บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 219 ใช้ความโอหังรับมือกับความโอหัง
บทที่ 219 ใช้ความโอหังรับมือกับความโอหัง!
บึ้ม~!
มารโลหิตตัวสุดท้ายถูกเถากลืนกินเซียนทะลวง
เมื่อไข่มุกแก่นโลหิตถูกนำออกมา กายหยาบมารโลหิตก็ระเบิดกลายเป็นฝนโลหิตเต็มฟ้า
ขนนกเพลิงรอบตัวเสิ่นเทียนค่อยๆ หายไป สายฟ้าก็หุบเข้ามาหายไปเช่นกัน ก่อนตัวเขาจะลงสู่พื้นช้าๆ
เพียงชั่วครู่สั้นๆ มารโลหิตสี่ตัวในหุบเขาตายตกด้วยเถาวัลย์ของเสิ่นเทียน หุบเขามารโลหิตกว้างใหญ่เงียบสงัด ทุกคนเหม่อมองเสิ่นเทียน
ชุดคลุมขาวของเขาไม่เคยเปื้อนโลหิตสักนิด แหวนเวหาขยับแสงวาววับ หยิบขวดหยกสีขาวออกมา
“นี่คือของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพาน มาจากเถากลืนกินเซียนระดับฝ่าด่านเคราะห์บรรลุนิพพาน สามารถรักษาอาการบาดเจ็บแห่งมหามรรค ฟื้นฟูต้นกำเนิดพลังชีวิตได้”
เสิ่นเทียนโยนขวดหยกสีขาวให้จินอวี่ ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “ในนี้มีสิบชั่ง พอจะรักษาบาดแผลเจ้า”
จินอวี่รับของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานมาก็มีสีหน้าซับซ้อนมาก เหตุใดเจ้านี่ถึงใจดีเช่นนี้
เมื่อเห็นใบหน้าจินอวี่เต็มไปด้วยความสงสัย เสิ่นเทียนก็เอ่ยอย่างจำใจ “ถ้าเจ้าตาย ข้าจะไปทวงหนี้กับใคร”
จินอวี่พูดไม่ออก
เสิ่นเทียนเอ่ยต่อ “แล้วก็ ดาบนักรบทองคำนั่นเจ้าทำมันพังแล้ว เกราะนักรบทองคำก็เสียหาย เจ้าต้องชดใช้เจ้าพวกนี้ด้วย”
จินอวี่งุนงง
จากนั้นเสิ่นเทียนโยนแหวนวงหนึ่งให้จินอวี่ “นี่แหวนของเจ้า ไม่ต้องแปลงเป็นสองล้านศิลาวิญญาณแล้ว เจ้าชดใช้ให้ข้าห้าสิบสองล้านเต็มๆ แล้วกัน!”
เมื่อเอ่ยจบ เสิ่นเทียนก็พูดต่ออีก “ไม่ต้องรีบใช้คืน รวมได้ครบเมื่อไรค่อยคืนก็ได้ แต่ต้องจ่ายดอกเบี้ยด้วย”
จินอวี่เหม่อมองเสิ่นเทียนที่หมุนตัวจากไป เจ้านกนิ่งอึ้งไป นี่มันอะไรกัน
คืนดาบนักรบทองคำกับเกราะนักรบให้ข้า รวมกับแหวนแปลงเป็นเงินได้สองล้านศิลาวิญญาณหรือ
ลำพังแค่ดาบนักรบทองคำนี้ หลังจากร้าวแล้วมันก็ไม่ได้มีราคาแค่นี้อยู่ดี!
มิหนำซ้ำยังมีเกราะนักรบทองคำ นั่นคืออาวุธวิญญาณระดับสูงสุด สองล้านศิลาวิญญาณซื้อได้กับผีสิ!
รอเดี๋ยว จินอวี่มองร่างเงาเสิ่นเทียนที่ยืดยาวขึ้นไป เหมือนเข้าใจอะไรบางอย่าง
‘เจ้านี่กำลังให้ทางลงกับข้าหรือ นี่คือจะปรองดองกันหรือ’
จินอวี่มองของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานในมือด้วยรอยยิ้มลำพองใจ ‘ถือว่าเจ้ารู้จักเอาตัวรอด!’
