บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 224 อาจารย์แสดงวิชายิ่งใหญ่ ศิษย์ยอมแพ้ด้วยใจจริง
- Home
- บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน
- บทที่ 224 อาจารย์แสดงวิชายิ่งใหญ่ ศิษย์ยอมแพ้ด้วยใจจริง
บทที่ 224 อาจารย์แสดงวิชายิ่งใหญ่ ศิษย์ยอมแพ้ด้วยใจจริง
เมื่อเห็นเสิ่นเทียนมีสีหน้าแปลกๆ เยี่ยฉิงชางก็มีสีหน้าจริงจังขึ้นมาเช่นกัน
เขาทำเสียงหึเย็นชา “มีอะไร หรือคิดว่าข้าหมายปองศิลาวิญญาณของเจ้า ถึงให้หอคอยเทพสงครามรับเจ้าเป็นนายกัน”
เยี่ยฉิงชางพูดด้วยความอยากให้เขาได้ดี “ต้องรู้นะว่าหอคอยเทพสงครามเป็นสมบัติสุดยอดที่แม้แต่ในแดนเซียนยังมีคนมากมายเฝ้าใฝ่หา เจ้าจินตนาการมูลค่าของมันไม่ได้เลย”
เสิ่นเทียนมองเยี่ยฉิงชาง มักจะรู้สึกว่าตาแก่นี่มีความรู้สึกโกรธและอับอาย
ถึงอย่างไรก็อยู่ถิ่นคนอื่น อย่าไปล่วงเกินตาแก่นี่จะดีกว่า ถ้าไม่เช่นนั้นอาจจะโดนตาแก่นี่ปล้นเอาก็ได้!
เสิ่นเทียนขบคิดก่อนจะถามเชิงให้ความร่วมมือ “ผู้อาวุโสบอกว่าหอคอยนี้เป็นสมบัติสุดยอด ไม่ทราบว่ามีประโยชน์อะไรบ้าง”
เยี่ยฉิงชางตอบอย่างภูมิใจ “หอคอยนี้หลอมขึ้นโดยประมุขรุ่นแรกแห่งพระราชวังเทพสงคราม ใช้ไอม่วงเบิกฟ้าหลอมขึ้น สามารถกำราบและหลอมรวมพลังประหลาดทุกสิ่งอย่างในฟ้าดินได้
แม้ตอนนี้หอคอยเทพสงครามจะแตกร้าวลงแล้ว แต่พลังวิญญาณที่ดูดซับมาหมื่นปีนี้ทำให้มันฟื้นพลังมาบางส่วน ตอนนี้หอคอยเทพสงครามยังโจมตีได้อีกสามครั้ง แม้แต่เซียนแท้จริงยังสังหารได้!”
ซี้ด~!
ขนาดเซียนแท้จริงยังสังหารได้หรือ
เสิ่นเทียนอดตกใจมิได้
พึงรู้ไว้ว่าเซียนแท้จริงหมายความว่าอะไร นั่นแกร่งกว่าผู้อริยะ!
มีเพียงฝ่าด่านเคราะห์อัสนีสิบสองครั้งสำเร็จเท่านั้นถึงจะเปลี่ยนกายหยาบเป็นกายแห่งเซียนได้
มีเพียงผู้มหายานวิถีเซียนที่ไม่มีกลิ่นอายพลังของคนธรรมดามานะสร้างอีกเท่านั้นถึงมีสิทธิ์ถูกเรียกว่าเซียนแท้จริง
และหลังจากเปลี่ยนกายหยาบเป็นกายเซียนแล้วจะถูกโลกบำเพ็ญเซียนต่อต้าน อยู่ได้อย่างมากสุดเพียงสามพันปี ในสามพันปีนี้จะต้องบินขึ้นโลกเซียน ถ้าไม่อย่างนั้นจะถูกกฎแห่งสวรรค์ที่นี่สังหาร
แม้แต่ทั้งห้าดินแดนตอนนี้ยังมีเซียนแท้จริงอยู่หรือไม่ยังบอกไม่ได้ หรือก็คือหอคอยนี่คือไพ่ตายสุดยอด!
