บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 117 พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย ข้าฟางฉางไม่เคยกลัว
- Home
- บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน
- บทที่ 117 พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย ข้าฟางฉางไม่เคยกลัว
บทที่ 117 พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย ข้าฟางฉางไม่เคยกลัว!
คำพูดโน้มน้าวของจางอวิ๋นถิงไม่ได้ทำให้ฟางฉางเย็นลง แต่กลับทำให้ใบหน้าหยาบกร้านของเขาดูโมโหยิ่งกว่าเดิม
“ศิษย์น้องอย่าห้ามข้า เจ้านี่ใช้บัญญัติบรรพชนชิงตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์จากเจ้าไปไม่ว่า แต่ยังอยากจะได้ศิษย์น้องหญิงอวิ๋นซีอีก!
ในโลกบำเพ็ญเซียนชายชอบหญิงรัก เดิมทีควรจะต่างฝ่ายต่างมีใจให้กัน แต่การใช้บัญญัติบรรพชนมาบังคับให้ศิษย์น้องหญิงอวิ๋นซีตบแต่งด้วย นี่เขาเรียกว่าลูกผู้ชายรึ วันนี้ข้าฟางฉางจะต้องสั่งสอนไอ้คนบ้ากามนี่ ให้มันรู้ว่าการรังแกศิษย์น้องหญิงอวิ๋นซีต้องแลกกับอะไร!”
ระหว่างพูดอยู่นั้น ฟางฉางพุ่งมาอยู่หน้ายอดค่ายกลคุ้มกันภูเขาของยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ประหนึ่งดาวตกสีแดงอมทองแล้ว
เมื่อเผชิญหน้ากับม่านยอดค่ายกลคุ้มกันภูเขาบางๆ เขายังไม่หยุดแม้แต่น้อย แต่เอาหัวพุ่งชนเข้าไป
เสิ่นเทียนเองก็ย่อมไม่มีทางมองฟางฉางพุ่งชนยอดค่ายกลคุ้มกันภูเขาในรูปแบบปกติได้เช่นกัน
ถึงอย่างไรแม้ยอดค่ายกลคุ้มกันภูเขารูปแบบปกติจะมีพลังป้องกันไม่อ่อนแอเลย แต่ฟางฉางเป็นบุคคลในตำนานของแดนศักดิ์สิทธิ์
ถ้าเกิดพังเข้ามาได้ล่ะจะทำอย่างไร!
พอคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนก็ส่งพลังฤทธิ์เข้าไปในป้ายคำสั่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ช้าๆ ปรับระดับความแกร่งของยอดค่ายกลคุ้มกันภูเขาเป็นระดับสอง
ทันใดนั้น ยอดค่ายกลคุ้มกันภูเขาจากโปร่งแสงพลันขยับแสงพร่างพราว เหมือนกับฝาครอบมหึมาเปล่งแสง
มันคลุมจากบนยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ลงมาถึงข้างล่าง ก่อนจะต้านการโจมตีของฟางฉางไว้ได้อย่างมั่นคง
บึ้ม~!
ได้ยินแค่เสียงดังอึกทึก ฟางฉางชนเข้ากับยอดค่ายกลคุ้มกันภูเขาอย่างรุนแรง ผิวนอกของยอดค่ายกลคุ้มกันภูเขาเกิดระลอกคลื่นเป็นเส้นๆ กระจายการโจมตีของฟางฉางไปทั้งยอดค่ายกลได้อย่างสมบูรณ์
ฟางฉางใช้หมัดเทพฟ้าคะนองสุดกำลังแล้ว แต่กลับไม่สร้างความเสียหายหรือสั่นสะเทือนใดๆ กับยอดค่ายกลคุ้มกันภูเขาเลย
ฟางฉางลูบๆ หมัดขวาที่ถูกกระเทือนจนแสบ ก่อนจะจ้องเสิ่นเทียนในค่ายกลเขม็ง ดวงตาราวกับสายฟ้า
เขาเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “เจ้าคงจะเป็นเสิ่นเทียน! หน้าตามีภูมิฐาน มองปราดเดียวก็ไม่เหมือนคนดี!”
จางอวิ๋นถิงข้างหลังฟางฉางมีเหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาจากหน้าผากหยดหนึ่ง “ศิษย์พี่”
ฟางฉางหันกลับมาพูดเรียบนิ่ง “เจ้าไม่ต้องพูด เจ้าคอยดูอยู่ข้างๆ ข้าก็พอ!”
