บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 201 การต่อสู้สบายๆ
บทที่ 201 การต่อสู้สบายๆ!
เมื่อเห็นโครงกระดูกที่กำลังสู้กันที่ตีนเขาแล้ว พวกเสิ่นเทียนพากันครุ่นคิด
โครงกระดูกวิญญาณมรณะพวกนี้คือเป้าหมายการต่อสู้หลักในการฝึกฝนครั้งนี้ของศิษย์จำนวนมากจากสองแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ หกแดนเทวาใหญ่ และสิบสองแดนผาสุก
พวกมันเป็นผู้สิ้นชีพในมหาสงครามครั้งนั้นในยุคบรรพกาล
โครงกระดูกของผู้สิ้นชีพพวกนี้ผสานรวมกับพลังแห่งมารร้ายของวิญญาณร้ายเหนือฟ้า จนเกิดเป็นมารพวกนี้
เนื่องจากจิตวิญญาณสลายไปจำนวนมาก กำลังรบของมันจึงอ่อนแอกว่าตอนยังมีชีวิตไม่รู้กี่เท่า
แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนระดับสร้างฐานก็ยังเต็มไปด้วยความท้าทาย
กล่าวได้ว่าผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานส่วนใหญ่เมื่ออยู่ต่อหน้าโครงกระดูกวิญญาณมรณะพวกนี้ก็อาจจะไม่ได้เปรียบนัก
หากไม่ระวัง ถึงขั้นอาจจะถูกสังหารกลับได้
ฉินอวิ๋นตี๋หรี่ตาลง นัยน์ตามีความกังวลจางๆ “โครงกระดูกที่นี่เยอะกว่าตอนฝึกครั้งก่อนมากเลย! หรือว่าเราจะเคลื่อนย้ายมาในเขตลึกของสนามรบบรรพกาลกัน”
ปกติฝ่ายเซียนจะส่งเข้ามาฝึกในสนามรบบรรพกาลในระยะทางจากชายแดนพันลี้เท่านั้น ในพันลี้คือรอบนอกสนามรบบรรพกาล ในช่วงเวลาพิเศษทุกๆ ห้าปีจะเป็นที่ปลอดภัย
แต่หากก้าวเดินไปพันลี้ นั่นคือส่วนในจริงๆ ของสนามรบบรรพกาล
เล่าลือว่าในนั้นซ่อนสิ่งน่าสะพรึงกลัวที่คงอยู่มาแต่ยุคบรรพกาล ผู้บำเพ็ญที่ฝ่าเข้าไปแทบไม่มีใครหนีออกมาได้
ค่ายกลเคลื่อนย้ายนอกสนามรบจะมีการสุ่มตำแหน่งเคลื่อนย้าย ปกติการผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายเข้าสนามรบบรรพกาลจะส่งมาในระยะร้อยลี้ถึงห้าร้อยลี้จากชายแดน
แต่กฎเกณฑ์ของสนามรบปั่นป่วนจึงเกิดความคาดเคลื่อนเล็กๆ น้อยๆ ก็เป็นเรื่องปกติมาก
จากประสบการณ์ของฉินอวิ๋นตี๋ พวกเขาน่าจะถูกเคลื่อนย้ายมาตรงจุดค่อนข้างลึก ที่นี่มีอันตรายมากกว่าชายแดนสนามรบ
“ศิษย์พี่ พวกเราลำบากแล้ว”
ฉินอวิ๋นตี๋สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนมีปืนหยินหยางพิฆาตอสูรลอยขึ้นมาเป็นแถวๆ ข้างหลังรวมหกสิบสี่กระบอก ปากปืนหนาวเยือกสีดำเมี่ยมเรียงกันแน่นขนัด เสิ่นเทียนเห็นแล้วยังอดขนหัวลุกมิได้
เจ้าฉินอวิ๋นตี๋นี่เป็นอัจฉริยบุคคลเหมือนกัน ไม่อยากเชื่อว่าจะควบคุมปืนหยินหยางพิฆาตอสูรได้มากขนาดนี้พร้อมกัน ทั้งยังรักษาความแม่นยำไว้ได้
