บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 163 เถาน้อยร้องไห้แล้ว
บทที่ 163 เถาน้อยร้องไห้แล้ว
หน้ากากขนหงส์อำพรางกลิ่นอายพลังได้ ข้อนี้เสิ่นเทียนรู้
แต่เขาไม่นึกเลยว่าจะขวางการตรวจสอบของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้
ไม่ว่าอย่างไร ปิดบังได้ก็เป็นเรื่องดี ถึงอย่างไรเขาเสิ่นเทียนก็เป็นคนหน้าไม่อายอยู่แล้ว!
เมื่อคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนก็เริ่มเปลี่ยนชุดใต้ดิน เปลี่ยนเกราะนักรบสีฟ้าอ่อนออกแล้วสวมเสื้อผ้าของตัวเอง จากนั้นหยิบกระจกออกมาพิจารณาดูอย่างละเอียด พยายามไม่ให้เหลือร่องรอยให้มากที่สุด
ขณะเดียวกัน เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตก็ใจไม่สงบนิ่งเช่นกัน โดยเฉพาะนักพรตชรา ตอนนี้เขาอิจฉาไปหมดแล้ว
ควรรู้ไว้ว่าตอนแรกหลังจากเขาฝึกฝนคัมภีร์คบเพลิงก็ดวงซวยมาตลอด เพลิงสวรรค์ทะเลมรกตสมบัติมหัศจรรย์ฟ้าดินเพียงหนึ่งเดียวในตัวเขาก็ได้มาก่อนเปลี่ยนมาฝึกคัมภีร์คบเพลิง
แต่เสิ่นเทียนล่ะ! ก่อนหน้านี้ก็ได้มหาโชคลิขิตน้ำมวลหนักปฐมกาล ตอนนี้ยังได้สมบัติมหัศจรรย์ฟ้าดินอีกสองชนิด!
ดวงชะตานี้ทำให้นักพรตชราริษยาจนเหี่ยวเฉา อดใจอยากพูดว่าสวรรค์ไม่ยุติธรรมไม่ได้!
ส่วนเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ เขามีมันสมอง จึงตรึกตรองรอบคอบกว่านักพรตชรา
นักพรตชราเห็นแค่เสิ่นเทียนยกระดับเป็นกายเทพอัสนีหยาง ได้สมบัติมหัศจรรย์ฟ้าดินทรงพลังสองชนิด ทว่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กลับสังเกตเห็นจุดที่สำคัญกว่า นั่นคือเสิ่นเทียนสามารถหลอมรวมกับสิ่งมหัศจรรย์พวกนี้ได้!
พึงรู้ไว้ว่า ในอันดับของสมบัติมหัศจรรย์ในฟ้าดิน สิ่งมหัศจรรย์พวกนั้นเป็นโชควาสนายิ่งใหญ่ระดับฟ้า แข็งแกร่งไร้ที่เปรียบได้และยังพยศอย่างยิ่ง
ผู้ฝึกบำเพ็ญปกติได้สิ่งมหัศจรรย์พวกนี้มา การจะหล่อหลอมมันไว้ใช้เป็นเรื่องที่ยากเสียยิ่งกว่ายาก!
