บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 234 บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ปะทะประมุขวิหารวิญญาณร้าย
- Home
- บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน
- บทที่ 234 บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ปะทะประมุขวิหารวิญญาณร้าย
บทที่ 234 บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ปะทะประมุขวิหารวิญญาณร้าย
เสิ่นเทียนแค่นเสียงขึ้นจมูก ชกหมัดหนักเคลือบน้ำมวลหนักปฐมกาลออกไป
พลังแห่งเทพมารโหมซัดสาดเสริมกับน้ำมวลหนักปฐมกาล ทำให้อานุภาพของน้ำมวลหนักแกร่งยิ่งขึ้น
สาวกวิญญาณร้ายใบหน้าแตงกวานั้นหน้าเปลี่ยนไป รีบใช้วิชารวมเป็นดอกไม้ชั่วร้ายใบหน้าสยดสยองตรงหน้า
ดอกไม้นี้แผ่กลิ่นอายมารเข้มข้นทั้งดอก ขณะที่กิ่งดอกไม้แผ่ออกยังได้ยินเสียงกรีดร้อง เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่วิชาที่ชอบธรรมอะไร
เสิ่นเทียนรู้สึกได้ชัดเจนว่าดอกไม้สีดำดอกนี้มีความชั่วร้ายและแปลกประหลาด
แต่เขาไม่ใส่ใจ เพราะสุดยอดพลังสามารถบดทำลายได้ทุกอย่าง
กำปั้นของเสิ่นเทียนไม่ได้ถูกวิชาดอกไม้ชั่วร้ายนี่ขวางไว้ แต่ทำลายดอกไม้ชั่วร้ายแหลกเป็นเสี่ยงๆ จากนั้นหมัดเขายังชกเข้าไปหน้าอกสาวกลัทธิชั่วร้ายอย่างรุนแรง ชกนางปลิวไปหลายสิบจั้ง
อานุภาพของหนึ่งหมัดน่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง!
สาวกลัทธิชั่วร้ายทั้งหุบเขาเหม่อมอง
“เจ้าหนู ข้าคงดูถูกเจ้าไป” ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตยิ้ม “เมื่อครู่เจ้าเรียกตัวเองว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์รึ ตอนนี้สนามรบบรรพกาลมีเพียงแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกกับเทพสวรรค์ และแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกไม่มีบุตรศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้นเจ้าคือบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เสิ่นเทียนอย่างนั้นรึ”
ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตพิจารณามองเสิ่นเทียน ก่อนจะปรบมือเบาๆ “มีแต่คนบอกว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เสิ่นเทียนไม่ใช่แค่มีพรสวรรค์เลิศล้ำ มีความกล้าหาญเหนือคนอื่น แต่ยังมีใบหน้าที่ทำให้สตรีศักดิ์สิทธิ์ต้องลุ่มหลง
ตอนแรกข้าไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ได้เห็นเจ้า ข้าเชื่อแล้ว เสิ่นเทียน ใบหน้าเจ้าไม่ด้อยไปกว่าข้าสมัยยังหนุ่มๆ เลย”
เงียบ
เงียบสงัดทั้งหุบเขา
ผู้ดูแลชุดคลุมดำพวกนั้นมองประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตด้วยสายตาแปลกๆ
ส่วนเสิ่นเทียนถอยหลังไปเงียบๆ หนีไปนอกหุบเขาแล้ว
ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตพูดนิ่งๆ “แค่กๆ อย่าคิดหนี เจ้าไม่มีโอกาสหรอก เสิ่นเทียน เรามาทำข้อตกลงกันดีหรือไม่”
เสิ่นเทียนผงะไปเล็กน้อย “ข้อตกลง? ข้อตกลงอะไร”
ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตเผยรอยยิ้ม “ข้าอยากจะให้เจ้าร่วมกับลัทธิเรา หากเจ้ายินดี ข้าจะรับเจ้าเป็นศิษย์ด้วยตัวเอง ด้วยพรสวรรค์ ดวงชะตาและใบหน้าของเจ้า และได้ข้าชี้แนะ ภายภาคหน้าคงเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์สูงสุดของลัทธิข้าได้ไม่ยาก
ต้องรู้ไว้ว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ลัทธิข้ามีอำนาจมากกว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์แดนศักดิ์สิทธิ์พวกนั้น ลองตรึกตรองดูเถอะ!”
