่มีใครเลยที่มีพลังพอๆกับชายจากกลุ่มนักล่าอสูร แม้แต่เจ้าสำนักทั้งสามก็ไม่แม้แต่จะเทียบกับกลุ่มคนที่ล้อมไป๋จูเหวินเอาไว้ได้เลยแม้แต่คนเดียว
ท่านเจ้าสำนักทั้งสอง ข้ามีแขกพิเศษท่านหนึ่งที่จะแนะนำให้ท่านได้รู้จัก ขณะกำลังให้เหล่าศิษย์นั่งดื่มกินกันอย่างสนุกสนาน เจ้าสำนักของสำนักยอดเมฆาก็เชิญเจ้าสำนักของสำนักธารโลหิตและเจ้าสำนักของสำนักบุปผชาติมาหาชายชราคนหนึ่งที่เดินออกมาในเครื่องแต่งกายธรรมดาสามัญจนน่าประหลาด เมื่อเทียบกับทั้งสามสำนักที่สวมใส่เครื่องแบบประจำสำนักแล้วมันดูราวกับคนลากรถไม่มีผิด แต่ทันทีที่สังเกตุเห็นไป๋จูเหวินก็ใช้ดวงตาสีม่วงมองไปทางมันทันที
เพร้ง! ชั่วพริบตาที่มองดวงตาของไป๋จูเหวินก็สั่นไหวทันที มือที่ถือถ้วยชาเอาไว้ถึงกับเผลอปล่อยลงพื้นทำให้ศิษย์ร่วมสำนักหันมามองด้วยความประหลาดใจ หรือมันจะตื่นเต้นที่ได้ประลองกัน?
ศิษย์น้อง เจ้าเป็นอะไรไป เฟิงชิวถามด้วยความประหลาดใจ ปกติศิษย์น้องของมันไม่ใช่คนเซ่อซ่าเช่นนี้
ปะ เปล่าขอรับ ไป๋จูเหวินลอบถอนหายใจเบาๆโดยยังไม่ละสายตาจากชายชรา เพราะพลังที่มันสัมผัสได้แม้จะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายอยู่ขั้นอะไร แต่มันก็มากกว่าหญิงสาวของกลุ่มนักล่าอสูรเสียอีก..
ไม่ใช่! ไม่ใช่แค่มากกว่าชายชราคนนั้นถึงกับเหนือกว่าคนละโลก มันเป็นมนุษย์คนแรกที่ไป๋จูเหวินรู้สึกว่าใกล้เคียงกับท่าน้าของมันที่สุด เรียกได้ว่ามันเพียงคนเดียวคงสามารถฆ่าทุกคนบนยอดเขาได้จนหมดอย่างง่ายดายเลย
ท่านนี้คือท่านผู้อาวุโสเทียนหมิง ท่านกำลังเป็นแขกของเราในสำนักยอดเมฆา ทันทีที่แนะนำตัวชายชราให้เจ้าสำนักทั้งสองฟัง ใบหน้าของเจ้าสำนักยอดเมฆาก็ราวกับจะเยาะเย้ยเจ้าสำนักทั้งสองทันที ทั้งนี้เพราะชื่อของเทียนหมิงนั้นไม่ธรรมดา แต่กลับเป็นชื่อของบุรุษผู้หนึ่งซึ่งได้ชื่อว่าเซียนกระบี่ผู้ไร้เทียมทานเลยทีเดียว แม้แต่สำนักใหญ่ๆยังต้องเกรงใจท่าน เรียกได้ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่บุคคลระดับนั้นจะมาพักพิงสำนักเล็กๆอย่างสำนักยอดเมฆา
ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสคือ เซียนกระบี่เทียนหมิง จริงๆหรือขอรับ เจ้าสำนักธารโลหิตแทบจะเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหัน ตัวมันและทุกคนในที่นี้แทบไม่ใช่บุคคลที่จะยืนต่อหน้าบุคคลแบบท่านได้เสียด้วยซ้ำ
เซียนกระบี่อะไรกัน เห็นชัดๆว่าข้าเป็นมนุษย์ ขณะพูดอยู่ๆมือของผู้อาวุโสก็ขยับไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ดวงตาของไป๋จูเหวินเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที แต่ด้วยดวงตาสีแดงของไป๋จูเหวินกลับไม่สามารถมองได้อย่างชัดเจนว่าผู้อาวุโสทำอะไร เห็นเพียงมือขยับไปที่เสื้อของเจ้าสำนักธารโลหิตเท่านั้น
ข้าเพียงผ่านมาขอพักแรมระยะหนึ่งเท่านั้น พวกเจ้าไม่ต้องเกรงใจอะไรหรอก ชายชราว่าพลางเดินตามเจ้าสำนักยอดเมฆาไปที่โต๊ะ มันรับกล่องไม้จากเจ้าสำนักยอดเมฆาก่อนจะเปิดดูภายในเพียงครู่หนึ่ง มันส่ายหน้าและขอตัวออกจากงานไปทันที
ท่านเจ้าสำนักธารโลหิต ที่อกท่าน… เจ้าสำนักบุปผชาติพูดพลางมองที่อกของเจ้าสำนักธารโลหิต ไม่ทราบตั่งแต่เมื่อไหร่ที่อกของมันก็ปรากฏอักษรคำว่า กระบี่ เขียนเอาไว้แถมยังเป็นรอยขาดรูปอักษรอย่างสวยงามราวกับใช้พู่กันวาด
ไม่ผิดแน่ ท่านต้องเป็นผู้อาวุโสเซียนกระบี่อย่างแน่นอน เจ้าสำนักธารโลหิตพูดพลางมองชายชราที่เดินผ่านไปอย่างเคารพ มันไม่มีแม้แต่เศษเสี่ยวความไม่พอใจที่อาวุโสทำเสื้อมันขาดแต่อย่าไร
วินาทีนั้น ความสงสัยของไป๋จูเหวินก็นำพาร่างของมันให้เดินตามชายชราไป เพียงไม่นานไป๋จูเหวินก็ออกจากงานเลี้ยงและเข้ามาในเขตหลังของสำนักยอดเมฆาเสียแล้ว
เจ้าหนู ทำไมถึงตามข้ามา เพียงเดินออกจากงานมาไม่กี่ก้าว ผู้อาวุโสเทียนหมิงก็หันมาถามไป๋จูเหวินเสียก่อน ทักษะตัวเบาของไป๋จูเหวินเพิ่งฝึกได้ไม่นานแถมพลังยังห่างกันมาก ไม่แปลกเลยที่ไป๋จูเหวินจะโดนจับได้
ขะ ข้า… ไป๋จูเหวินไม่มีคำพูด ตัวมันไม่ทราบว่าจะตอบเช่นไร
เจ้าเป็นนักล่าอสูรงั้นหรือ ผู้อาวุโสเทียนหมิงถามพลางเดินเข้ามาใกล้ไป๋จูเหวินช้าๆ
นั่น… ไป๋จูเหวินถึงกับงุนงง แม้พลังวิญญาณของผู้อาวุโสเทียนหมิงจะมากมายจนน่าตกใจ แต่ไป๋จูเหวินไม่สามารถสัมผัสพลังอสูรจากท่านได้เลย ในเมื่อท่านไม่มีพลังอสูรแล้วท่านแยกแยะได้อย่างไรว่ามันเป็นผู้มีพลังอสูร