ก็เหมือนกับเพลิงสวรรค์ทะเลมรกตที่หลอมรวมในกายของนักพรตชรา ทำให้กำลังรบแข็งแกร่งขึ้นมาก แต่ถ้าให้สิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินกับเขาอีกชนิด ก็ไม่แน่ว่าเขาจะหล่อหลอมมันได้ง่ายๆ
เพราะการหล่อหลอมสมบัติมหัศจรรย์ฟ้าดินไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่จะไร้วาสนาได้เสพสุขได้ง่ายมาก
เล่าลือว่าแดนบูรพาเมื่อสามพันปีก่อนก็มียอดฝีมือเป็นเอกแห่งยุคที่ฝึกฝนวิชาหลอมกายคนหนึ่งฝืนหลอมรวมสมบัติมหัศจรรย์ฟ้าดินสามชนิด
ปรากฏว่าขณะหลอมรวม สมบัติมหัศจรรย์ฟ้าดินระเบิดอานุภาพทำให้เขาธาตุไฟเข้าแทรก ร่างดับสูญไปเพราะเหตุนี้
ขนาดยอดฝีมือเป็นเอกแห่งยุคคนนั้นหลอมรวมสมบัติมหัศจรรย์ฟ้าดินสามชนิดยังต้องเผชิญกับเคราะห์ภัยและตายตกสิ้นไปทั้งกายและดวงจิต
ตอนนี้เสิ่นเทียนมีพลังบำเพ็ญเพียงสร้างฐาน ทว่ากลับหลอมรวมสมบัติมหัศจรรย์ฟ้าดินสามชนิดได้สบายๆ หรือ
นี่คือสิ่งที่คุณสมบัติกายปกติจะทำได้หรือ เห็นได้ชัดว่านี่คือกายที่สวรรค์โอบอ้อมอารี!
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยิ่งมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ ว่าการตัดสินของตนไม่ผิด
ความหวังในอนาคตของฝ่ายเราอยู่ในตัวเทียนเอ๋อร์!
…….
เมื่อคิดได้ดังนั้น ก็กังวลว่านักพรตชราจะไม่รู้เรื่องและก่อเรื่องขึ้นมาอีก เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จึงส่งกระแสจิตไปเงียบๆ เพื่อเล่าการคาดเดาของตนให้นักพรตชราฟัง
“ศิษย์พี่ ข้าบอกในสิ่งที่ควรบอกไปหมดแล้ว ท่านจะผูกวาสนาดีกับบุตรแห่งโชคเทียนเอ๋อร์หรือไม่”
นักพรตชราหน้าแดง ในใจนึกถึงคำพูดหนักแน่นในอดีต ‘ถ้าข้าสำนึกเสียใจข้าจะเป็นหลานเจ้า!’
เวลานี้ จะกอดขาบุตรแห่งโชคยอมเป็นหลาน หรือเป็นผียากจนที่มีจิตใจแน่วแน่กัน
นักพรตชราว้าวุ่นใจมาก ดีเลวอย่างไรเขาก็เป็นผู้สูงศักดิ์สิทธิ์สวรรค์ เขาก็มีเกียรติเช่นกัน
“คือว่าๆ ศิษย์พี่ขอดูอีกหน่อย ไม่ต้องรีบ”
แม้ปากจะยังแข็ง แต่ในใจนักพรตชราอ่อนยวบไปจริงๆ แล้ว
ฝึกฝนคัมภีร์คบเพลิงเหมือนกัน คุณสมบัติกายให้ผลต่างกันก็ทำให้มีความต่างกันมากเช่นกัน ผู้ฝึกฝนคัมภีร์คบเพลิงส่วนใหญ่ใช้ทรัพยากรสิบเท่า แต่ผลลัพธ์ไม่ค่อยชัดเจนนัก
นักพรตชรามีคุณสมบัติในด้านหลอมกายเรียกได้ว่ายอดปีศาจ ฝึกฝนวิชาคัมภีร์คบเพลิงรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าไร้พ่ายในระดับพลังเดียวกัน
แต่ในใจเขารู้ดีว่าตอนที่ศาสตร์หลอมกายเทพมารของตนอยู่ในระดับเหนือสามัญยังมีกำลังรบสู้เสิ่นเทียนไม่ได้เลย
อย่างอื่นไม่ว่า ต่อให้วางสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินสามชนิดตรงหน้านักพรตชรา เขาก็ไม่กล้าหลอมรวม เพราะในสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินมีพลังงานมากเกินไป ดีไม่ดีจะระเบิดตัวเองตายได้
พลังงานนั้น อย่าว่าแต่ระดับเหนือสามัญเลย ต่อให้แข็งแกร่งกว่านั้นก็ยังตายตกได้ในพริบตา!
