บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 125 สามสิบปีธารน้ำไปทางตะวันออก สามสิบปีให้หลังธารน้ำไปทางตะวันตก
- Home
- บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน
- บทที่ 125 สามสิบปีธารน้ำไปทางตะวันออก สามสิบปีให้หลังธารน้ำไปทางตะวันตก
บทที่ 125 สามสิบปีธารน้ำไปทางตะวันออก สามสิบปีให้หลังธารน้ำไปทางตะวันตก
ศิษย์น้องยังบอกว่าค่อนข้างชอบข้าในแบบเดิมหรือ
ดีจริงๆ ข้าก็คิดว่าแต่งตัวเช่นนี้ไม่สบายตัวเอาเสียเลย!
จางอวิ๋นซีพยักหน้าพูด “ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องรออีกเดี๋ยว ข้าจะกลับไปเปลี่ยน”
พูดจบ จางอวิ๋นซีก็พุ่งไปยังยอดเขาสตรีศักดิ์สิทธิ์อย่างรวดเร็ว หายลับไปตรงหน้าทุกคน
เสิ่นเทียนถอนหายใจด้วยความจนปัญญา รอก็แล้วกัน!
แต่ว่าครั้งนี้จางอวิ๋นซีเปลี่ยนอาภรณ์เร็วมาก เพียงชั่วเวลาสั้นๆ นางก็กลับมาในชุดเกราะแสงพยัคฆ์ขาวแบบเดิม
เส้นผมยาวสง่างามม้วนไว้ข้างหลังอย่างเรียบง่าย ชุดเกราะเงินผ้าคลุมขาวส่องประกายภายใต้แสงตะวัน
จางอวิ๋นซียิ้มเจิดจ้า “ศิษย์น้อง ครั้งนี้เราจะไปเที่ยวที่ใดกัน”
เสิ่นเทียนพูดอย่างจำใจ “ศิษย์พี่หญิง เราจะไปฝึกฝน ไม่ใช่ไปเที่ยวเล่น”
เขานึกไปถึงภาพโชคลิขิตที่เห็นเหนือศีรษะของฟางฉางก่อนหน้านี้ สถานที่ที่ปรากฏขึ้นในตอนแรกก็คือเมืองแห่งหนึ่งของดินแดนบูรพา
เมืองนั้นมีนามว่า ‘เมืองหมอกลับแล’ เป็นเมืองที่ตั้งของอาณาจักรที่ซ่อนอยู่ในเมฆหมอก เจริญรุ่งเรืองยิ่ง
องค์ชายสิบสามในร่างก่อนของเสิ่นเทียนก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ของอาณาจักรต่างๆ ในดินแดนบูรพา อาณาจักรอู้อิ่นเป็นอาณาจักรที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งในดินแดนบูรพา เก่าแก่กว่าอาณาจักรต้าเหยียน
อาณาจักรอู้อิ่นมีประวัติศาสตร์หลายพันปี ผู้สูงศักดิ์ระดับดวงจิตดรุณในราชวงศ์มีไม่ต่ำกว่าสิบท่าน เรียกได้ว่ามีพลังแฝงแข็งแกร่งยิ่ง
กล่าวได้ว่าแม้จะมองไปทุกอาณาจักรในเขตปกครองของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ อาณาจักรอู้อิ่นก็ยังถือว่าเป็นอาณาจักรที่แข็งแกร่ง
อีกทั้งเมืองหมอกลับแลยังเป็นเมืองหัวใจสำคัญที่สุดในอาณาจักรอู้อิ่น ในละแวกใกล้เคียงเมืองมีโชคลิขิตไม่น้อย เล่าลือว่ามีบันทึกในตำราว่าห่างจากชายแดนตะวันออกของเมืองหมอกลับแลไปร้อยลี้จะมีที่ราบหมอกลับแลอยู่แห่งหนึ่ง
ที่ราบแห่งนี้กว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตา มีหมอกวิญญาณหนาแน่นปกคลุมตลอดทั้งปี หากผู้บำเพ็ญเซียนเดินเข้าไปกลางหมอก จิตสัมผัสหรือประสาทสัมผัสจะถูกหมอกวิญญาณปิดกั้นทั้งหมด