ช่างเถอะ เห็นแก่ที่เจ้ายังรู้เรื่องรู้ราว ข้าจะไว้หน้าเจ้า ไม่เหยียบย่ำเจ้าในภายภาคหน้าแล้วกัน
จินอวี่เปิดฝาขวดหยกขาวก่อนกระดกของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานลงไปอึกใหญ่ๆ ฟื้นพลังปราณเดิมกลับมา
เมื่อจินอวี่กินของเหลวสีขาวเงินเข้าไป พลังต้นกำเนิดชีวิตมหาศาลก็หลอมละลายและหลั่งทะลักไปทั่วร่างเขา
กลิ่นอายพลังเขาฟื้นกลับมาสมบูรณ์อย่างรวดเร็ว
จิตมุ่งมั่นในการต่อสู้จุดประกายแสงสว่างขึ้นอีกครั้ง จิตใจเร่าร้อนฮึกเหิมขึ้นมา ก่อนมองเสิ่นเทียนพลางแค่นยิ้ม “เสิ่นเทียน เจ้าอาจจะดูถูกกันไปหน่อยแล้ว กับอีแค่ห้าสิบสองล้านศิลาวิญญาณ ข้าจินอวี่ไม่ถึงกับเบี้ยวหนี้ชักช้าไม่จ่ายหรอก! ภายในสามเดือน ข้าจะรวมศิลาวิญญาณให้ครบแล้วส่งไปให้เจ้าที่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์!
การต่อสู้ในสนามรบครั้งนี้ยังไม่ถึงอกถึงใจ ภายภาคหน้าหากมีโอกาส เมื่อไรที่เจ้ารวมแก่นพลังทองแล้วเราค่อยมาสู้กันอีก!”
เสิ่นเทียนหยุดชะงักแล้วหันหน้ากลับมาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี รอข้ารวมแก่นพลังทองแล้วไปหาเผ่าเทพนกยูงเมื่อไร จะแวะไปหาเจ้าด้วย”
เหงื่อเย็นๆ หยดหนึ่งไหลลงมาจากหน้าผากจินอวี่ “แค่กๆ เช่นนั้น…เช่นนั้นเรามาตกลงกันก่อน ถึงตอนนั้นถ้าเจ้าแพ้ ข้าจะไว้ชีวิตเจ้า!”
“ตกลง ถ้าเจ้าแพ้ ข้าก็จะไว้ชีวิตเจ้าเช่นกัน!”
เสิ่นเทียนยกมุมปากเล็กน้อย เขามีไอคิวสูงมาก จะมองไม่ออกหรือว่าเจ้าจินอวี่คิดอะไรอยู่
พญาอินทรีผู้โอหังตัวนี้ก็แค่เป็ดตายปากแข็งไม่ใช่รึ!
ยังมารอข้ารวมแก่นพลังทองสำเร็จแล้วค่อยท้าสู้กับข้า กลัวก็แต่จะ ‘ติดต่อไม่ได้’ เลยนี่สิ!
แต่อย่างไรก็ได้ทั้งนั้น!
ความโอหังเช่นนี้ตบตาง่ายที่สุด ตั้งแต่หัวจรดเท้าแม้แต่ไส้ยังเป็นเส้นตรง ไม่มีแผนการร้ายอะไรทั้งนั้น
วิธีรับมือกับปีศาจโอหังที่ดีที่สุดคือโอหังยิ่งกว่าเขา!
ในเมื่อตอนนี้มีโอกาสเปลี่ยนเจ้านี่เป็นผักกุยช่ายไว้เก็บเกี่ยวประจำ เสิ่นเทียนก็ไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ!