จางอวิ๋นถิงพูดด้วยความจนปัญญา “ศิษย์พี่ บุตรศักดิ์สิทธิ์เสิ่นเทียนหาสิ่งยืนยันเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์มาคืนฝ่ายเรา ทั้งยังเติมเต็มคัมภีร์จักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์ให้สมบูรณ์อีก ตามบัญญัติบรรพชนแล้ว เขามีสิทธิ์รับตำแหน่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายเราจริงๆ ถ้ายินดีก็มีสิทธิ์ตบแต่งกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ฝ่ายเราเช่นกัน”
ฟางฉางทำเสียงขึ้นจมูก “อย่ามาพูดไร้สาระเรื่องบัญญัติบรรพชนอะไรนั่นกับข้า บรรพบุรุษทำของหายเองมีสิทธิ์อะไรมาให้พวกเรารับผิดชอบ
ไม่มีบทสุดท้ายของคัมภีร์จักรพรรดิอัสนี เจ้ากับข้าก็จะเดินบนเส้นทางไร้พ่ายไม่ได้รึ ช่างน่าหัวร่อจริงๆ! โลกนี้ไม่มีหนทางไร้พ่าย มีแต่คนที่ไร้พ่าย ไม่มีบทต้องห้ามแล้วอย่างไร
หาบทต้องห้ามมาคืนได้ก็ได้ตบแต่งสตรีศักดิ์สิทธิ์ พวกเจ้าเคยถามศิษย์น้องหญิงบ้างหรือไม่ว่านางยินดีหรือไม่ ศิษย์น้องหญิงอวิ๋นซีเป็นคนมีชีวิตจิตใจ ไม่ใช่เครื่องมือ! เอาความสุขของนางมาแลกกับวิชาอะไรนั่น ช่างน่าขำ!”
ฟางฉางยิ่งพูดยิ่งโมโห สายตาจ้องไปในยอดค่ายกลยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์เขม็ง
เขาแค่นเสียงหึ “เสิ่นเทียน เจ้ากล้าตบแต่งกับสตรีศักดิ์สิทธิ์ ก็ต้องกล้าออกมา!”
เสิ่นเทียนปรับแสงยอดค่ายกลให้ระดับความโปร่งใสสูงขึ้นด้วยความจำใจ “ศิษย์พี่มีสิ่งใดจะชี้แนะหรือ”
เมื่อเห็นบุรุษที่มีเอกลักษณ์ไม่ธรรมดาราวกับเซียนจุติมายังโลกแล้ว ฟางฉางก็พูดด้วยความโกรธ “เจ้าออกมาให้ข้าก่อน!”
ออกมารึ เจ้าคงไม่ได้ล้อข้าเล่นอยู่หรอกนะ ข้าดูเหมือนคนไม่มั่นคงขนาดนั้นเลยหรือ
ทั้งยังให้ข้าออกไปก่อน เจ้าแกร่งขนาดนั้น เก่งจริงก็บุกเข้ามาเองสิ!
พอคิดได้ว่าต่อให้ศิษย์พี่ใหญ่ในตำนานคนนี้จะแกร่งกว่านี้ก็เหมือนจะทำอะไรตนไม่ได้แล้วนั้น เขาก็มีความมั่นใจขึ้นมาทันที ท่าทางสุขุมขึ้นเช่นกัน
เขากล่าวนิ่งๆ ว่า “ท่านคือศิษย์พี่ใหญ่ฟางฉางของฝ่ายเรารึ นับถือมานานๆ”
ฟางฉางแค่นยิ้ม “มิกล้า ฟางฉางเป็นเพียงศิษย์สายตรงตัวจ้อย จะไปกล้าเรียกตัวเองว่าศิษย์พี่กับบุตรศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร”
เสิ่นเทียนเหมือนคิดอะไรได้บางอย่าง “อ้อ ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องฟาง ระหว่างเรามีอะไรเข้าใจผิดกันหรือไม่”
ฟางฉางกล่าว “เสิ่นเทียนเจ้าจะรังแกกันเกินไปแล้ว เจ้าออกมานี่ ข้ารับปากว่าจะไม่ทำอะไรเจ้า”
เสิ่นเทียนพูดด้วยความจนปัญญา “ศิษย์น้องฟาง ข้ากำลังปิดด่านบำเพ็ญฝึกฝน คงเปิดยอดค่ายกลคุ้มกันภูเขาไม่ได้หรอก”
ตลก เจ้าบอกว่าจะไม่ทำอะไรข้าก็ต้องเชื่อหรือ นี่มันต่างอะไรกับ ‘ข้าก็แค่ถูๆ ไม่สอดใส่เข้าไปหรอก’
เห็นเสิ่นเทียนเหมือนเตรียมจะปิดตายยอดค่ายกลคุ้มกันภูเขาไม่ยอมออกมาแล้ว ฟางฉางก็ระเบิดอารมณ์ฉุนเฉียวทันที
ปรากฏการณ์วิหคชาดแผดเผาหล้ากับปรากฏการณ์กิเลนผนึกแดนกลางปะทุแสงสว่างจ้าออกมาด้านหลังเขา ชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์สีเหลืองทองบนตัวกับทวนมังกรแดงเพลิงก็ถูกปราการกฎที่ลึกลับและรุนแรงอย่างยิ่งคลุมเอาไว้
ตอนนี้ ฟางฉางเหมือนแปลงร่างเป็นแม่ทัพเทพไร้พ่ายแล้ว “เจ้าไม่ออกมา ข้าก็จะทำลายค่ายกลนี่เข้าไปจับเจ้าออกมาเอง!”