เสิ่นเทียนยอมรับว่าตอนสนใจ มีใครบ้างไม่อยากมีของเอาตัวรอดเยอะๆ
เยี่ยฉิงชางเหมือนพอใจกับท่าทีของเสิ่นเทียนมาก จึงเอ่ยต่อ “แค่นี้ก็สนใจแล้วรึ ไม่ได้เรื่อง! กับอีแค่เซียนแท้จริงเล็กจ้อยมันจะเท่าไรกัน ช่วงที่หอคอยเทพสงครามอยู่จุดสูงสุด แค่ดีดนิ้วก็สังหารคนระดับนี้ได้เป็นเบือ
ประโยชน์ของหอคอยเทพสงครามที่ดีที่สุดสำหรับข้าคือมันสามารถประทับตรากำลังรบของผู้เข้ามาฝึกฝนในหอคอยได้ทุกคน ใช้มันปกป้องในหอคอยได้
ในหอคอยเทพสงครามนี้ เจ้าสามารถประลองกับสุดยอดโอรสสวรรค์ตั้งแต่ยุคโบราณได้ ทำความคุ้นเคยกับกระบวนท่าสังหารของเผ่าต่างๆ
รบร้อยครั้งไม่สิ้นถึงจะเป็นแม่ทัพ! รบพันครั้งไม่สิ้นถึงจะเรียกว่าราชา!
โอรสสวรรค์ที่แท้จริงของโลกเซียนมองพลังบำเพ็ญสูงต่ำเป็นเรื่องรอง การสร้างรากฐานแห่งจักรพรรดิไร้พ่ายในระดับเดียวกันต่างหากคือสิ่งสำคัญ
และการต่อสู้กับโอรสสวรรค์คนอื่นๆ หลายต่อหลายครั้งก็เป็นการสร้างรากฐานแห่งจักรพรรดิได้เร็วที่สุดและตรงไปตรงมาที่สุด!”
เหมือนยิ่งพูดยิ่งฮึกเหิม เยี่ยฉิงชางถึงกับสะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง
กระจกปราการลับลอยขึ้นมาตรงหน้าสองคนอีกครั้ง ในนั้นสะท้อนเป็นภาพการต่อสู้ของพวกข่งเมิ่งทุกคน
“เจ้าดูเอา ต่อสู้เก้าวันเก้าคืนไม่หยุด พวกสหายของเจ้าพัฒนากันชัดเจนมาก นี่เป็นสิ่งที่ทำซ้ำไม่ได้นอกหอคอยเทพสงคราม”
ถึงอย่างไร พวกนั้นก็เป็นโอรสสวรรค์ของเผ่าพันธุ์และขุมอำนาจอื่น จะไปยอมฝึกฝีมือกับเจ้าหลายต่อหลายรอบได้อย่างไร
เมื่อเห็นข่งเมิ่งที่สำแดงแสงเทพห้าสีเอาชนะโอรสสวรรค์สี่ดาวคนหนึ่งได้อย่างง่ายดายแล้ว เสิ่นเทียนยังแอบตกใจ
เขาเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสบอกว่าเป็นการต่อสู้เดิมพัน แต่หากเจอธิดาสวรรค์อย่างข่งเมิ่งที่เอาชนะไปตลอดเช่นนี้ จะไม่ขาดทุนหรือ”
เยี่ยฉิงชางตอบนิ่งๆ “จะขาดทุนได้อย่างไร ตอนที่ผู้ฝึกฝนทุกคนเผชิญหน้ากับโอรสสวรรค์ระดับดาวเดียวกัน ก็มีโอกาสได้รางวัลเพียงสองครั้ง หรือก็คือไม่ว่าข่งเมิ่งจะเอาชนะโอรสสวรรค์สี่ดาวกี่ครั้ง ก็เลือกมรดกสี่ดาวได้มากสุดสองอย่างออกไป
อีกทั้งมรดกยังลงผนึกไว้ ตัวเองฝึกได้เท่านั้น เผยแพร่ไม่ได้ หากอยากจะได้มรดกระดับสูงกว่า นั่นก็มีแต่ต้องท้าสู้กับโอรสสวรรค์ที่แกร่งขึ้น สรุปพวกเขาอาจจะกำไรเลือดสาด แต่ข้าไม่มีวันขาดทุน”
เสิ่นเทียนครุ่นคิด “เช่นนั้นตอนนี้ข่งเมิ่งกำลังกวาดล้างโอรสสวรรค์สี่ดาวเพื่ออะไรกัน”
เยี่ยฉิงชางเผยอมุมปากเล็กน้อย “เด็กนี่สู้ในหอคอยมาสิบวัน แสงเทพห้าสีพัฒนาขึ้นไม่น้อยเลย เพียงแต่ยังด้อยกว่าโอรสสวรรค์ห้าดาวแห่งโลกเซียนเล็กน้อย เพิ่งสุ่มได้โอรสสวรรค์ห้าดาวมา สู้ได้ครู่เดียวก็พ่ายแพ้
ตอนนี้คงกำลังฝึกฝนแสงเทพห้าสีกับโอรสสวรรค์สี่ดาวพวกนั้น เตรียมจะทำความเข้าใจกับแสงเทพห้าสีที่พัฒนาขึ้นอย่างถ่องแท้ จากนั้นก็ท้าสู้ต่อไปกระมัง!”