ลัทธิวิญญาณร้ายจะดึงเสิ่นเทียนเข้าลัทธิหรือ
เสิ่นเทียนอึ้งไปเลย ข้าดูเหมือนคนไม่ดีขนาดนั้นเลยรึ
“ขอบคุณสำหรับความเมตตาของประมุข แต่แซ่เสิ่นเกรงว่าคงไม่มีวาสนาได้รับ แซ่เสิ่นยังไม่ได้เก็บเสื้อผ้าที่เมืองเล็กเซียนเลย ขอตัวก่อน”
พูดจบ เสิ่นเทียนพลันรวมเกราะอัสนีวิหคชาดบนตัวก่อนกลายเป็นเงาเทพสีแดงพุ่งออกไปนอกหุบเขา
“เหอะๆ วัยหนุ่มสาวนี่ดีจริงๆ”
ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตเผยรอยยิ้ม “น่าเสียดายที่จะเข้าลัทธิข้าหรือไม่เจ้าก็ไม่ใช่คนตัดสินใจ หน่ออ่อนดีๆ เช่นนี้ หากดึงเข้าลัทธิได้ จะมีประโยชน์กับการพัฒนาสาวกในภายภาคหน้าอย่างมหาศาล
เฮยเทียน เฮยเสวียน จับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มา! เดี๋ยวข้าจะคุยกับเขาจากใจ จะต้องพูดโน้มน้าวให้เข้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์ให้ได้”
เมื่อเอ่ยจบแล้ว ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตก็นั่งบนเก้าอี้ด้วยสมาธิแน่วแน่ มองเสิ่นเทียนด้วยใบหน้าชื่นชม
เหมือนว่า…กำลังมองว่าเสิ่นเทียนจะพลิกสถานการณ์อะไรได้อีก
“ขอรับ ท่านประมุข!”
คนที่มีกลิ่นอายพลังแข็งแกร่งที่สุดสองคนเดินออกมาจากผู้ดูแลชุดคลุมดำ ทั่วร่างพวกเขาปกคลุมด้วยหมอกดำ
สองคนแสยะยิ้มพลางยื่นมือมาคว้าเสิ่นเทียน
ทันใดนั้นเกิดหมอกดำไหลเชี่ยวไล่หลังเสิ่นเทียนไป ก่อนจะรวมเป็นมือกลิ่นอายมารมหึมาข้างหนึ่งกดลงมาจากข้างบน
“อยู่ที่นี่เถอะ!”
พลังบำเพ็ญของสองคนถึงจุดสูงสุดดวงจิตดรุณแล้ว อีกครึ่งก้าวก็จะบรรลุระดับหลอมรวมเทพ ทั้งยังร่วมมือกันอีก
อานุภาพของฝ่ามือกลิ่นอายมารนี้มากพอจะทำให้ผู้แข็งแกร่งระดับหลอมรวมเทพต้องรับมืออย่างจริงจัง
เสิ่นเทียนรู้ว่าต่อให้ตอนนี้ศักยภาพของตนจะเทียบกับอดีตไม่ได้ แต่ก็ยังต้านกระบวนท่านี้ไม่ไหว
“ไฉนต้องบังคับข้า ไฉนต้องบังคับข้า!”
เสิ่นเทียนหยิบป้ายคำสั่งสีทองออกมาจากอกเสื้อด้วยความโกรธแค้นสุดขีด “ไฉนต้องบังคับให้ข้าสังหารพวกเจ้า”
นี่คือขนอ่อนเอาตัวรอดสามเส้นที่อาจารย์มอบให้ ใช้หนึ่งครั้งจะเสียไปหนึ่งครั้ง!
เสิ่นเทียนกัดฟันส่งพลังฤทธิ์เข้าไปกระตุ้นในป้ายคำสั่งบุตรศักดิ์สิทธิ์
บึ้ม~!
ทั้งป้ายคำสั่งบุตรศักดิ์สิทธิ์เปล่งแสงเทพหมื่นจั้งออกมา พลังที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขามหมุนม้วนไปหลายร้อยลี้
ร่างเงามือซ้ายถือตำรา มือขวาถือกระบี่ ทั่วร่างปกคลุมอยู่กลางสายฟ้าประกายเซียนค่อยๆ ปรากฏกายขึ้นในหุบเขา
เมื่อเผชิญหน้ากับมือยักษ์ที่คว้าใส่เสิ่นเทียน ร่างเงานั้นค่อยๆ แทงกระบี่เซียนในมือออกไป
ทันใดนั้นเมฆหนาหมุนม้วนบนยอดเมฆเก้าสวรรค์ สายฟ้าลอยขึ้นขยับแสงในนั้นอย่างมหาศาล ก่อนจะกลายเป็นลำแสงสายฟ้ารวมลงมาที่กระบี่เซียนในมือร่างเงานั้น
เปรี้ยง~!