ความสามารถในการแบ่งจิตควบคุมทำให้คนต้องเอ่ยชมว่าดีที่สุดที่เคยพบเห็นมา
เทียบกับเขาแล้ว จิวแป๊ะทงยังอ่อนแอกว่าไม่รู้เท่าไร
เสิ่นเทียนพยักหน้าเล็กน้อย “ทุกคนระวังด้วย อาจจะมีอันตรายที่นี่ได้ทุกเวลา”
ค้อนม่วงทองปรากฏในมือขวา อัสนีเทพสีทองอ่อนๆ วนเวียนรอบตัวเสิ่นเทียน ดูบ้าอำนาจเป็นพิเศษ
เขามองเหนือศีรษะทุกคนด้วยรอยยิ้มสบายๆ
เดิมทีเสิ่นเทียนยังกังวลอยู่ว่าเพราะตนเข้ามาแทรกแซง พวกจ้าวเฮ่าจะถูกเคลื่อนย้ายไปคลาดเคลื่อนเพราะทฤษฎีผีเสื้อขยับปีกจนพลาดโชคลิขิตไป
แต่ตอนนี้เสิ่นเทียนมองเหนือศีรษะทุกคนก็ยังสัมผัสได้รางๆ ว่าโชคลิขิตพวกเขาอยู่ที่ใด
หรือก็คือวงรัศมีสีแดงไม่ใช่แค่มั่นใจในช่วงเวลาโชคลิขิตของผู้มีวาสนา แต่ยังทำการกำหนดตำแหน่งของโชคลิขิตอย่างง่ายๆ ได้
มีตำแหน่งเช่นนี้แล้ว เสิ่นเทียนก็มั่นใจได้ว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด
ข้าจะเกาะโชคลิขิตของพวกเจ้าแน่นอนแล้ว!
ตอนนี้ฝ่าวงล้อมไปก่อน!
“น้องสิบสาม เราจะถอยกลับตอนนี้เลยหรือไม่”
เมื่อเห็นโครงกระดูกที่กำลังทำสงครามกันพวกนั้น เสิ่นเอ้าถึงกับกลืนน้ำลาย
ตอนนี้ทุกคนอยู่บนภูเขารกร้างเล็ก ทว่ารอบๆ ภูเขาแห่งนี้เหมือนจะมีทหารโครงกระดูกสู้กันประปราย
เสิ่นเอ้านับดูคร่าวๆ แล้ว โครงกระดูกพวกนั้นมีมากกว่าหลายร้อย หรือก็คือเท่ากับผู้บำเพ็ญระดับสร้างฐานหลายร้อยคน
อีกทั้งดูจากโครงกระดูกพวกนี้แล้วเป็นเพียงทหารตัวเล็กๆ เท่านั้น บางทีใกล้ๆ อาจจะมีตัวใหญ่จริงๆ ก็ได้!
ถ้าเกิดพวกเขาโดนเจ้าตัวใหญ่นั่นพบและออกมือล่า จะไม่แตกพ่ายย่อยยับกันหมดหรือ
ขอพูดความจริง เสิ่นเอ้าสำนึกเสียใจนิดๆ ที่ตามน้องสิบสามมา เหมือนว่าดวงชะตาของน้องสิบสามจะยังไม่เปลี่ยนไปเลย!
เสิ่นเทียนมองโครงกระดูกพวกนั้นตรงตีนเขาพลางเผยอมุมปากเล็กน้อย “ไม่ต้องรีบ พวกเจ้าไปรอข้าบนเขาลูกนี้ก่อน”
ขณะพูดอยู่นั้น แหวนมิติสีเงินที่ซื้อมาใหม่ตรงนิ้วนางก็เปล่งแสงอ่อนๆ
โล่เต่าดำสีดำลอยออกมาจากในแหวน ก่อนเสิ่นเทียนจะถือไว้ในมือซ้าย
“ทุกที่มีแต่อันตราย หากไม่ถึงที่สุดอย่าทำเรื่องใหญ่โตเกินไปจะดีที่สุด”
เสิ่นเทียนพูดกับทุกคนว่า “อวิ๋นตี๋ เจ้าแกะสลักตราเวทเก็บเสียงบนปืนหยินหยางพิฆาตอสูรพวกนั้นก่อน ไม่อย่างนั้นก็ห้ามยิงแม้แต่นัดเดียว
ซ่งฟู้กุ้ย หลิวไท่อี่ สยงเหมิ่ง หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ห้ามใช้ยันต์ระเบิดอัสนีหยินหยางของพวกเจ้า ส่วนโครงกระดูกพวกนี้ตรงตีนเขา พวกเจ้ารอก่อน ข้าจะเปิดทางเอง!”