นี่มัน…
ฟาร์มของไปสู้บอส เล่นจนเสพติดอย่างนั้นหรือ
เสิ่นเทียนหันไปมองคนอื่นๆ พบว่าก็ไม่ต่างกัน
ก็ใช่ หากโยนเงื่อนไขเติมเงินเดิมพันหลอกบิดานี่ทิ้งไป การฝึกฝนในหอคอยเทพสงครามค่อนข้างน่าดึงดูดเลย
การต่อสู้คือวิธีพัฒนาที่เร็วที่สุด เพียงแต่ในชีวิตประจำวันความเป็นจริงมีอุปสรรคเรื่องชื่อเสียงและฐานะ ยิ่งเป็นอัจฉริยะยิ่งทิ้งไม่ได้
ถึงอย่างไรหากเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ถ้าเจ้าแพ้ให้บุตรศักดิ์สิทธิ์อื่น ก็คงไม่มีหน้าอยู่ต่อจริงๆ
แต่ในหอคอยเทพสงคราม ทุกคนสู้กับศัตรูได้อย่างสบายใจ ทั้งยังพบจุดบกพร่องของตัวเองในการต่อสู้กับศัตรูได้ง่ายที่สุด
ด้วยนิสัยดื้อรั้นของข่งเมิ่ง อยู่ในการฝึกฝนเช่นนี้เหมือนปลาได้น้ำก็เป็นเรื่องปกติมาก
เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของเสิ่นเทียน เยี่ยฉิงชางก็ยิ้ม “เป็นอย่างไร สนใจอยากขึ้นเวทีลองดูหรือไม่”
เสิ่นเทียนเห็นรอยยิ้มเหมือนจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์บนใบหน้าเยี่ยฉิงชางแล้วแบะปาก “ท่านอยากให้ข้าเสพติด จากนั้นทิ้งหอคอยเทพสงครามไม่ลง ได้แต่รับมันไว้ล่ะสิ!”
“แค่กๆ แค่กๆๆ จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร!”
เยี่ยฉิงชางจิบน้ำชาอึกหนึ่ง “อะไรกัน เจ้าไม่รู้จักกระทั่งการควบคุมตัวเองเลยรึ”
เสิ่นเทียนยิ้ม “ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แซ่เสิ่นก็จะลงสนามลองดู! ต้องแลกแต้มเทพสงครามหรือไม่”
เยี่ยฉิงชางส่ายหน้า “มองเป็นคนอื่นไกลไปได้ เจ้าเป็นคนที่ข้ายอมรับ สู้บนเวทีเทพสงครามไม่กี่ครั้ง ยังต้องจ่ายศิลาวิญญาณอะไรอีก”
เมื่อเอ่ยจบ เยี่ยฉิงชางก็ลูบแขนเสื้อเบาๆ
ทันใดนั้นเสิ่นเทียนรู้สึกว่ามีแสงหลากสีตรงหน้า จนเขาลืมตาขึ้นอีกครั้งก็มาโผล่บนเวทีประลองยักษ์แล้ว และตรงหน้าเขาเป็นหญิงงามสวมอาภรณ์สีเขียวมรกต รูปร่างอรชรอ้อนแอ้นยืนอยู่คนหนึ่ง
เหนือศีรษะนางมีดาวลอยอยู่สี่ดวง หมายถึงระดับของนาง
“เผ่าเถาเด็ดดารา ซินชิงอี ขอให้สหายชี้แนะด้วย”
เอ่ยจบ หญิงงามพลันยิงเถาวัลย์สีเขียวออกมาจากแขนเสื้อมือขวา พุ่งใส่เสิ่นเทียนราวกับงูเขียวเลื้อย
เสิ่นเทียนสำแดงท่าร่างหลบหลีก ทว่าหญิงคนนี้ก็สมกับเป็นธิดาสวรรค์สี่ดาว มีศักยภาพค่อนข้างไม่ธรรมดาจริงๆ
เถายาวสีเขียวนั้นจัดการยากยิ่งราวกับเงา ไม่ว่าเสิ่นเทียนจะหลบอย่างไรก็ไม่พ้น
ฟุบ!