และหากอาศัยวิสัยทัศน์แยกแยะเส้นทางอย่างเดียว ก็เกรงว่าจะเดินไปได้ไม่ถึงร้อยเมตรก็หลงทางแล้ว ด้วยเหตุนี้ปกติที่ราบหมอกลับแลจึงเป็นแดนต้องห้ามที่สุดของอาณาจักรอู้อิ่น แม้แต่ผู้สูงศักดิ์ระดับดวงจิตดรุณยังไม่กล้าบุกเข้ามา
แต่ทุกๆ ยี่สิบปี ที่ราบหมอกลับแลจะปรากฏ ‘ช่วงกระแสหมอก’ ที่พบเห็นได้ยากหนึ่งครั้ง หมอกลับแลจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไป
วงหมอกวิญญาณที่เดิมทีตลบอบอวลมาร้อยปีจะขยายพื้นที่และหกพื้นที่ลงราวกับสายน้ำหลาก
เมื่อกระแสขึ้น ถึงขนาดที่พื้นที่หมอกลับแลเข้าไปใกล้ประตูเมืองหมอกลับแล และช่วงกระแสลดก็จะเผยเขตแดนที่เดิมทีถูกผนึกเอาไว้มากมาย
ในเขตแดนที่ปรากฏออกมาเหล่านั้นมีสมบัติอัศจรรย์หรือหญ้าประหลาดมากมาย ให้ผู้ฝึกบำเพ็ญหลอมเป็นโอสถระดับสูงได้
หากโชคดี อาจจะเจอสมุนไพรวิญญาณที่ล้ำค่าอย่างยิ่งในเขตหมอกลับแล…เถาจองจำเซียน
เถาจองจำเซียนที่ว่านั่นคือสมุนไพรวิญญาณคุณลักษณะเสริมที่ล้ำค่ายิ่งชนิดหนึ่ง ใช้ในการหลอมโอสถ
มันแข็งแรงและทนทานมาก เป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักในการหลอมสมบัติวิเศษระดับสูงสุดอย่าง ‘โซ่จองจำเซียน’
หากได้เถาจองจำเซียนขั้นสามมาต้นหนึ่ง แล้วหลอมมันเป็นโซ่จองจำเซียน จะขุมขังผู้จริงแท้ได้
หากได้เถาจองจำเซียนขั้นสี่มาต้นหนึ่งแล้วหลอมเป็นโซ่จองจำเซียน เช่นนั้นก็คุมขังได้กระทั่งผู้สูงศักดิ์
ในระหว่างการต่อสู้กับศัตรูนั้น หากมีโซ่จองจำเซียนเป็นตัวช่วย มันจะมีผลในการช่วยเหลืออย่างมาก ถึงอย่างไรการปะทะกับผู้แข็งแกร่งระดับเดียวกันก็ตัดสินความเป็นตายได้ในพริบตา ถูกพันธนาการไว้ก็เท่ากับพ่ายแพ้แล้ว
ตามที่เสิ่นเทียนรู้มา ‘ช่วงกระแสหมอก’ ในรอบร้อยปีของที่ราบหมอกแห่งนี้ใกล้เข้ามาแล้ว เพราะในภาพโชคลิขิตที่เขาเห็นคือฟางฉางอยู่ในที่ราบใหญ่
และรอบตัวฟางฉางไม่มีหมอกวิญญาณใดๆ ดังนั้นสถานที่จึงชัดเจนมาก
เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนจึงเอ่ยขึ้น “ได้ยินว่า ‘ช่วงกระแสหมอก’ ของอาณาจักรอู้อิ่นใกล้เข้ามาแล้ว ถึงตอนนั้นจะมีผู้ฝึกบำเพ็ญไม่น้อยเดินทางไปรวมกันที่เมืองหมอกลับแล พวกเราก็ไปดูกันหน่อยดีหรือไม่”
……
เมืองหมอกลับแลหรือ
จางอวิ๋นซีทำท่าทางครุ่นคิด นางรู้จักที่แห่งนี้ เพราะพี่ชายของนางจางอวิ๋นถิงก็เคยไปเสี่ยงอันตรายที่นี่ตอนอยู่ระดับสร้างฐาน ได้ของมาไม่น้อย
ตอนนั้นจางอวิ๋นถิงเพิ่งทะลวงระดับสร้างฐานได้ไม่นาน ยังเจอเถาจองจำเซียนสูงสุดของขั้นสามหนึ่งต้นจากในที่ราบหมอกลับแล
หลังจากใช้สมบัติลับพิเศษที่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์หรือบิดาเขาให้มาตัดเถาจองจำเซียนต้นนี้แล้ว จางอวิ๋นถิงก็หลอมเป็นโซ่จองจำเซียนระดับสูงสุดหนึ่งเส้น