เมื่อพูดจบ เสิ่นเทียนก็กระโจนไปหาโครงกระดูกพวกนั้น
ใช่ เขาวิ่งลงเขาไปคนเดียว
เขาในตอนนี้ไม่มีความเกรงกลัวเลย
มีแค่คำเดียว ‘วิ่ง!’
…..
บนสนามรบบรรพกาล เนื่องจากกฎเกณฑ์ผันผวน ความเร็วในการขี่กระบี่บินจะเดี๋ยวเร็วเดี๋ยวช้าไม่เสถียรภาพ และที่สำคัญกว่านั้นคือพื้นที่กว้างบนสนามรบแห่งนี้ไม่ได้มั่นคง แต่เต็มไปด้วยรอยแยกมิติ
หากขี่กระบี่บินจะหลงเข้าไปในรอยแยกมิติได้ง่ายมาก จะโดนเคลื่อนย้ายไปที่ใดไม่รู้ เคลื่อนย้ายไปรอบนอกสนามรบบรรพกาลยังดี แต่ถ้าไปส่วนลึกของสนามรบ
ถึงตอนนั้นอย่าว่าแต่ระดับสร้างฐานเลย ขนาดผู้จริงแท้ผู้สูงศักดิ์ยังมีแต่หนทางสู่ความตาย!
เสิ่นเทียนไม่ได้ขี่กระบี่บิน แต่ใช้สองขาวิ่งไปราวกับสายลม ความเร็วยังเร็วจนน่าตกใจ
จากบนเขาลงมาตีนเขาแค่ไม่กี่ลี้เท่านั้น เสิ่นเทียนวิ่งมาชั่วครู่ก็พุ่งเข้ามากลางสงครามของโครงกระดูกพวกนั้น
เมื่อเห็นเสิ่นเทียนพุ่งลงเขาอย่างกะทันหันเช่นนี้ ทุกคนบนเขายังอดเหงื่อไหลแทนเขามิได้
ถึงรู้ว่าเสิ่นเทียนเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ มีศักยภาพแข็งแกร่ง แต่ที่นี่คือสนามรบบรรพกาลนะ!
พลังบำเพ็ญของทุกคนถูกจำกัดไว้ที่ระดับสร้างฐาน เสิ่นเทียนพุ่งไปกลางฝูงโครงกระดูกมากมายเช่นนี้คนเดียว จะไม่มีปัญหาจริงๆ หรือ
ความจริง หลังจากเสิ่นเทียนเลือดลมทะลักไปทั่วร่างและพุ่งไปทางโครงกระดูกพวกนั้นแล้ว ฝูงโครงกระดูกก็พากันหยุดต่อสู้กับพวกเดียวกันและหลั่งไหลมาหาเสิ่นเทียนอย่างบ้าคลั่ง
ตอนที่ยังไม่มีสิ่งที่เป็นหยาง วิญญาณมรณะโครงกระดูกพวกนี้จะสู้กันเอง แต่หากพบสิ่งที่เป็นหยาง พวกมันจะรวมกลุ่มโจมตี!
…..