เถายาวมุดขึ้นมาจากดินโดยพลัน มัดขาขวาเสิ่นเทียนไว้ จากนั้นเถายาวนั้นเลื้อยไปตามขาขวาเขาอย่างเร็วไว
เป็นซินชิงอีนั่นที่ไม่รู้ว่าส่งเถาวัลย์ยาวที่ทนทานที่สุดมุดลงดินตั้งแต่เมื่อไร ก่อนจะอาศัยจังหวะที่เสิ่นเทียนหลบเถาวัลย์บนพื้นดิน ลอบจู่โจมสำเร็จ
และตอนที่เสิ่นเทียนโดนมัดขาขวาขยับไม่ได้แล้วนั้น เถายาวนั้นก็ตามเขามาในพริบตา มัดเขาเอาไว้
ซินชิงอีเผยรอยยิ้มน่ารัก ก่อนจะยิงเถายาวออกมาจากแขนเสื้อมือซ้ายอีกครั้ง
เถายาวนี้แข็งแรงมาก ขยับแสงหนาวเยือกพุ่งเข้ามาตรงระหว่างคิ้วเสิ่นเทียน
“ประสบการณ์ต่อสู้ค่อนข้างมาก ตรงนี้ข้าเทียบไม่ได้”
เสิ่นเทียนประเมินจากสภาพจริง สารภาพตามตรง ประสบการณ์ต่อสู้ของเขาไม่มากจริงๆ
เดิมทีเจอธิดาสวรรค์ซินชิงอีที่ใช้เถาวัลย์โจมตีเหมือนกัน เขายังคิดจะประลองกับนางอย่างยุติธรรมสักครั้ง ปรากฏว่าซินชิงอีจู่โจมด้วยกลยุทธ์เหนือชั้น เสิ่นเทียนไม่มีโอกาสสวนกลับเลย ถูกนางพันธนาการเอาไว้แล้ว
แน่นอน นี่เป็นเงื่อนไขที่เสิ่นเทียนจะใช้แค่เถากลืนกินเซียน ไม่ใช้กลอุบายอื่น
หากเสิ่นเทียนสู้สุดกำลัง นั่นต่างกันอย่างสิ้นเชิง
“เกราะอัสนีวิหคชาด เปิด!”
เสิ่นเทียนคำรามเสียงเบา ก่อนผิวกายจะลุกเป็นอัคคีอรุณใต้เร่าร้อน เถาวัลย์ที่มัดเขาไว้อย่างแน่นหนาถูกเผาขาดเป็นชิ้นๆ
วิหคอมตะสยายปีก ขนนกเปลวไฟปลิวว่อน ปรากฏกระบี่ยาวสีเขียวครามขึ้นในมือเสิ่นเทียน
ฟุบ~!
ร่างเงาสีแดงเพลิงขยับวูบไหวมาจากความว่างเปล่า
ซินชิงอีหน้าเปลี่ยนสี ตรงหน้านางมีเถาวัลย์หลายสิบเส้นโผล่ขึ้นมาและถักรวมกันเป็นตาข่ายเถาวัลย์
ทว่าภายใต้ไอกระบี่ฟ้าสังหารสีโลหิต ตาข่ายเถาวัลย์พวกนี้รับการโจมตีครั้งเดียวไม่ได้ด้วยซ้ำ ถูกฟันขาดเป็นชิ้นๆ ในพริบตา
ชิ้ง!