เอ่ยจบฟางฉางพลันกำทวนขึ้นมา สายฟ้าสีแดงอมทองรวมอยู่ในการโจมตีทวนของเขา เหมือนมีร่างมายามังกรแดงลอยขึ้นมา
จางอวิ๋นถิงพูดโน้มน้าวด้วยความเหนื่อยใจอยู่ข้างๆ “ศิษย์พี่ใหญ่อย่าบุ่มบ่าม เป็นศิษย์ฝ่ายเดียวกัน กลมเกลียวกันไว้เถอะ!”
ทางด้านเสิ่นเทียนเห็นพลังที่แผ่มาจากตัวฟางฉางแข็งแกร่งจนน่ากลัวจริงๆ แล้วจึงหยิบป้ายคำสั่งบุตรศักดิ์สิทธิ์ออกมาเงียบๆ ส่งพลังฤทธิ์เข้าไปปรับยอดค่ายกลเป็นความแกร่งระดับสาม หรือก็คือรูปแบบการป้องกันที่แกร่งที่สุด
ทันใดนั้นยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์พลันเปล่งแสงเทพพุ่งขึ้นฟ้า อัสนีเทพสีสันต่างๆ ยิงออกมาจากสายแร่วิญญาณ พวกมันรวมกันกลางอากาศเป็นสัตว์เทพต่างๆ เช่นมังกรเขียว พยัคฆ์ขาว วิหคชาด เต่าดำ งูเหินและสิบสองนักษัตรหกคู่เป็นต้น
ทุกตัวล้วนมีโครงสร้างมาจากสายฟ้าบริสุทธิ์ที่สุด แผ่กลิ่นอายพลังยิ่งใหญ่ราวกับของจริง
ฟางฉางมองอัสนีเทพสัตว์เทพสิบทิศที่วนเวียนรอบนอกยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์อย่างเฉยชา
เขายิ้มเยาะกล่าวว่า “พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย ข้าฟางฉางไม่เคยกลัว”
พูดจบ เขาก็กำทวนมังกรแดงเพลิงพุ่งทะยานไปเข่นฆ่าสัตว์เทพสิบทิศ
มังกรเขียวธาตุไม้ลำดับหนึ่งอะไรนั่น พยัคฆ์ขาวธาตุทองลำดับเจ็ดอะไรนั่น วันนี้ข้าฟางฉางจะปราบพวกมันเอง!
ทวนมังกรแดงเพลิงกวัดแกว่งอย่างทรงพลัง ราวกับมีมังกรแดงตัวหนึ่งกำลังบินทะยานเข่นฆ่าอยู่จริงๆ เปล่งเสียงคำรามโอหังบ้าอำนาจและไม่เป็นสองรองใคร
สัตว์เทพที่รวมขึ้นจากสายฟ้าเหล่านี้ถูกทวนมังกรของฟางฉางฉีกร่างกระจายไปทีละตัว
…..
หนึ่งเค่อต่อมา!