ไม่ต้องตกใจ นอกจากการสร้างพลังอสูรในร่างแล้วยังมีวิธีอื่นที่จะแยกพลังอสูรได้ ราวกับอ่านใจไป๋จูเหวินออกผู้อาวุโสเทียนหมิงอธิบายทันทีว่าทำไมตนถึงรู้ว่าไป๋จูเหวินมีพลังอสูรในร่าง
ขออภัยท่านอาวุโส แต่ข้าไม่ใช่นักล่าอสูร ไป๋จูเหวินตอบพลางมองชายชราอย่างหวาดระแวง ความสามารถของอาวุโสเทียนหมิงล้ำลึกมาก ตัวไป๋จูเหวินรู้สึกราวกับโดนพวกท่านน้าจ้องจับผิดก็ไม่ปาน
เหลวไหล เจ้ามีพลังอสูรและพลังวิญญาณในร่างแล้วเจ้าจะไม่ใช่นักล่าอสูรได้อย่างไร อาวุโสเทียนหมิงว่าพลางเดินเข้ามาใกล้ไป๋จูเหวิน
ฟุบ! เพี๊ย! วินาทีนั้นมือของอาวุโสเทียนหมิงก็เลื่อนเข้ามาจับบ่าของไป๋จูเหวินเอาไว้ แต่ดวงตาของไป๋จูเหวินกลับเปลี่ยนเป็นสีแดงและปัดข้อมือของอาวุโสเทียนหมิงออกอย่างรวดเร็ว ทำให้ผู้อาวุโสเทียนหมิงประหลาดใจไม่น้อย เจ้าหนูนี่สามารถมองการเคลื่อนไหวของมันทัน แถมยังปัดมือมันได้อีกต่างหาก ทำให้อาวุโสเทียนหมิงเคลื่อนไหวเร็วอย่างเอาจริงมากกว่าเดิม มันเพียงคว้ากุมไหล่ของไป๋จูเหวินเพื่อตรวจสอบพลังเท่านั้น
….ร่างกายเช่นนี้ แม้แต่อาวุโสเทียนหมิงยังอดตะลึงกับสิ่งที่ตนสัมผัสได้ ร่างกายเช่นนี้ไม่ควรเกิดขึ้นตามธรรมชาติ หากได้รับเคล็กฝึกฝนที่เหมาะสมและทรัพยากรที่มากพอเจ้าหนูนี่สามารถเลื่อนระดับข้ามไปหลายขั้นได้อย่างรวดเร็วแน่นอน
เจ้าเป็นใครกันแน่ อาวุโสเทียนหมิงถามพลางปล่อยมืออกจากร่างกายไป๋จูเหวิน
ข้า…ข้าเพียงกลืนแก่นอสูรเข้าไปโดยบังเอิญเท่านั้น ไป๋จูเหวินยังเข้าใจว่าอาวุโสเทียนหมิงถามเกี่ยวกลังอสูรอยู่
เช่นนั้นเจ้าสมควรจะตายไม่ใช่หรืออย่างไร อาวุโสเทียนหมิงถามด้วยดวงตาส่องประกาย
ขอรับ ท่านน้าของข้าใช้สมุนไพรจำนวนมากรักษาชีวิตของข้าเอาไว้ ไป๋จูเหวินตอบตามที่มันเคยเล่าให้คนจากกลุ่มนักล่าฟัง
จริงหรือ เจ้าเคยกินสมุนไพรที่มีลักษณะนี้หรือไม่ อยู่ๆผู้อาวุโสเทียนหมิงก็หยิบรูปวาดขึ้นมารูปหนึ่ง มันเป็นรูปสมุนไพรชนิดหนึ่งที่หาได้ในเขตอสูร แต่ก็ไม่ได้หาง่ายเหมือนหญ้าผลึกหยกแต่อย่างไร แม้อาวุโสเทียนหมิงจะไม่ทราบว่ากลุ่มนักล่าอสูรใช้สมุนไพรใดรักษาชีวิตของศิษย์ที่กลืนแก่นอสูรเข้าไป แต่ได้ข่าวว่าสมุนไพรนั่นมีค่าไม่น้อยและมีข่าวลืออีกว่าเป็นสมุนไพรจากเขตอสูร