กระบี่วารีครามออกจากฝัก ร่างอรชรของซินชิงอีกลายเป็นเงามายาหายไป
เสียงตกใจของเยี่ยฉิงชางดังขึ้นรอบๆ เวทีประลอง “โอ้ว ไม่เลวเลย! ตอนแรกข้ายังอยากจะดูว่าเจ้าจะมัดนางหรือนางมัดเจ้า ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะลงมือโหดเหี้ยมกับสตรี”
เสิ่นเทียนพูดอย่างจำใจ “ธิดาสวรรค์เผ่าเถาวัลย์คนนี้ใช้ประสบการณ์จู่โจมด้วยเถาวัลย์เหนือชั้นกว่าข้า ข้าเกรงว่าคงมัดนางไม่ได้”
เยี่ยฉิงชางพูดชวนให้ลุ่มหลง “ใช่รึ เช่นนั้นเจ้าอยากจะเรียนวิชาควบคุมเถาของเผ่าเถาเด็ดดาราหน่อยหรือไม่ ขอแค่เจ้าเอ่ยปาก ข้าให้เจ้าได้!”
เสิ่นเทียนพูดไม่ออก
เจ้ามั่นใจนะว่าไม่ใช่คนแซ่หม่ากลับชาติมาเกิดจริงๆ น่ะ
พอเห็นเสิ่นเทียนนิ่ง เยี่ยฉิงชางก็ยิ้ม “ดูท่าโอรสสวรรค์สี่ดาวยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเจ้านะ! ช่างเถอะ จะเพิ่มระดับให้เจ้า ให้เจ้าประลองกับโอรสสวรรค์ระดับห้าดาวดู”
เสียงเยี่ยฉิงชางดังขึ้น ก่อนรวมเป็นร่างคนหนึ่งช้าๆ บนเวทีประลอง
หลังจากเสิ่นเทียนเห็นหน้าตาของร่างเงานั้นชัดเจนแล้วก็มีสีหน้าแปลกประหลาดขึ้นมา
พบว่าเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าสิบหกปี สวมชุดเกราะองอาจห้าวหาญและบ้าอำนาจ สิ่งที่ควรค่าเอ่ยถึงคือเสิ่นเทียนคุ้นตาชุดเกราะนี้มาก คล้ายกับเกราะศักดิ์สิทธิ์หุบเหวมังกรที่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จางหลงหยวนให้เขามามาก
และที่ควรเอ่ยอีกยิ่งกว่าคือเสิ่นเทียนคุ้นหน้าเด็กหนุ่มคนนั้นมาก หน้าตาคล้ายๆ กับจางอวิ๋นถิง บางทีอาจจะพูดได้ว่า…คล้ายกับบิดาเขามากกว่า
เหนือศีรษะเด็กหนุ่มคนนี้มีดาวสว่างพร่างพราวลอยอยู่ห้าดวง แสงสว่างส่องประกายระยิบระยับลงมา
เด็กหนุ่มถือกระบี่ยาวสีม่วงในมือขวา มือซ้ายถือคัมภีร์เซียนสีทองเล่มหนึ่ง
“อ่านหนังสือดี อ่านหนังสือเยอะ อ่านหนังสือดี อ่านหนังสือทำให้ฉลาด”
เด็กหนุ่มมองเสิ่นเทียน “สหาย ต้องหมั่นอ่านหนังสือ!”
เสิ่นเทียนเอามือตบหน้าผาก “ผู้อาวุโส นี่ท่านกำลังทำอะไร!”
เสียงของเยี่ยฉิงชางดังขึ้นอีกครั้ง “เจ้าชำนาญวิชาอัสนี เจ้าหนูนี่ก็ชำนาญวิชาอัสนีเช่นกัน เจ้ามีกายเทพกระบี่ฟ้า เจ้าหนูนี่ก็มีวิชากระบี่ที่ไม่เลวเช่นกัน ไม่ใช่ว่าจะได้เรียนรู้ซึ่งกันและกันพอดีรึ!
ได้ประลองกับโอรสสวรรค์เหมือนกัน มีส่วนช่วยให้เรียนรู้กันและกันได้ ข้ากำลังช่วยเจ้าอยู่นะ!
เร็วเข้า ให้ข้าได้เห็นศักยภาพแท้จริงของเจ้า!”
ประลองกับน้าเขยเจ้าสิ!