ความเป็นจริง โครงกระดูกพวกนี้ไม่ใช่เผ่ามนุษย์
แม้พวกมันจะมีรูปร่างมนุษย์ แต่บางตัวมีเขาบนหน้าผาก บางตัวมีปีกงอกข้างหลัง บางตัวมีจะงอยปากงอกตรงกะโหลก
โครงกระดูกแทบทุกตัวจะมีสัญลักษณ์ที่ต่างจากมนุษย์
เห็นได้ชัดมากว่าพวกมันส่วนใหญ่คือปีศาจสัตว์ปีกที่ฝึกฝนจนเป็นร่างมนุษย์ แต่ความพิเศษของปีศาจในตัวก็ยังไม่ได้หล่อหลอมอย่างสมบูรณ์
ปีศาจพวกนี้เป็นทิศทางหนึ่งในการฝึกฝนของเผ่าปีศาจ จะหล่อหลอมร่างไปสู่กายหยาบมนุษย์ หลังจากฝึกสำเร็จ ไม่ใช่แค่คุณสมบัติสูงขึ้น กระทั่งยังฝึกฝนศาสตร์หลอมปราณแก่นพลังทองของเผ่ามนุษย์ได้
แน่นอนว่ามีเผ่าปีศาจจำนวนมากที่ไม่ยอมฝึกบำเพ็ญเป็นมนุษย์ แต่คงร่างเดิมของตนไว้และทำให้ตัวเองแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ยามจำเป็นก็ใช้วิชามายาสร้างร่างมนุษย์ออกมา แต่เนื้อแท้ก็ยังเป็นร่างสัตว์
รูปแบบการฝึกบำเพ็ญมารสองชนิดนี้ก็เหมือนกับศาสตร์หลอมปราณกับหลอมกาย ต่างมีข้อได้เปรียบและเสียเปรียบ ดูแค่การเลือกของแต่ละคน
แต่จะเห็นได้ชัดมากว่าโครงกระดูกฝูงนี้ตรงหน้าเสิ่นเทียน ส่วนใหญ่เป็นโครงกระดูกผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจที่ฝึกบำเพ็ญในด้านคุณสมบัติมนุษย์
ตอนนี้พวกมันรู้สึกถึงเลือดลมสดใหม่จึงบ้าคลั่งขึ้นมา
“พวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันเลย ข้าเสิ่นเทียนไม่เคยเกรงกลัว!”
เสิ่นเทียนแค่นเสียงขึ้นจมูก สัญลักษณ์สายฟ้าสีทองจางๆ ตรงระหว่างคิ้วขยับประกายแสง สายฟ้าสีทองหลั่งไหลไปทั่วร่าง
เขาในตอนนี้รวมเป็นเกราะนักรบรอบตัว ขยับประกายแสงสายฟ้าสว่างจ้าและองอาจห้าวหาญอย่างยิ่ง
นั่นคือเกราะสัตว์เทพห้าอัสนีที่จะรวมขึ้นได้หลังจากฝึกฝนเคล็ดห้าอัสนีฟ้าเที่ยงธรรมถึงขั้นสูง
มันรวมข้อได้เปรียบของเกราะสงครามสายฟ้าห้าชนิดเข้าด้วยกัน เพิ่มกำลังรบให้เสิ่นเทียนมากพอดูเลย
ทางด้านหน้าตา ความจริงรูปลักษณ์ของเกราะศักดิ์สิทธิ์หุบเหวมังกรก็เป็นกระจกเงาของเกราะสัตว์เทพห้าอัสนี มีความคล้ายกันสูงมาก
เมื่อรวมเกราะสัตว์เทพห้าอัสนีออกมาแล้ว การโจมตี ความเร็ว การป้องกัน การฟื้นตัวและการต้านทานการติดสถานะลบของเสิ่นเทียนก็เพิ่มขึ้นมหาศาล
ทั้งตัวเขากลายเป็นเศษเงาสีทองพุ่งทะลวงอยู่กลางโครงกระดูกพวกนั้น
โล่เต่าดำรวมเป็นเกราะโล่สายฟ้า ทุกครั้งที่โล่โจมตีออกไปจะซัดโครงกระดูกปลิวไปหลายจั้ง ชักกระตุกเป็นอัมพาต
ส่วนค้อนม่วงทองแนบด้วยน้ำมวลหนักปฐมกาลบางๆ เมื่อกรอกสายฟ้าเข้าไปก็ยิ่งมีอานุภาพไร้เทียมทาน
ทุกค้อนที่ฟาดโครงกระดูกพวกนั้นจะทำให้พวกมันกลายเป็นเศษกระดูกกระจัดกระจายบนพื้น
หลังจากสายฟ้าลุกลามไป เปลวเพลิงจิตวิญญาณในเบ้าตาโครงกระดูกพวกนี้ก็มอดดับลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นของตายที่ไร้ความรู้สึกอีกครั้ง