ถึงอย่างไรการฆ่านกเอาไข่ก็หรือป้อนหญ้ารีดนม ก็เป็นทางเลือกที่เสิ่นเทียนไม่ทำอยู่แล้ว
แหวนเวหาขยับแสงอีกครั้ง ปรากฏโลงศพขึ้นบนพื้น
“นี่คือกระดูกของบรรพบุรุษเผ่าพญาอินทรีปีกทองพวกเจ้า ได้ยินท่านหญิงเซียนข่งเมิ่งบอกว่าตายเพราะต้านมารร้ายต่างแดนในสงครามครั้งนั้น เขาคือวีรชนที่แท้จริง ไม่ควรให้ศพมาอยู่บนสนามรบ จินอวี่ เจ้าเอาเขากลับไปฝังในเผ่าพญาอินทรีปีกทองเถอะ!”
จินอวี่มองร่างในโลงศพพลางรู้สึกถึงกลิ่นอายพลังต้นกำเนิดเดียวกับตนแล้ว เขาก็เงียบไป
ผ่านไปนานเขาถึงมองแผ่นหลังเสิ่นเทียนพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “ข้าติดค้างน้ำใจเจ้าแล้ว!”
เสิ่นเทียนไม่ได้หยุดเดิน เพียงแค่มุมปากยกยิ้มไม่ใส่ใจนิดๆ
จากนี้ก็จะมีคน…เอ่อ นก ให้เกาะเพิ่มมาอีกตัว!
มีความสุข~
…….
เมื่อจัดการปัญหาของจินอวี่เสร็จ ต่อไปคือหกคนจากลัทธิวิญญาณร้าย
เขามองเฮยหยวน เฮยจิน เฮยมู่ เฮยสุ่ย เฮยหั่ว และเฮยถู่ที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยในชีวิต
เสิ่นเทียนทำหน้าเฝ้ารอคอย ก่อนจะถอดสมบัติลับชุดคลุมดำและหน้ากากพิเศษออกมาจากหกคน อุปกรณ์พวกนี้มีประสิทธิภาพด้านการอำพรางพลัง เป็นของหายากยิ่งในสมบัติวิเศษระดับเดียวกัน มีมูลค่าไม่ใช่น้อยๆ เลย
มิหนำซ้ำ แหวนเก็บของตรงมือของหกคนยังใส่ทรัพย์สินของพวกเขาเต็มไปหมด!
ดั่งคำกล่าวว่า ‘ค้นหนึ่งเมือง สู้ฆ่าล้างบางคนกลุ่มหนึ่งไม่ได้’ คำพูดนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย
เขานำสมบัติวิเศษทั้งหมดใส่เข้าไปในแหวนเวหา จากนั้นสวมแหวนเก็บของหกวงที่มือตามอำเภอใจ เดี๋ยวกลับไปค่อยไปจัดการ
เสิ่นเทียนมองเฮยหยวนนิ่งๆ “พวกเจ้าคือคนจากลัทธิวิญญาณร้ายล่ะสิ! ครั้งนี้แอบมาสนามรบบรรพกาล มีแผนการร้ายอะไร”
เฮยหยวนยิ้มเยาะ “เจ้าคิดว่าข้าเป็นพวกกลัวตายรึ เหอะ ถ้าฆ่าข้า พวกเจ้าก็ต้องลงหลุมไปด้วยกัน!”