นั่นคือร่างเงาของอาจารย์ข้าเอง
ถ้าข้าเอาชนะเขา แล้วเจ้าบันทึกภาพไปจะทำอย่างไร
ตาแก่นี่เลวมาก ต้องคิดไม่ดีจะเอามาข่มขู่ข้าแน่!
คิดว่าข้าจะถูกหลอกหรือ
เสิ่นเทียนไม่ทันพูดแขวะในใจ เพราะตอนนี้เด็กหนุ่มโจมตีใส่เขาแล้ว
“ลัทธิลี้ลับฟ้าดิน หมื่นรากฐานกระแสพลัง ฝึกฝนร้อยล้านเคราะห์ภัย พิสูจน์ยอดวิชาของข้า”
คัมภีร์เซียนสีทองในมือซ้ายร่างเงาเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ลอยขึ้นเองแม้ไร้สายลม คัมภีร์สีทองพลิกหน้าไปอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีอักขระสีทองลอยขึ้นมาจากในนั้นทีละตัว
อักขระพวกนั้นประทับตราลงบนชุดเกราะของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ปรากฏร่างเงามายาห้าสัตว์เทพขึ้นข้างหลังเขารางๆ
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ในตอนนี้ปกคลุมด้วยสายฟ้าห้าสี ประหนึ่งเทพสายฟ้าหนุ่ม
“สมกับเป็นอาจารย์ ตอนหนุ่มยังแข็งแกร่งขนาดนี้”
เสิ่นเทียนหยิบผลึกบันทึกภาพลึกลับออกมาจากแหวนเวหาเงียบๆ
เขามองร่างเงาของจางหลงหยวนตอนยังหนุ่มพลางพูดด้วยความเคารพ “วันนี้ ศิษย์ขอรับการสั่งสอนยอดวิชาจากอาจารย์!”
เพิ่งเอ่ยจบ เด็กหนุ่มก็พุ่งมาหน้าเสิ่นเทียนแล้ว กระบี่ยาวในมือขวาแนบกับประกายสายฟ้าสีม่วง ถักทอเป็นเงากระบี่หนาแน่น
วิชากระบี่ของเด็กหนุ่มเฉียบคมและทรงพลังมาก ทุกกระบวนท่าโจมตีใส่จุดสำคัญรอบตัวเสิ่นเทียน ‘ดวงตาสองข้าง คอหอย หัวใจ ไต ไปจนถึงใต้หว่างขา
หากไม่ใช่เพราะเสิ่นเทียนมีกายเทพกระบี่ฟ้า มีพลังสัมผัสพิเศษอย่างหนึ่งกับวิชากระบี่โดยธรรมชาติ เกรงว่าคงยากจะหลบการโจมตีได้อย่างสมบูรณ์แบบ
“วิชากระบี่ของอาจารย์คือที่สุด ศิษย์ละอายใจ เทียบมิได้”
เสิ่นเทียนกวัดแกว่งกระบี่วารีครามอย่าง ‘ยากลำบาก’ ต้านวิชากระบี่ของเด็กหนุ่มไว้ “คำพูดของอาจารย์ตอนนั้นที่วิหาเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นความจริง อาจารย์องอาจห้าวหาญจริงๆ แต่ศิษย์จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ โดยเด็ดขาด อาจารย์รับกระบวนท่าด้วย!”
ทั่วร่างเสิ่นเทียนลุกท่วมเปลวเพลิงสีทอง เกราะสัตว์เทพห้าอัสนีลอยขึ้นมาบนผิวกายเขา ส่องแสงระยิบระยับ
หยิบค้อนม่วงออกมาจากแหวนเวหา ทันใดนั้นมันขยายใหญ่ขึ้นมีขนาดหลายจั้ง ก่อนจะทุบใส่ร่างเงาเด็กหนุ่มอย่างแรง
ตึง~
คัมภีร์เซียนสีทองในมือเด็กหนุ่มปล่อยอักขระสีทองออกมารวมบนผิวกายเขาเป็นกรงเทพแสงทอง
ค้อนม่วงทองกับกรงเทพทองปะทะกันอย่างแรง ซัดเด็กหนุ่มปลิวไปหลายสิบจั้ง แสงทองแตกกระจาย
เมื่อเห็นเด็กหนุ่มหัวโนแล้ว เสิ่นเทียนผงะไป
ไม่น่าใช่แล้ว!