เพราะถึงอย่างไรการปะทุพลังในร่างกายกับปะทุนอกร่างกายมันคนละเรื่องกันเลย
ความจริงที่เสิ่นเทียนอยู่ระดับเหนือสามัญยังหลอมรวมสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินสามชนิดได้ทำให้นักพรตชราอึ้งไปเลย เขารู้สึกว่าพรสวรรค์ที่ตนภูมิใจนักหนา เมื่อเทียบกับเจ้าหนูเสิ่นเทียนแล้วไม่มีอะไรดีสักอย่าง!
ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เคยลั่นวาจาไว้ ไม่อยากเป็นหลานละก็ เขาก็อยากจะแย่งเสิ่นเทียนมาเป็นลูกศิษย์เสียเองเลย!
ตอนนี้นักพรตชราลำบากใจ ว้าวุ่นใจ สำนึกเสียใจ และยังปวดร้าวไปทั้งตัว
…….
ทางด้านจางอวิ๋นซียืนกลางฟ้าอย่างโอหัง กลิ่นอายพลังทั่วร่างเสถียรภาพแล้ว
นางเดินมาหน้าหลุมศพนั้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความกังวล
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เข้าใจความคิดบุตรสาวตน “อย่าคิดมาก หลุมศพนี้ไม่ใช่เทียนเอ๋อร์ ตอนนี้เทียนเอ๋อร์น่าจะยังปลอดภัย”
คำพูดของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทำให้จางอวิ๋นซีตาเป็นประกาย “จริงรึ ข้าจะไปช่วยเขาเดี๋ยวนี้!”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มองไปข้างๆ อย่างเฉยชา “ใจเย็น มีข้าอยู่ คิดว่าปีศาจนั่นไม่กล้าเล่นลูกไม้หรอก ข้ารู้สึกได้ถึงกลิ่นอายพลังของเทียนเอ๋อร์ เขาถูกปีศาจนั่นปล่อยมาแล้ว เดี๋ยวก็คงมาถึง”
เขาเพิ่งพูดจบก็ได้ยินเสียงดังแว่วมาจากหลังเนินเขาไม่ไกล
“อาจารย์ อาจารย์ลุง ศิษย์พี่หญิง ปีศาจนั่นปล่อยข้ามาแล้ว”
ทันทีที่เสียงดังขึ้น เสิ่นเทียนในชุดคลุมขาวเสื้อข้างในสีเขียวก็เดินเข้ามาดั่งมังกรพยัคฆ์
เขาใจฝ่อเล็กน้อย พยายามให้ตนเดินให้ดูเป็นผู้ชายหน่อย แบบนี้จะสมจริงยิ่งขึ้น
ถึงอย่างไรเสิ่นเทียนก็สู้กับจางอวิ๋นซีมาก่อน กลัวว่าด้วยประสบการณ์การต่อสู้ของนางจะทำให้มองเห็นเงื่อนงำอะไรบางอย่างได้
เสิ่นเทียนพยายามเดินวางมาดบุรุษ นี่ยิ่งทำให้ท่าทางของเขาดูโอหังอย่างมาก
ขอใช้คำพูดที่แพร่หลายในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด เดินแบบไม่ไว้หน้าใคร
แต่ท่าเดินของเขาในสายตาพวกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กลับไม่ได้มีอะไรไม่เหมาะสมสักนิด เพราะในสายตาพวกเขา บุตรศักดิ์สิทธิ์แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ก็ควรจะมีความโอหังแบบ ‘มีข้าอยู่ย่อมไร้พ่าย มองโลกด้วยหางตา’ อยู่แล้ว
ก่อนหน้านี้เสิ่นเทียนสมบูรณ์แบบก็คือสมบูรณ์แบบ แต่แค่อยู่สันโดษมากเกินไป เลยขาดอำนาจพลังไปบ้าง
ตอนนี้ประจวบเหมาะพอดี ใบหน้าหล่อเหลาจิตใจอยู่เหนือข้อพิพาทใดๆ เพียงมองไปรอบๆ ก็เหมือนเซียนลงมาเยือน และยังเหมือนเทพสงครามบนสวรรค์ลงมายังโลก ชายตามองปราบศัตรูทั้งหมดในใต้หล้า แสดงความโอหังของแดนศักดิ์สิทธิ์ออกมาทั้งหมด!