ฟางฉางยืนอยู่กลางอากาศด้วยความโอหัง มองเสิ่นเทียนอย่างเย็นชา “เจ้าคนไร้ยางอาย เจ้าจะฆ่าก็ฆ่าเถอะ! หากข้าฟางฉางพูดขอให้เจ้ายกโทษให้แม้แต่คำเดียว จะไม่ถือว่าข้าเป็นลูกผู้ชาย!”
กลางอากาศ โซ่กฎเกณฑ์ที่รวมขึ้นจากอัสนีอย่างเช่นธาตุทองลำดับเจ็ด ธาตุไม้ลำดับหนึ่งและธาตุไฟกำลังตรึงเขาไว้อย่างแน่นหนา
แม้เมื่อครู่ฟางฉางจะมีกำลังรบเป็นหนึ่ง ฉีกสายฟ้าสัตว์เทพกระจุย แต่ก็ต้านสัตว์เทพที่คืนชีพมาได้อย่างไร้ขีดจำกัดไม่ไหว!
เจ้าเพิ่งสังหารสัตว์เทพตัวที่สามไป อีกสองตัวก่อนหน้านี้รวมขึ้นมาใหม่แล้ว จะให้สู้อย่างไร
ด้วยเหตุนี้ ฟางฉางยืนหยัดมาได้หนึ่งเค่อก็ยังถูกโซ่จากอัสนีเทพสิบชนิดตรึงเอาไว้
อัสนีเทพแต่ละสายไหลเวียนบนผิวกายฟางฉาง ผ่าเขาจนเส้นผมตั้งชี้
แต่ฟางฉางก็ยังคงไม่ปริปากร้อง ถือว่าเป็นลูกผู้ชายที่มีใจเด็ดเดี่ยวจริงๆ!
จางอวิ๋นถิงมองเสิ่นเทียนด้วยความจำใจ “น้อง (เขย)…บุตรศักดิ์สิทธิ์ ช่วยเห็นใจด้วย แม้ศิษย์พี่ฟางฉางจะมุทะลุไปบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์ฝ่ายเดียวกัน หวังว่าท่านจะกลมเกลียวกันไว้”
เห็นเสิ่นเทียนยืนกลางยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์ ขณะพูดคุยเฮฮายังเอาชนะฟางฉางได้ จางอวิ๋นถิงยังรู้สึกชื่นชมอย่างยิ่ง
ไม่รู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่ของฝ่ายนี้ได้รับมรดกมีนิสัยไม่ชอบใช้สมองมาเหมือนกันหมดหรือไม่ แม้โลกบำเพ็ญเซียนจะเชิดชูศักยภาพสูงสุด แต่สมองก็สำคัญมากเช่นกัน
ศิษย์พี่ท่านเป็นเพียงระดับแก่นพลังทองตัวจ้อย ทะลวงเก้ารอบถึงจุดสูงสุดไร้พ่ายในขั้นพลังเดียวกันแล้วอย่างไร
ไม่อยากจะเชื่อว่าจะกล้าแบกทวนมาบุกยอดค่ายกลคุ้มกันภูเขาที่ต้านได้กระทั่งระดับหลอมรวมเทพ เหตุใดท่านไม่ขึ้นสวรรค์ไปเลยล่ะ!
สมองอย่างท่านนี่ ยังคิดจะจีบน้องสาวข้าอีกหรือ
เทียบกันแล้ว จางอวิ๋นถิงถูกใจเสิ่นเทียนมากกว่า
รู้จักการใช้อาวุธที่มีพลังกำราบศัตรูที่รับมือยาก
นี่อธิบายได้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์คนใหม่ของฝ่ายเราไม่ใช่คนมุทะลุ ทั้งยังหลักแหลมและมีสติปัญญา
หากซีเอ๋อร์ได้คู่กับคนเช่นนี้ อย่างน้อยภายภาคหน้าก็จะปลอดภัยกว่า ไม่ต้องห่วงเรื่องเป็นม่าย
ถึงอย่างไรโลกบำเพ็ญเซียนก็ไม่สงบสุข ที่ที่เต็มไปด้วยโชควาสนามักจะมีอันตรายร้ายแรงอยู่
เทียบกับศิษย์พี่ใหญ่ฟางฉางแล้ว บุตรศักดิ์สิทธิ์เสิ่นเทียนให้ความรู้สึกปลอดภัยกว่า อีกทั้งมองจากใบหน้าแล้ว ถ้าข้าเป็นซีเอ๋อร์ละก็…
ก็น่าจะเต็มใจแต่งกับเสิ่นเทียนมากกว่ากระมัง!
……………………………