และเมื่อกระตุ้นอานุภาพของโซ่จองจำเซียนถึงจุดสูงสุดแล้ว กระทั่งแก่นพลังทองรอบที่หกยังถูกผนึกตาย ค่อนข้างตึงมือเลย
จางอวิ๋นถิงยังอาศัยโซ่จองจำเซียนเส้นนี้บุกฝ่าจนมีชื่อเสียงโด่งดังในรุ่นเยาว์ดินแดนบูรพา
โอรสสวรรค์ของแดนเทวาและแดนศักดิ์สิทธิ์มากมายต่างลงความเห็นว่าการสู้กับเจ้านี่มันช่างน่ารังเกียจยิ่งนัก เป็นผู้ชายแท้ๆ สู้กันไม่ปะทะกันซึ่งหน้า เอาแต่วกวนหลบไปหลบมา
เล็งหาโอกาสปล่อยโซ่จองจำเซียนมัดอีกฝ่ายไว้ จากนั้นก็ควบคุมถึงตายไปอย่างคับแค้นใจ
ในหนึ่งมังกร หนึ่งพยัคฆ์และหนึ่งกิเลนของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ กิเลนเป็นที่ยอมรับว่าแข็งแกร่งที่สุด พยัคฆ์ขาวมุทะลุที่สุด มังกรเขียวจัดการยากที่สุด
เดิมทีด้วยแนวการต่อสู้ของจางอวิ๋นซี นางไม่ชอบสมบัติวิเศษคุณลักษณะเสริมแบบควบคุมอย่างโซ่จองจำเซียนอยู่แล้ว แต่ในเมื่อศิษย์น้องเสิ่นเทียนต้องการ นางคิดว่าตนไปเป็นเพื่อนเขาหน่อยก็คงไม่เป็นไร
………
หมู่คณะทำการตรวจสัมภาระอีกครั้ง จนมั่นใจว่าไม่มีอะไรผิดพลาดแล้วถึงออกเดินทาง
โชคดีว่าเมืองหมอกลับแลแลห่างจากโลกเล็กเทพสวรรค์ไม่ไกล อยู่ราวๆ สามพันลี้เท่านั้น
ทุกคนขี่กระบี่เหาะเหิน เดินทางจากโลกเล็กเทพสวรรค์มาถึงเมืองหลวงหมอกลับแลแห่งอาณาจักรอู้อิ่นภายในหนึ่งวัน
นี่เป็นการขี่กระบี่ครั้งแรกของเสิ่นเทียนเลยกลัวความสูงนิดๆ ไม่ค่อยกล้าเร่งความเร็วสูงสุด
ถ้าไม่อย่างนั้น หากทุกคนเร่งรีบเดินทางคงจะถึงเร็วกว่าตอนนี้ไม่น้อย
เมืองหมอกลับแลยิ่งใหญ่อยู่ตรงหน้าแล้ว ทุกคนถึงกดหัวกระบี่ลง
เมืองในโลกบำเพ็ญเซียนมีค่ายกลป้องกันทางอากาศอยู่ เพื่อกันไม่ให้สัตว์อสูรบินเข้ามาโจมตี หากบินข้ามเมืองเข้าไปก็อาจจะถูกค่ายกลป้องกันทางอากาศเข้าใจผิดและจู่โจมได้
แน่นอน ค่ายกลนี้ก็อาจจะเพื่อกันไม่ให้มีคนแอบขี่กระบี่เข้าเมืองโดยไม่ซื้อบัตรผ่านเมือง
พึงรู้ไว้ว่าช่วงกระแสหมอกทุกครั้ง ค่าเข้าเมืองหมอกลับแลจะสูงขึ้นเป็นสิบเท่า ลำพังแค่อาศัยค่าเข้าเมืองหนึ่งเดือนในช่วงกระแสหมอก มูลค่าทางเศรษฐกิจของอาณาจักรอู้อิ่นก็พุ่งสูงขึ้นระลอกหนึ่งแล้ว
พวกเสิ่นเทียนมาฝึกฝน ยึดถือหลักการ ‘ทำอะไรเงียบๆ’ จึงไม่ได้เผยฐานะ
หลังจ่ายค่าเข้าเมืองแล้ว ทุกคนก็เข้าไปในเมืองหมอกลับแลกันอย่างราบรื่นและสงบเรียบร้อย
สิ่งที่ควรค่าแก่การเอ่ยถึงคือ ผู้หญิงบางส่วนตรงทางเข้าเมืองเห็นเสิ่นเทียนแล้วอยากจะเข้ามาชวนคุย ปรากฏว่าจางอวิ๋นซีแค่มองพวกนางเรียบๆ ปราดเดียว พลังในกายกดอัดเข้าไปก็บดขยี้ได้ในพริบตา
เวลานี้ เสิ่นเทียนยิ่งรู้สึกว่าการพาศิษย์พี่หญิงอวิ๋นซีมาฝึกฝนด้วยเป็นการเลือกที่ชาญฉลาด
ถึงอย่างไรโดนศิษย์พี่หญิงพัวพันคนเดียวก็ยังดีกว่าโดนฝูงนกการุมล้อม!