เสิ่นเทียนมองตรงหน้าผากเขา “เป็นเชลยแล้วยังปากเก่งอีก มันไม่มีประโยชน์อะไรหรอก พวกศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกฝ่ายที่นี่ มีใครยินดียกเลิกการฝึกและส่งหกคนนี้กลับไปสอบสวนก่อนบ้าง”
สมาชิกลัทธิวิญญาณร้ายเป็นๆ มีค่ากว่าตายแล้วมาก
เพราะถึงในลัทธิวิญญาณร้ายจะมีสาวกที่บ้าคลั่งมาก แต่ก็มีคนที่กลัวตายมากกว่า
สาวกลัทธิชั่วร้ายที่ถูกจับเป็นไปมีโอกาสสูงที่จะเป็นกุญแจสำคัญช่วยให้แดนศักดิ์สิทธิ์คลำหาสาวกลัทธิเจอมากขึ้นอย่างราบรื่น
ดังนั้นตอนที่เสิ่นเทียนจับหกคนนี้ได้ทำลายตันเถียนพวกเขาแล้ว ก็เพื่อกันไม่ให้หกคนนี้ระเบิดตัวเอง
ตอนนี้ต้องอาศัยโอกาสช่วงที่ข่าวหกคนนี้โดนจับยังไม่แพร่งพรายออกไปให้แดนศักดิ์สิทธิ์สอบสวนลัทธิชั่วร้าย
หากรอจนการฝึกฝนจบลงแล้วค่อยพาหกคนนี้ไปสอบสวนแล้วเหวี่ยงแหจับ ถึงตอนนั้นเกรงว่าลัทธิชั่วร้ายที่หกคนนี้รู้จักคงถอยหนีไปนานแล้ว
ศิษย์ทุกคนในหุบเขามองหน้ากัน ต่างมีสีหน้าลังเล
ถึงอย่างไรสำหรับศิษย์ธรรมดาแล้ว การฝึกซ้อมบนสนามรบบรรพกาลก็เป็นโอกาสที่หายาก แค่เจอสมุนไพรโบราณล้ำค่าต้นเดียวที่นี่ก็มากพอจะให้พวกเขาต่อสู้ดิ้นรนไปได้หลายปีกระทั่งหลายสิบปี
ถึงอย่างไรต่อให้เป็นศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ไม่ได้ร่ำรวยเหมือนฉินอวิ๋นตี๋กับเสิ่นเทียนกันทุกคน ศิษย์ส่วนใหญ่มีทรัพยากรฝึกฝนขัดสน ยิ่งมีพรสวรรค์ก็ยิ่งยากจน!
เพราะพวกเขามีความต้องการต่อตัวเองสูงกว่า ทรัพยากรย่อมต้องมีระดับสูงกว่า!
หากครั้งนี้ออกจากสนามรบบรรพกาลกลางคัน ครั้งหน้าก็ยากจะมีโอกาสเช่นนี้อีก!
หลังจากครุ่นคิดได้ครู่หนึ่งก็มีเสียงดังมาจากกลุ่มคน “ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ ข้ายินดีส่งพวกเขากลับเมือง”
เสิ่นเทียนมองไปตามเสียง พบว่าเป็นจางซานศิษย์ฝ่ายในของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์
จางซานมีสีหน้าแน่วแน่ “สาวกวิญญาณร้ายพวกนี้กล้าบุกสนามรบบรรพกาลเข้ามาทำลายการฝึกร่วมระหว่างแดนศักดิ์สิทธิ์ กล้าดีนัก หากครั้งนี้ไม่ได้ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์พลิกสถานการณ์กลับมาชนะ เกรงว่าสนามรบที่นี่คงกลายเป็นโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ ไม่อยากจะนึกถึงผลที่ตามมาเลย
ตอนนี้ถึงหกคนนี้จะถูกจับแล้ว แต่ก็ไม่รู้ว่าจะมีสาวกวิญญาณร้ายคนอื่นๆ ซุ่มอยู่ในเงามืดหรือไม่ แม้ข้าจางซานจะมีพลังบำเพ็ญตื้นเขิน แต่ก็ท่องคติพจน์ของศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์ทุกคืนวัน ‘แดนศักดิ์สิทธิ์คือบ้านข้า จะยิ่งใหญ่ขึ้นได้ต้องพึ่งพาทุกคน!’
เพื่อความปลอดภัยของเหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องคนอื่นๆ ในสนามรบ จางซานยินดีทิ้งโอกาสในสนามรบ สิ้นสุดการฝึกฝนก่อน หวังว่าศิษย์พี่จะอนุญาต!”
เมื่อเห็นจางซานพูดจาถูกต้องชอบธรรมแล้ว เสิ่นเทียนเหมือนเห็นร่างเงาของคนอื่นๆ จากตัวเจ้านี่
อืม แค่ความรู้สึก…เร่าร้อนน้อยไปหน่อย
แต่อย่างไรก็ได้ทั้งนั้น!