ขอรับ ข้าเคยทานเข้าไป ไป๋จูเหวินย้อนนึกถึงความหลัง เหมือนท่านน้าราชสีห์จะเคยเอามาตุ๋นกับเนื้อไก่หางแดงให้กิน
เช่นนั้นเจ้ายังมีสมุนไพรชนิดนี้เหลือหรือไม่ ไม่สิแค่วิธีการหามาก็พอ อาวุโสเทียนหมิงคลายท่าทีสงสัยไปจนหมด ยามนี้มันต้องการเบาะแสของสมุนไพรดังกล่าวมากกว่ามานั่งสงสัยตัวไป๋จูเหวินเสียอีก
ตอนนี้ข้าไม่มีกับตัวขอรับ แต่เท่าที่ทราบพวกมันโตในเขตอสูร ไป๋จูเหวินตอบออกไปอย่างง่ายดาย แต่ใบหน้าของอาวุโสเทียนหมิงกลับไม่ค่อยพอใจนัก
เขตอสูรจริงๆสินะ อาวุโสเทียนหมิงถอนหายใจออกมา แม้แต่ตัวมันยังไม่กล้าเข้าไปในเขตอสูรตามลำพัง แม้มันจะเอาชนะอสูรส่วนใหญ่ในเขตอสูรได้ แต่หากเจอรุมหรือเจอเข้ากับราชาของเขตใดเขตหนึ่งในเขตย่อย ตัวมันก็คงไม่สามารถเอาชีวิตกลับมาได้เหมือนกัน บัดนี้มันอยากรู้จริงๆว่าน้าของเจ้าเด็กนี่หาสมุนไพรมาจากไหน หรือว่าน้าของเจ้าเด็กนี่จะแข็งแกร่งยิ่งกว่าตัวมันกัน
ท่านอาวุโส ท่านต้องการสมุนไพรไปทำอะไรหรือขอรับ ไป๋จูเหวินถามด้วยความอยากรู้ ผู้ที่ต้องการสมุนไพรนั้นมีไม่กี่ประเภทที่มันนึกออก หากไม่นำไปเพิ่มพลังก็คงนำไปรักษาเป็นแน่
ศิษย์ของข้า.. ผู้อาวุโสเทียนหมิงว่าพลางถอนหายใจออกมา
มันโดนศัตรูทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ข้าเลยตามหาสมุนไพรเพื่อนำมารักษามัน อาวุโสเทียนหมิงตอบพลางมองไปทางหลังสำนัก ที่มันมาอยู่ในสำนักยอดเมฆานั้นเพราะต้องการหาสมุนไพรเท่านั้น เพราะนที่นี่ใกล้เขตอสูรมากหากจะมีสมุนไพรจากเขตอสูรโผล่ออกมาย่อมมาจากที่นี่เป็นที่แรก ตัวมันเลยเอาเศษวิชาที่ไม่ได้ใช้ให้เจ้าสำนักยอดเมฆาแทนค่าพักเพราะเวลามันออกไปหาสมุนไพรจะได้มีเหล่าผู้ฝึกฝนพลังวิญญาณคอยดูแลศิษย์ของมัน
อาวุโส ถึงข้าจะไม่มีตัวสมุนไพร แต่ข้ามียาที่จะรักษาอาการบาดเจ็บได้บ้าง ไป๋จูเหวินพูดพลางนึกถึงยาที่น้าราชสีห์ให้มันมา แม้จะไม่ใช่ยาขั้นสูงอะไรมากมายแต่คงจะช่วยรักษาอาการบาดเจ็บได้ไม่มากก็น้อย
ยา เป็นยาเช่นไร ผู้อาวุโสถึงกับเบิกตากว้าง น้าที่เจ้าเด็กคนนี้พูดถึงสามารถหายามาได้มากมาย เป็นไปได้ว่ายาที่ไป๋จูเหวินนำมาอาจจะสามารถรักษาอาการของศิษย์มันได้ก็ได้
.
บุตรอสูรบรรพกาล ตอนที่ 37 เซียนกระบี่