บางทีพวกมันอาจจะฝังอยู่ใต้ดินอีกเป็นพันเป็นหมื่นปีกว่าจะจุดเปลวไฟจิตวิญญาณขึ้นมาใหม่และฟื้นขึ้นมาได้
แต่เสิ่นเทียนจะให้โอกาสนี้กับพวกมันหรือ
แหวนสีเงินตรงมือขวาเขาเปล่งแสงดูดเศษโครงกระดูกทั้งหมดเข้าไป
อย่าดูถูกเศษโครงกระดูกพวกนี้เชียว นั่นคือโครงกระดูกของมหาปีศาจยุคโบราณ
แม้พลังจิตวิญญาณจะสลายไปมากกว่าครึ่ง แต่พลังจิตวิญญาณที่หลงเหลือก็ยังคงสุดยอด มีมูลค่ามากพอดูเลย
ค้อนม่วงทองของเสิ่นเทียนแนบกับน้ำมวลหนักปฐมกาล แม้แต่เพชรยังทุบแตก แต่ก็ได้แค่ทุบโครงกระดูกพวกนี้แตกเป็นรอยเล็กน้อยเท่านั้น
จากตรงนี้จะเห็นได้ถึงความแข็งของกระดูกปีศาจพวกนี้
ไม่ว่าจะใช้หลอมสมบัติหรือฝังในสวนสมุนไพรวิญญาณของสำนักเป็นปุ๋ย โครงกระดูกพวกนี้ก็เป็นวัตถุดิบชั้นสูงสุด
……
บึ้ม~
เสิ่นเทียนทุบไปทีละค้อน เส้นผมปลิวไสว
ในช่วงเวลาสั้นๆ ก็มีโครงกระดูกมากกว่าร้อยตายไปไม่มีชิ้นดีด้วยค้อนม่วงทองของเสิ่นเทียน
พวกจ้าวเฮ่าบนภูเขารกร้างตาค้างกันแล้ว
นี่คือศักยภาพแท้จริงของศิษย์พี่เสิ่นเทียนหรือ
ต่อให้อยู่ในสนามรบบรรพกาล พลังบำเพ็ญถูกจำกัดอยู่สร้างฐาน ข้าเสิ่นเทียนก็ยังไร้พ่ายในใต้หล้าหรือ
ขณะเดียวกับที่ทุกคนกำลังเลื่อมใสนั้น เสิ่นเทียนกลับหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย
เกราะอัสนีเทพห้าอัสนีสีทองบนตัวเขาอ่อนแสงลงเล็กน้อย ค้อนม่วงทองก็หดลงรอบเล็กๆ
ใช่ เขาเหมือนใกล้จะมานาหมดแล้ว
เวรกรรมจริงๆ เหตุใดร่างกายนี่ถึงอ่อนแอเช่นนี้
เพิ่งแสดงอำนาจไปไม่กี่นาทีเอง เหตุใดจะยืนหยัดไม่ไหวแล้ว เป็นผู้ชายแท้สามนาทีรึ
ไม่ได้เรื่องเลย!
เสิ่นเทียนถอนหายใจ เกราะสัตว์เทพห้าอัสนีสลายไป และเปลี่ยนมารวมเป็นเกราะอัสนีมังกรเขียวแทน
พลังวิญญาณที่อัดแน่นและคละปนกันบนสนามรบก็หลั่งไหลเข้ามาในร่างเสิ่นเทียนอย่างบ้าคลั่ง ซึ่งเขาก็ใช้เกราะมังกรเขียวดูดเข้ามา
จากนั้นใช้คัมภีร์คบเพลิงหล่อหลอมและเปลี่ยนเป็นพลังงานดั้งเดิมที่สุดมาเติมเต็ม
แม้เกราะสัตว์เทพห้าอัสนีจะเสริมความเร็วในการฟื้นฟูพลังวิญญาณให้เสิ่นเทียนด้วย แต่ก็อ่อนแอกว่าเกราะมังกรเขียว
แต่ความเร็วในการกินพลังวิญญาณมากกว่าเกราะมังกรเขียวมาก
ตอนนี้หลังจากเปลี่ยนเป็นเกราะมังกรเขียวแล้ว ในที่สุดการฟื้นฟูพลังฤทธิ์ในตัวเสิ่นเทียนก็เท่ากับที่เสียไป กระทั่งยังฟื้นฟูขึ้นมาได้อีกไม่น้อย
เขาถอนหายใจทีหนึ่งก่อนเก็บค้อนม่วงทองเข้าไปในแหวน
วินาทีต่อมา เถาวัลย์สีเขียวมรกตเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากมือขวา ก่อนตวัดใส่โครงกระดูกพวกนั้นปานแส้ยาว
ตรงปลายเถาวัลย์ปกคลุมด้วยน้ำมวลหนักปฐมกาลสีขาวเงิน ซึ่งจะระเบิดทันทีที่ฟาดใส่โครงกระดูก
เพียะ!