……
หลังจากขี่กระบี่บินกันมาหนึ่งวันเต็มๆ ทุกคนก็รู้สึกเหนื่อยล้ากันนิดๆ
ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตัดสินใจไปพักในหอจันทร์รุ้งกลางเมืองตามที่จางอวิ๋นซีเสนอมา
หอจันทร์รุ้งเป็นโรงเตี๊ยมที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหมอกลับแล และแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็เป็นผู้ร่วมลงทุนที่ใหญ่ที่สุดของโรงเตี๊ยมแห่งนี้
ดังนั้นแม้จะอยู่ใกล้ช่วงกระแสหมอก ผู้คนในเมืองหมอกลับแลจะคับคลั่งอย่างไร ขอแค่จางอวิ๋นซีติดต่อกับผู้ดูแลของหอจันทร์รุ้งก็เข้าพักได้
ขนาดเสิ่นเทียนเองยังต้องปลงอนิจจัง ‘มีเส้นสายนี่มันสุดยอด!’
ทุกคนเดินเรื่อยเปื่อยมาอยู่หน้าหอจันทร์รุ้ง นอกจากจางอวิ๋นซีแล้วทุกคนต่างแอบชื่นชมในใจ
เพราะทุกส่วนของหอแห่งนี้สร้างจากไม้หอมลายเมฆาที่แพงที่สุด ลวดลายแผนผังงดงามอย่างยิ่ง
ส่วนยอดหอแกะสลักเป็นมังกรและหงส์ ประกอบกับสลักตราเวทรวมวิญญาณลึกลับ พลังวิญญาณจึงรวมเข้ามาดั่งน้ำวน
ตาน้ำวิญญาณพุ่งออกมาข้างหลังโรงเตี๊ยม ไอน้ำออกเป็นสายรุ้งภายใต้แสงตะวันส่องสะท้อน หลายสิ่งหลายอย่างงดงามเสียจนมองไม่รู้จบ
ขณะที่ทุกคนกำลังจะเข้าพักนั้น กลับเห็นว่าประตูใหญ่ของหอจันทร์รุ้งเปิดออก ตามมาด้วยเด็กหนุ่มเมามายคนหนึ่งถูกโยนออกมา
ใบหน้าเขาซีดเซียว เส้นผมยุ่งเหยิง กลิ่นสุราเข้มข้นอบอวลไปทั้งตัว
“สารเลว ไอ้พวกคนเลว ตอนแรกข้าเลี้ยงสุราพวกเจ้าไปไม่รู้ตั้งเท่าไร พอตอนนี้ข้าพลังบำเพ็ญสูญสิ้น มาทวงเหล้าเซียนเมามายแค่สองชั่งจากพวกเจ้า พวกเจ้าก็ไม่ยอมอย่างนั้นรึ
บัดซบ สามสิบปีสายน้ำไปทางตะวันออก สามสิบปีให้หลังสายน้ำไปทางตะวันตก[1] จะต้องมีสักวันที่พวกเจ้าจะต้องเสียใจ!”
เด็กหนุ่มเพิ่งกล่าวจบก็ได้ยินเสียงหัวเราะเยาะไม่แยแสดังแว่วมาจากในโรงเตี๊ยม
“สามสิบปีสายน้ำไปทางตะวันออก สามสิบปีให้หลังสายน้ำไปทางตะวันตก เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่รึไง! ข้าขายสุราให้เจ้าสองชั่ง ยังต้องรอเจ้าอายุหกสิบแล้วค่อยมาจ่ายเงินรึ”
……………………..
[1] สามสิบปีธารน้ำไปทางตะวันออก สามสิบปีให้หลังธารน้ำไปทางตะวันตก หมายถึงดวงชะตาผันเปลี่ยน ไม่มีอะไรแน่นอน