ถึงอย่างไรก็มีคนยินดีส่งหกคนนี้กลับไปก็พอ ไม่อย่างนั้นเป็นเรื่องวุ่นวายมากแน่
เสิ่นเทียนขบคิดแล้วก็หยิบว่านโลหิตมังกรสองสามต้นออกมาจากแหวนเวหา “ศิษย์น้องจางมีคุณธรรมยิ่งใหญ่ ศิษย์พี่เองก็จะขี้เหนียวไม่ได้เหมือนกัน
นี่คือว่านโลหิตมังกรที่จะเติบโตในดินแดนที่เผ่ามังกรโลหิตบริสุทธิ์สิ้นชีพเท่านั้น มีสรรพคุณชะล้างกระดูกปรับแก้คุณสมบัติ นี่จะให้ไว้กับศิษย์น้องจาง เป็นของชดเชยให้ศิษย์น้องแล้วกัน! ไม่รู้ว่าศิษย์น้องคิดเห็นอย่างไร”
ว่านโลหิตมังกรที่แผ่ไอร้อนระอุในมือเสิ่นเทียนทำให้ศิษย์คนอื่นๆ ในหุบเขามารโลหิตตาแดง
นั่นคือว่านโลหิตมังกร!
หนึ่งในสมุมไพรวิญญาณที่ล้ำค่าที่สุดและเป็นที่ยอมรับในสนามรบบรรพกาล
เล่าลือว่าหากหลอมรวมสมุนไพรวิญญาณชนิดนี้ ถึงขั้นรวมพลังแห่งมังกรเทพเสี้ยวหนึ่งได้ อีกทั้งว่านโลหิตมังกรหลายต้นที่เสิ่นเทียนให้ยังมีอายุไม่น้อย เป็นระดับสูงในว่านโลหิตมังกรเลย
“ว่านโลหิตมังกร สวรรค์! ว่านโลหิตมังกรจริงๆ!”
“นี่คือบุตรศักดิ์สิทธิ์ของคนอื่นเขาหรือ ศิษย์พี่ใหญ่ให้พวกเรารับใช้เหมือนกัน เหตุใดถึงไม่ให้อะไรเลยล่ะ”
“ใช่ๆ! ไม่ใช่แค่ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกเจ้านะ ศิษย์พี่ใหญ่ของฝ่ายข้าก็เช่นกัน ไม่ใช่แค่ไม่ดูแลศิษย์น้อง แต่ยังชอบรังแกศิษย์น้องอีก ฮือๆ~โห่~!”
“แค่ส่งสาวกวิญญาณร้ายหกคนที่พิการแล้วนี่กลับไปก็ได้รางวัลเช่นนี้แล้ว บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยิ่งใหญ่จริงๆ!”
“อิจฉาศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จังเลย ได้ยินว่าในการฝึกครั้งนี้ พวกเขาทุกคนได้แบ่งของเหลวศักดิ์สิทธิ์นิพพานจากบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ด้วย ก็เพื่อความปลอดภัยของพวกเขา”
“แค่นั้นรึ ไม่เห็นหรือว่าครั้งนี้ศิษย์เทพสวรรค์โดนมารโลหิตของลัทธิวิญญาณจับไป บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยังเสี่ยงอันตรายมาช่วยเองเลย”
“ใช้พลังบำเพ็ญจุดสูงสุดระดับสร้างฐานสังหารมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณห้าตัว อีกทั้งยังเอาใจใส่ศิษย์น้องเช่นนี้ นี่มันศิษย์พี่เทพเซียนอะไรกัน”
“ถ้ารู้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สมบูรณ์แบบเช่นนี้ตั้งแต่แรก ตอนนั้นเหตุใดข้าถึงไม่เข้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กัน! เฮ้อ น่าเสียดายชะมัดเลย!”
“แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ รักเลยๆ กลับไปจะให้น้องสาวข้าหมั่นฝึกบำเพ็ญ ภายภาคหน้าจะได้สอบแข่งเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์!”