ก่อนหน้านี้อาจารย์บอกว่าตอนหนุ่มอยู่ในระดับสร้างฐานนั้นยังแกร่งกว่าข้าอีก!
นี่ข้าแค่ระเบิดค้อนม่วงทองง่ายๆ ยังไม่ได้เสริมพลังด้วยน้ำมวลหนักปฐมกาลด้วยซ้ำ ไฉนถึงต้านไว้ไม่ได้ล่ะ!
ระยำ ตาแก่เยี่ยฉิงชางแอบลดพลังของอาจารย์ลงหรือไม่
ข้ายังไม่มีโอกาสบันทึกภาพตอนที่ท่านแผ่อำนาจคุกคามใส่ข้าเลย!
ตอนนี้ ร่างเงาเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์โจมตีเข้ามาอีกครั้ง
“หมื่นเทพกราบไหว้ กดขี่อัสนี มารร้ายสิ้นความกล้า ปีศาจสิ้นชีพ
อานุภาพเทพสวรรค์ โน้มนำกระบี่ แปดทิศหกประสาน มีเพียงข้าเป็นใหญ่!”
เด็กหนุ่มท่องมนต์ชูนิเบียวในปากพลางเดินหน้าเจ็ดก้าวเป็นดาวหมีใหญ่ พลังทั่วร่างเพิ่มขึ้นอย่างมาก
ร่างเงาห้าสัตว์เทพหลอมรวมเข้าไปในกระบี่ในมือเด็กหนุ่ม ชั่ววูบเดียวก็เกิดฟ้าผ่าดังสนั่นบนเวทีประลอง เหมือนกับเคราะห์ภัยสวรรค์มาเยือน
สายฟ้าเคลื่อนผ่านกลางเมฆดำราวกับงูยาวสีม่วงเลื้อยไปมา
ต้องบอกว่ากำลังรบของจางหลงหยวนตอนหนุ่มแข็งแกร่งมาก
ตอนนี้ศักยภาพของเขามากพอจะสังหารระดับแก่นพลังทองส่วนใหญ่ได้ในพริบตาแล้ว
เสิ่นเทียนมีแววตาจริงจังขึ้นมาทันที โล่สีดำโผล่มาในมือ ก่อนเป็นรวมกรงคุ้มกันสายฟ้ายักษ์
บึ้ม~
เพียงพริบตาเดียว สายฟ้าสีม่วงหนาเท่าถังน้ำก็ผ่าลงมาที่เสิ่นเทียน
ลำแสงสายฟ้ากับโล่ปะทะกันอย่างแรง สายฟ้าน่าสะพรึงแตกกระจายเหมือนกับใยแมงมุม
จนเมื่อสายฟ้าสลายไป เสิ่นเทียนกุมหน้าอกพลางพูดด้วยความเลื่อมใส “สุดยอดกระบี่เซียนต้านอัสนี สมกับเป็นอาจารย์ ศิษย์มองไม่เห็นฝุ่นเลย
การต่อสู้นี้ศิษย์พ่ายแพ้ ภายภาคหน้าจะหมั่นฝึกฝน สักวันจะต้องเคียงข้างอาจารย์ให้ได้!”
เมื่อเอ่ยจบ เสิ่นเทียนก็เก็บผลึกบันทึกภาพที่ลอยอยู่ข้างๆ กลับไป
……
บนชั้นเจ็ดหอคอยเทพสงคราม ใต้ต้นชาตระหนักรู้
เยี่ยฉิงชางมีเส้นเลือดดำปูดขึ้นบนหน้าผาก “แบบนี้ก็ได้หรือ แบบนี้ก็ได้อย่างนั้นหรือ”
มองไม่เห็นฝุ่นอะไร ดีเลวอย่างไรก็เอาให้หน้าซีดขาวหน่อยสิ นี่ข้าไม่เห็นเจ้าหอบหายใจเลยด้วยซ้ำ!
ก็จะยอมแพ้แล้วรึ
เยี่ยฉิงชางเหมือนนึกอะไรได้จึงส่ายหน้ายิ้มๆ “ฝึกฝนคัมภีร์คบเพลิงยังรอบคอบมั่นคงเช่นนี้ นับว่าหาได้ยากเลย! ดูท่าผู้สืบทอดหอคอยเทพสงคราม คงไม่มีใครเหมาะสมกว่าเขาอีกแล้ว”
………………….