เปรี้ยงๆ~!
เปรี้ยงๆๆๆ~!
กระบี่ล้ำค่าสีเงินในตอนแรกรวมกับสายฟ้าไม่หยุดจนออกเป็นสีม่วงรางๆ
กระบี่ยักษ์สายฟ้าน่าสะพรึงยาวร้อยจั้งเล่มหนึ่งโผล่มากลางหุบเขาสีดำ ส่องสว่างทั้งหุบเขา
“อานุภาพฟ้าเทพสวรรค์ ขอใช้กระบี่โน้มนำ!”
ร่างเงาเอ่ยเนิบนาบ น้ำเสียงมีความน่าเกรงขามที่ไม่เป็นที่สงสัย ราวกับพิพากษาแทนสวรรค์
เมื่อร่างเงานั้นปรากฏ สาวกลัทธิชั่วร้ายทุกคนในหุบเขามีสีหน้าตื่นตระหนก นี่คือการถูกกำราบโดยสัญชาตญาณ
โดยเฉพาะเฮยเทียนกับเฮยเสวียนที่เผชิญหน้ากับร่างเงานั้นตรงๆ ตอนนี้กลิ่นอายมารทั่วร่างกำลังแหลกสลาย ตัวสั่นเทาไม่หยุด
หากไม่มีพลังภายนอกช่วย ภายใต้การโจมตีระดับนี้ พวกเขาแทบจะต้องตายอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรสายฟ้าก็เป็นพลังที่สวรรค์ใช้ลงทัณฑ์ เป็นปฏิปักษ์กับพวกนอกรีตมารร้ายที่สุด
“จางหลงหยวนทุ่มสุดตัวจริงๆ เหี้ยมมาก!”
ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย แม้เขาจะเป็นผู้อริยะระดับฝ่าด่านเคราะห์หนึ่งรอบ ไม่กลัวการโจมตีที่แบ่งมาจากเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์
แต่เขาไม่กลัว ไม่ได้หมายความว่าพวกลิ่วล้อของเขาจะรับการโจมตีนี้ได้
ถึงอย่างไรหากเขาไม่ลงมือช่วย ก็จะไม่มีสาวกลัทธิชั่วร้ายคนใดที่หนีจากการโจมตีเช่นนี้ได้
“หัตถ์โลหิตกระดูกขาว!”
ฝ่ามือแห้งเหี่ยวข้างหนึ่งยื่นมาจากใต้ชุดคลุมยาวสีโลหิต
ฝ่ามือนี้ผอมแห้งมาก แทบจะมองไม่เห็นเลือดเนื้อหรือเส้นเลือดเลย
แต่ทั้งฝ่ามือออกเป็นสีแดงโลหิตประหลาด อีกทั้งตรงกลางฝ่ามือกับหลังมือยังมีลวดลายแปลกๆ
เขาพลันยื่นฝ่ามือออกมาต้านกระบี่ยาวสายฟ้าที่ร่างเงาเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์กวัดแกว่งมา ทันใดนั้นก็เกิดฝ่ามือยักษ์ขึ้นกลางอากาศ
นี่คือฝ่ามือกระดูกขาวสีโลหิต แผ่กลิ่นอายมืดทะมึนอย่างยิ่ง
มองไปที่ฝ่ามือโลหิตนี้ เหมือนกับเห็นทะเลโลหิตภูเขาซากศพ
……
กระบี่สายฟ้าเทพสวรรค์ปะทะกับฝ่ามือโลหิตนั้น ภูเขาและแผ่นดินพังทลายลงโดยพลัน
พลังงานน่าพรั่นพรึงหมุนม้วนออกไปสิบลี้ราวกับกระแสน้ำ และยังรู้สึกถึงการสั่นสะเทือนอย่างชัดเจนได้ในระยะพันลี้
“เห็นทีคงปิดไว้ไม่ได้แล้ว!”
ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตพูดด้วยใบหน้ามืดลงเล็กน้อย “ในเมื่อเจ้าบังคับข้าเช่นนี้ ก็อย่าหาว่าข้าก่อเรื่องราวใหญ่โตแล้วกัน อย่าคิดว่าทำให้ผู้อาวุโสฝ่ายเซียนตกใจแล้วพวกเขาจะมาช่วยเจ้าหนีทัน เจ้ายังไม่รู้จักระดับผู้อริยะหรอก
ก่อนที่พวกเขาจะมาถึงที่นี่ ข้าจะดูแลเจ้าอย่างดี จากนั้นพาเจ้าไปอย่างทะนงองอาจ!”
ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่งก่อนจะสะบัดแขนเสื้ออย่างฉับพลัน
ทันใดนั้นก็เกิดหมอกควันคละคลุ้งไปทั้งหุบเขา
จุดที่เสิ่นเทียนอยู่ในตอนแรก ตอนนี้ไม่มีใครแล้ว
ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตงุนงง
ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตตกใจ
“ไม่นึกเลยว่าเจ้าจะมีวิชาดำดินน่าอัศจรรย์เช่นนี้อีก”
ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตกระแอมไอเบาๆ “น่าเสียดายก็แต่ข้าจับกลิ่นอายพลังเจ้าไว้แล้ว แม้จะดำลึกลงดินก็ลากเจ้าออกมาได้!”
ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตเพิ่งเอ่ยจบก็พบว่ากลิ่นอายพลังที่กำลังเดินทางอยู่ใต้ดินหายไปทันที
ทั้งหุบเขาเงียบสงัด
เพียงแต่ทุกคนรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง
เพียะ~
เพียะๆ~
เพียะๆๆ~
ใช่แล้ว เป็นเสียงตบหน้า!
“เป็นไปได้อย่างไร เจ้าหนูนี่หลุดจากเป้าหมายข้าได้อย่างไร”
ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตรู้สึกหน้าเจ็บแสบร้อน นี่ไม่น่าจะใช่! นี่ไม่ใช่…เรื่องปกติแล้ว!
พึงรู้ไว้ว่าเขาคือผู้อริยะ แม้จะเป็นผู้อริยะหนึ่งด่านเคราะห์ที่ระดับเริ่มต้นที่สุด แต่นั่นก็อยู่ในเขตแดนของผู้อริยะเหมือนกัน
ต่ำกว่าผู้อริยะคือมดปลวก คำพูดนี้ไม่ได้แค่พูดเล่นๆ เท่านั้น
แม้จะเป็นจุดสูงสุดระดับหลอมรวมเทพก็แทบจะไม่มีทางเก็บพลังต่อหน้าเขาได้
เสิ่นเทียนแค่ระดับกายทอง จะทำถึงขนาดนี้ได้อย่างไร
นี่เหมือนกับมดน้อยกัดเจ้า และเจ้ากำลังจะเอามือบี้มันให้ตาย ปรากฏว่ามดจู่ๆ มดน้อยนี่ก็หายไปต่อหน้าต่อตาเจ้า
อึดอัดใจ น่าเหลือเชื่อ!
ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตรู้สึกเลยว่าเจ็บหน้ามาก!
“เจ้าคิดว่าควบคุมวิชาลับอำพรางพลังแล้วหนีรอดจากมือข้าได้รึ นักบวชหนีได้แต่วัดหนีไม่ได้ ข้าจะไปที่เมืองเล็กเซียน ฆ่าล้างสหายของเจ้าให้หมด ไม่เชื่อหรอกว่าเจ้าจะไม่ออกมา!”
กลิ่นอายชั่วร้ายโลหิตล้นฟ้าแผ่มาจากตัวประมุขวิหารชุดคลุมโลหิต ทั้งโหดเหี้ยม ทั้งกระหายเลือด ทั้งโกรธเกรี้ยว
การฝึกฝนวิชาชั่วร้าย ถึงการใช้โลหิตสิ่งมีชีวิต วิญญาณและพลังมารในการฝึกฝนจะก้าวหน้าไวกว่า แต่สภาพจิตใจจะเกิดปัญหาได้ง่ายมากกว่า
ดังนั้นผู้ฝึกบำเพ็ญลัทธิวิญญาณร้ายปกติจะโมโหง่ายมาก ดื้อรั้น และอารมณ์ร้ายอย่างยิ่ง
บางครั้งถึงขั้นยอมตายไปพร้อมๆ กันก็มี
……..