…….
จางซานบีบป้ายหยกเคลื่อนย้ายแตก พาลัทธิวิญญาณร้ายหกคนที่ถูกมัดไว้ถูกแสงสว่างปกคลุมหายไปในหุบเขามารโลหิต
พอได้ฟังทุกคนพูดคุยกัน เสิ่นเทียนก็ส่ายหน้ายิ้มๆ “ทุกคน เงียบหน่อย”
เสิ่นเทียนเพิ่งพูดจบ หุบเขามารโลหิตเงียบลงทันที ทุกคนมองเสิ่นเทียนด้วยแววตาลุกวาว สีหน้าและท่าทางนั้นเหมือนกับแฟนบอยแฟนเกิร์ลอย่างกับแกะ!
เสิ่นเทียนพูด “ทุกท่าน เมื่อครู่นี้ศิษย์น้องจางพูดมีเหตุผล ถึงสาวกวิญญาณร้ายหกคนนั้นจะถูกจับแล้ว แต่ไม่มีใครรู้ว่าในสนามรบจะยังมีสาวกวิญญาณร้ายคนอื่นๆ อีกหรือไม่ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย แซ่เสิ่นขอเสนอให้ทุกท่านใช้ป้ายคำสั่งเตือนศิษย์น้องของฝ่ายท่านหน่อยว่าให้ระวังตัวในการฝึกฝน หากไม่มั่นใจว่าจะปกป้องตัวเองได้ก็ให้ยุติการฝึกจะดีที่สุด!”
ถึงศิษย์ฝ่ายเซียนส่วนมากจะมีภาพโชคลิขิตลอยอยู่เหนือศีรษะ แต่เสิ่นเทียนก็รู้ว่าตนไม่มีทางเก็บเกี่ยวได้หมด อีกทั้งเขาก็ไม่ใช่คนเลือดเย็นที่เอาชีวิตคนอื่นมาล้อเล่น เขาไม่รู้จริงๆ ว่าในสนามรบแห่งนี้ยังมีสาวกวิญญาณร้ายอยู่อีกหรือไม่
ดังนั้นจึงทำตามเจตนาเดิม คือเตือนคนอื่นๆ ในสนามรบ หากไม่มั่นใจให้ออกไปก่อน
เพราะต่อให้เสิ่นเทียนจะมีอิทธิฤทธิ์ยิ่งใหญ่กว่านี้ก็ไม่มีทางปกป้องทุกคนในสนามรบได้ นี่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ส่วนใครจะฟังหรือไม่ฟังคำแนะนำจากใจจริงนี้ ก็ไม่เกี่ยวกับเขาแล้ว
คนที่รนหาที่ตาย ไม่มีใครช่วยได้
……
คำพูดของเสิ่นเทียนทำให้ทุกคนในหุบเขาครุ่นคิดอย่างหนัก ความดีใจที่รอดมาได้ถูกตีแตกไปไม่น้อย
ใช่!
ถึงสาวกวิญญาณร้ายหกคนจะถูกจับ แต่ใครจะรู้บ้างว่ายังมีสาวกวิญญาณร้ายคนอื่นๆ ซ่อนอยู่ในเงามืดหรือไม่ ครั้งนี้สาวกวิญญาณร้ายประเมินศักยภาพของเสิ่นเทียนพลาด อยากจะล่อเสิ่นเทียนมาถึงได้จงใจปล่อยให้ใช้พลังจิตสื่อสาร
แต่ครั้งหน้าล่ะ!