เพียะๆ~!
เพียะๆๆ~!
เสียงฟาดเถาวัลย์ดังขึ้นมา
เพียงพริบตาเดียว เสิ่นเทียนกวาดล้างโครงกระดูกเร็วขึ้นมาก
ทุกครั้งที่ฟาดแส้ลงไปจะมีโครงกระดูกสามสี่ตัวร่างแหลกลาญ ถึงขนาดไฟแห่งจิตวิญญาณยังถูกเถากลืนกินเซียนดูดกินไป
ไม่นาน เขตนั้นทางตะวันตกของภูเขารกร้างก็ถูกเสิ่นเทียนกวาดเกลี้ยง
และตอนนี้ทุกคนบนภูเขารกร้างมองเสิ่นเทียนด้วยความลุ่มหลง ตาค้างกันไปนานแล้ว
หลี่เหลียนเอ๋อร์เทินกระถางดอกไม้บนศีรษะ ผมชี้เส้นเดียวนั้นตั้งตรง “พี่เสิ่นเทียนสุดยอดจริงๆ อีกทั้งเขายังมีเถาวัลย์ด้วย สวยมาก”
เถาวัลย์น้ำเต้าที่ดูดซับของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานจนเติบโตขึ้นมากในกระถางดอกไม้บิดตัว เหมือนเห็นด้วยกับคำพูดของหลี่เหลียนเอ๋อร์
จ้าวเฮ่ากลืนน้ำลาย “นี่คือศักยภาพแท้จริงของสหายเสิ่นหรือ แข็งแกร่งมาก บ้าอำนาจมาก!”
ฉินอวิ๋นตี๋หรี่ตาลง “การต่อสู้ของศิษย์พี่ยังเต็มไปด้วยสีสันแห่งศิลปะด้วย!”
กุ้ยกงกงมองเสิ่นเทียนด้วยความปลื้มใจ “ในที่สุดองค์ชายก็เติบใหญ่แล้ว หากพระสนมหลานเห็นองค์ชายแข็งแกร่งเช่นนี้จะต้องยิ้มร่าไปทั่วแดนปรโลกอย่างแน่นอน!”
…….
ทางด้านพวกเถ้าแก่ซ่งและหลิวไท่อี่ได้หยิบผลึก ‘ถ่ายรูป’ ออกมานานแล้ว และเริ่มบันทึกภาพเคลื่อนไหวให้เสิ่นเทียน
ตลกน่า ฉากการต่อสู้ของท่านปรมาจารย์สวรรค์ที่องอาจห้าวหาญและสุดยอดเป็นหนึ่งเช่นนี้ จะต้องบันทึกเอาไว้อยู่แล้ว!
ภายภาคหน้าจะได้ดูด้วยความศรัทธาเพื่อเรียนรู้ จะต้องมีส่วนช่วยในการบำเพ็ญเซียนอย่างยิ่ง!
และยังเป็นสวัสดิการของพวกลูกศิษย์ที่เข้ากลุ่มสวรรค์พิทักษ์ด้วย
โดยเฉพาะศิษย์พี่หญิงศิษย์น้องหญิงพวกนั้น หากได้เห็นท่วงท่าเป็นหนึ่งในการต่อสู้ครั้งนี้ของศิษย์พี่ ก็ไม่รู้ว่าทุกคนจะตื่นเต้นกันขนาดไหน
เกรงว่าคงต้องตายคาที่กันเดี๋ยวนั้นเลย!
……………………………………………………….……