ตอนนี้จิตสังหารที่แผ่มาจากในตัวประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตทำลายชั้นเมฆแหลกเป็นเสี่ยงๆ
สิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนในระยะหลายร้อยลี้ตัวสั่นงันงก รู้สึกได้ถึงความน่าเกรงขามและจิตสังหารรุกรานมหาศาล
ไม่มีใครสงสัยในคำพูดของประมุขวิหารชุดคลุมโลหิต เพราะถ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ไม่มีผู้อริยะอยู่ เขาก็ฆ่าล้างบ้างเมืองเล็กเซียนได้จริงๆ
เพียงแต่ว่าจะต้องทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกกับเทพสวรรค์โกรธอย่างแน่นอน จากนั้นก็มีคนมาล่าสังหารนับไม่หวาดไม่ไหว
“ฆ่าพวกเจ้าให้หมด เอาธงเวทกลับมา ช่วยท่านวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ถึงตอนนั้นต่อให้อาจารย์เจ้ามาแล้วอย่างไร” ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตยิ้มเยาะพลางมุ่งหน้าไปยังเมืองเล็กเซียน ความเร็วไม่เร็ว เหมือนกำลังตั้งใจทรมานเสิ่นเทียน ให้เขารู้สึกบาปในใจ
“ตอนแรกว่าจะไม่ให้เรื่องใหญ่โตเช่นนี้ แต่เจ้าบังคับข้าเอง พวกเขาต้องตายเพราะเจ้า อย่าคิดติดต่อให้ผู้อริยะของแดนศักดิ์สิทธิ์มาช่วยเลย เมืองเล็กเซียนห่างจากแดนศักดิ์สิทธิ์ไกลเกินไป
ถึงจางหลงหยวนจะได้ข่าวและมาทันที ก็ต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเค่อ และในเวลาหนึ่งเค่อนี้ก็มากพอจะให้ข้าใช้โลหิตล้างเมืองเล็กเซียนได้สามรอบแล้ว!”
ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตเดินไปพลางพูดแจ้วไปพลาง เหมือนการเข่นฆ่าเป็นเรื่องปกติมากสำหรับเขา
“ว่าอย่างไร จะกลับไปกับข้าหรือไม่ ขอแค่เจ้าเข้าลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ข้าจะปล่อยสหายร่วมสำนักพวกนั้นของเจ้าไป”
ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตยิ้ม “คิดดูหน่อยเถอะ!”
เมื่อประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตเข้าใกล้เมืองเล็กเซียนมากขึ้น รอยยิ้มบนใบหน้าเขาก็เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ
เพราะเขารู้สึกได้ว่ามีกลิ่นอายพลังหนึ่งปรากฏขึ้นใต้ดิน อีกทั้งยังพุ่งขึ้นมาบนผิวดินอย่างรวดเร็ว
บึ้ม~!
แผ่นดินใหญ่แตกออก เสิ่นเทียนในร่างสองปีกเทพสีทองมองประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตด้วยความจำใจ
ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความเจ็บปวด “ข้าว่านะ อยู่ดีๆ กันไม่ได้รึ ไฉนต้องบังคับให้ข้าสังหารเจ้า”
สารภาพตามตรง เสิ่นเทียนจะหนีไปแล้ว แต่ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตก็ยังก่อเรื่องพัวพันไม่จบไม่สิ้น
ซ้ำยังจะใช้โลหิตล้างเมืองเล็กเซียน ขอไม่เอ่ยว่าในเมืองเล็กเซียนมีสหายของเสิ่นเทียนเท่าไร ลำพังแค่ต้นกุยช่ายที่บึกบึนพวกนั้น เสิ่นเทียนก็ทำใจทิ้งไม่ลงแล้ว!
เจ้าผู้อริยะ ไฉนต้องยั่วยุข้า!
ต่างคนต่างเดิน กลับไปหามารดาของตนไม่ดีกว่าหรือ
ไฉนต้องก่อเรื่อง ไฉนต้องก่อเรื่องด้วย!
…..
“สังหารข้าหรือ”
เมื่อได้ฟังคำพูดโอหังของเสิ่นเทียน ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตก็หัวเราะเสียงดัง “ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าเจ้าจะสังหารข้าอย่างไร”
ตอนนี้ประมุขวิหารชุดคลุมโลหิตยืนอยู่บนอากาศอย่างโอหัง อำนาจศักดิ์สิทธิ์น่าสะพรึงกดลงมายังเสิ่นเทียน
บรรยากาศพลันตึงเครียดขึ้นมา จิตสังหารอบอวลในมวลอากาศ
หนึ่งวินาที~
สองวินาที~
สามวินาที~
หอคอยเล็กสีม่วงหมุนวนตรงจุดตันเถียนของเสิ่นเทียนไม่หยุด ลำแสงสีม่วงอ่อนๆ แผ่คลุมออกมาจากหอคอยเล็กอย่างหนาทึบ
งดงามแต่อันตรายถึงชีวิต!
……………………….