ถ้าสาวกวิญญาณร้ายไม่ลงมือกับศิษย์เทพสวรรค์ หรือปิดผนึกพลังจิตสื่อสารทั้งหมดตอนลงมือแล้วสังหารทุกคนล่ะ
ถึงตอนนั้นจะไม่ตายเปล่าหรือ
ถึงศิษย์พวกนี้จะบ้าคลั่งกว่านี้ก็ไม่คิดว่าตนจะใช้พลังบำเพ็ญระดับสร้างฐานรับมือกับมารโลหิตระดับดวงจิตดรุณได้
เวลานี้ ศิษย์หลายคนในหุบเขามารโลหิตแอบสำนึกเสียใจนิดๆ รู้อยากนี้แต่แรกตอนที่เสิ่นเทียนถามว่ามีใครยินดีส่งสาวกวิญญาณร้ายไปบ้าง พวกเขาก็น่าจะพูดไป
ถ้าไปตอนนั้น ไม่ใช่แค่ออกจากที่บ้านี่ แต่ยังได้ของขวัญจากเสิ่นเทียน จะไม่กำไรเลือดสาดได้อย่างไร!
เวรกรรม!
เจ้าคนนามจางซานนั่นมีไหวพริบดีจริงๆ!
เวลานี้ ภายในใจศิษย์พวกนั้นในหุบเขามารโลหิตเต็มไปด้วยความเสียดายและเสียใจภายหลัง
บุตรศักดิ์สิทธิ์ให้โอกาสอันล้ำค่า แต่กลับพลาดมันไป!
……
ไม่ว่าทุกคนจะคิดอย่างไร ตอนนี้เสิ่นเทียนไม่สนใจแล้ว
พูดในสิ่งที่เขาควรจะพูดแล้ว ได้ให้ความเมตตาสูงสุดกับจอมยุทธ์แสงสีเขียวพวกนี้แล้ว
เสิ่นเทียนขี่กระบี่วารีครามออกจากหุบเขามารโลหิต มุ่งหน้าไปยังหุบเขามังกรศักดิ์สิทธิ์ ข่งเมิ่งกับจินอวี่ตามอยู่ข้างกายเขา
สองคนมองเสิ่นเทียนด้วยสีหน้าซับซ้อนมาก โดยเฉพาะจินอวี่
จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่เข้าใจว่าตนมีความสัมพันธ์กับเสิ่นเทียนเป็นสหาย ศัตรูหรือคู่ต่อสู้กันแน่
แต่เขาไม่ได้รังเกียจเจ้ามนุษย์นี่แล้ว!
ข่งเมิ่งมองเสิ่นเทียน “สหายเสิ่น เจ้าจะไม่ออกจากสนามรบรึ”
เสิ่นเทียนส่ายหน้า เขามองส่วนลึกสนามรบพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “ยังไม่ถึงเวลาออกไป ข้ารู้สึกว่าตรงส่วนลึกสนามรบนี่มีเสียงหนึ่งกำลังเรียกข้า เหมือนจะมีโชคลิขิตอะไรบางอย่างกำลังร้องเรียก พูดไปเจ้าอาจจะไม่เชื่อ ลางสังหรณ์ของแซ่เสิ่นแม่นยำมาก แทบจะไม่เคยพลาดเลย”
พอเห็นข่งเมิ่งกับจินอวี่ทำหน้าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง เสิ่นเทียนก็หัวเราะเบาๆ
“ว่าอย่างไร ทั้งสองคนสนใจจะเข้าไปเสี่ยงอันตรายกับแซ่เสิ่นหรือไม่”
เสิ่นเทียน กำลังเชิญข่งเมิ่งกับจินอวี่ไปฝึกฝนร่วมกัน!
กระทั่งบอก ‘ความลับยิ่งใหญ่ขนาดนั้น’ กับสองคน!
เมื่อสัมผัสได้ถึงความจริงใจในคำพูดเสิ่นเทียนแล้ว ข่งเมิ่งกับจินอวี่อดเหม่อลอยมิได้
เผ่ามนุษย์กับเผ่าปีศาจขัดแย้งกันมานานแล้ว มีเพียงหายนะครั้งนั้นเมื่อหมื่นปีก่อนที่พอจะคืนดีกันได้
ในสายตาบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คนนี้ มนุษย์กับปีศาจไม่มีความต่างกันเลยจริงๆ จะกลายเป็นสหายที่เชื่อใจกันและกันได้จริงๆ หรือ
…………………………………………….