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ชื่นชมในตรงนี้มาก ‘ในตำรากล่าวไว้ไม่ผิด เทียนเอ๋อร์มีรูปแบบชะตามังกรซ่อนทะยานขึ้นฟ้าจริงๆ ตอนนี้เทียนเอ๋อร์เข้าฝ่ายเราแล้ว ทั้งยังได้มหาโชคลิขิตเช่นนี้ คล้ายกับเจอเมฆลมและกลายเป็นมังกร
ภายภาคหน้าฝ่ายเราจะยิ่งใหญ่ขึ้นปกครองแดนบูรพาได้หรือไม่อยู่ที่เทียนเอ๋อร์ทั้งหมดแล้ว!’
…..
ขณะกำลังคิดเรื่องดีในใจนั้น ประกายเซียนรอบกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็เกิดคลื่นกระเพื่อมเบาๆ
เขาพูดกับเสิ่นเทียนว่า “เทียนเอ๋อร์ ปีศาจเถานั่นไม่ได้ทำให้เจ้าลำบากหรือทำร้ายเจ้านะ!”
เสิ่นเทียนฉุกคิดขึ้นมาได้จึงรีบส่ายหน้า “เปล่า เปล่าเลย นางจะกล้าทำร้ายข้าได้อย่างไรกัน! ศิษย์แค่บอกกับปีศาจนั่นว่าข้าเป็นลูกศิษย์ของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ปีศาจนั่นก็ตกใจจนปัสสาวะอุจจาระราดเลย”
ต่อให้ใช้คำหวานมาพูดประจบอย่างไร เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็ตั้งใจมาช่วยเสิ่นเทียนจากแดนไกล แม้จะไม่มีประโยชน์อะไรเลยจริงๆ แต่เสิ่นเทียนก็รับน้ำใจตรงนี้ไว้แล้ว
คำพูดของเสิ่นเทียนทำให้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สบายใจและปลื้มใจมากเช่นกัน
สายฟ้าประกายเซียนบนผิวกายเขากระเพื่อมเบาๆ
เขาพยักหน้าพูดว่า “ในเมื่อเทียนเอ๋อร์ปลอดภัยแล้ว ข้าก็จะไปคุยกับราชินีปีศาจนี่สักหน่อย เป็นแค่ราชินีปีศาจครึ่งก้าวผู้อริยะตัวจ้อยกลับกล้าลงมือกับศิษย์ข้า ไม่รู้จักเป็นตาย!”
ธงจักรพรรดิอัสนีเทพสวรรค์สิบต้นพลันลอยออกมาก่อนจะปักไปตรงขอบรอบๆ ร้อยลี้
สายฟ้าน่าสะพรึงรวมขึ้นบนฟ้าราวกับอานุภาพสวรรค์มาเยือน
…..
ห่างไปสิบลี้ เถาขนาดยาวสองชุ่นบางต้นกำลังมุดดินอยู่ มันดูดซับพลังวิญญาณในเหมืองแร่วิญญาณอย่างยากลำบากและแน่วแน่ พยายามเติบโตอยู่
“ข้าจะไม่ยอม สวรรค์ไม่ยุติธรรม ข้าจะต้องฝึกฝนเป็นเซียนพลิกฟ้าแก้ดวงชะตาให้ได้!”
เพิ่งพูดจบ สีท้องฟ้าก็ค่อยๆ มืดลง พลันเกิดสายฟ้าขึ้นกลางฟ้า อานุภาพสวรรค์น่ากลัวปกคลุมในระยะร้อยลี้ เหมือนจะผ่าลงมาได้ทุกเมื่อ
เวลานี้เถาน้อยต้นนั้นนิ่งอึ้งไปแล้ว
ของเหลวสีขาวขุ่นสองสายไหลลงมาช้าๆ
มันเหมือนจะร้องไห้
‘ข้าก็แค่ทำเป็นปากเก่งไปอย่างนั้นเอง
นี่จะผ่าข้าหรือไร’
……………………………..…….