บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 250 ฟางฉางปะทะโอรสสวรรค์เจ็ดดาว
บทที่ 250 ฟางฉางปะทะโอรสสวรรค์เจ็ดดาว!
ฟางฉางมีร่างกายกำยำอยู่แล้ว ยืนอยู่ท่ามกลางศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จำนวนมากอย่างโอหัง ร่างกายสูงใหญ่
ตอนนี้เขาสวมเกราะ มือถือทวนมังกรก็ยิ่งดูองอาจมีอำนาจไม่ธรรมดา ทำให้ทุกคนทำเสียงจิ๊ๆ เอ่ยชม
สมกับเป็นศิษย์พี่ใหญ่ มีความห้าวหาญยิ่งใหญ่เกรียงไกรจริงๆ
เมื่อเผชิญหน้ากับสุดยอดสมบัติเช่นหอคอยเทพสงคราม เผชิญหน้ากับร่างเงาของโอรสสวรรค์โลกเซียน ก็ยังสงบนิ่งเช่นนี้ได้ มั่นใจว่าข้านั้นไร้พ่าย
ข้ามเรื่องพรสวรรค์ที่สุดแห่งยุคที่มีแก่นพลังทองเก้ารอบของเขาไป ลำพังแค่หัวใจไร้พ่ายก็ทำได้ยากและน่ายกย่องแล้ว
ทุกคนเชื่อว่าหากไม่มีบุตรแห่งสวรรค์เสิ่นเทียน จะไม่มีใครบดบังประกายแสงในแดนศักดิ์สิทธิ์ของฟางฉางได้อย่างแน่นอน
นี่คือสุดยอดโอรสสวรรค์ มากพอจะทัดเทียมกับบุตรศักดิ์สิทธิ์ทุกคน!
เมื่อฟางฉางเอ่ย ประตูใหญ่หอคอยเทพสงครามที่มีรอยร้าวทุกส่วนก็เปิดออกช้าๆ ก่อนจะมีแสงเจ็ดสีพุ่งออกมา
ลำแสงเจ็ดสีนี้อาบร่างฟางฉางก่อนจะดึงเขาเข้าไปในพริบตา
จางอวิ๋นถิงกับจางอวิ๋นซีตามหลังเขาไปติดๆ มาหน้าหอคอยเทพสงครามเช่นกัน
“ศิษย์เทพสวรรค์จางอวิ๋นถิง ตั้งใจมาขอคำชี้แนะจากโอรสสวรรค์โลกเซียน ขอให้หอคอยเทพตอบรับด้วย”
“ศิษย์เทพสวรรค์จางอวิ๋นซี ตั้งใจมาขอคำชี้แนะจากโอรสสวรรค์โลกเซียน ขอให้หอคอยเทพตอบรับด้วย”
ประตูใหญ่หอคอยเทพสงครามเปิดออกอีกครั้ง ก่อนจะยิงแสงเทพเจ็ดสีออกมาดึงจางอวิ๋นถิงและจางอวิ๋นซีเข้าไป
ตอนนี้ปรากฏแสงสีสันหลากสีตรงหน้า ฟางฉาง จางอวิ๋นถิงและจางอวิ๋นซีมาปรากฏบนเวทีประลองเทพสงคราม
สามคนอยู่ในมิติต่างกัน ไม่ใช่เวทีประลองเดียวกัน
มองไปรอบๆ ไม่เจอสหายร่วมสำนักเลย
เสียงสตรีอ่อนโยนดังขึ้นรอบๆ เวทีประลอง
“คนหนุ่ม/คนสาว ยินดีต้อนรับสู่เวทีประลองเทพสงคราม บนเวทีประลองนี้ พวกเจ้าจะประลองกับโอรสสวรรค์ได้มากมายอย่างเต็มที่ หากชนะโอรสสวรรค์พวกนี้ได้ ก็จะได้รับมรดกวิชาลับล้ำค่าต่างๆ
ต่อให้ไม่ระวังพ่ายแพ้ ก็แค่จ่ายศิลาวิญญาณเล็กน้อย คุ้มค่าจนไม่รู้คุ้มค่าอย่างไรแล้ว นอกจากนี้ หากพวกเจ้าแสดงผลงานได้ยอดเยี่ยมพอ ยังมีโอกาสได้สลักนามลงบนศิลาเทพสงครามมีชื่อเสียงเลื่องลือไปเป็นพันๆ ปี!”
เมื่อเสียงเพิ่งเงียบลง บนเวทีประลองของสามคนต่างมีศิลาโบราณสีดำลอยขึ้นมา
บนนั้นแกะสลักนามที่มีพลังเข้มแข็งไว้มากมาย ส่วนใหญ่ในนั้นพวกฟางฉางเคยได้ยินชื่อมาก่อน มีชื่อเสียงโด่งดังกึกก้อง
ก็อย่างเช่นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกบางรุ่นในอดีต เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์บางรุ่น ผู้แข็งแกร่งไร้พ่ายบางคน บางคนก็เป็นตำนานบรรลุมรรคเป็นเซียน…
กล่าวได้ว่านามที่ติดร้อยอันดับแรกบนศิลาเทพสงครามสีดำนี่ได้ไม่มีใครเป็นคนธรรมดา
เว้นแต่จะสิ้นชีพตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่อย่างนั้นเมื่อเติบโตขึ้นอย่างแท้จริง ล้วนกลายเป็นผู้ยิ่งใหญ่หนึ่งยุค!
…….
จางอวิ๋นซีกวาดสายตามองบนศิลาโบราณสีดำจากอันดับหนึ่งถึงอันดับยี่สิบ ก่อนจะขมวดคิ้วขึ้นเรื่อยๆ
นางอดถามไม่ได้ว่า “ดวงจิตหอคอย ไฉนศิลาเทพสงครามสีดำนี่ถึงไม่มีชื่อของศิษย์น้องเสิ่นเทียน หรือด้วยพรสวรรค์ของเขายังไม่พอที่จะติดอันดับกัน”
ไม่ใช่แค่นั้น อาจารย์ลุงบัวมรกตยังมีอันดับในศิลาเทพสงครามสูงกว่าท่านพ่อ นี่ไม่ปกติเกินไปแล้วกระมัง!
แน่นอนว่าเทียบกันแล้ว จางอวิ๋นซีคิดว่าศิษย์น้องเสิ่นเทียนไม่ติดร้อยอันดับแรกสำคัญกว่า
เสียงหัวเราะของสตรีดังขึ้นรอบๆ เวทีประลอง “สาวน้อย เจ้ากำลังโกรธแทนเสิ่นเทียนรึ ไม่ต้องห่วงไป เสิ่นเทียนผ่านการทดสอบของข้าแล้ว เป็นโอรสสวรรค์เจ็ดดาวเพียงหนึ่งเดียวของโลกนี้
ที่ไม่อยู่ในอันดับศิลาเทพสงครามเป็นการตัดสินใจของเขาเอง หอคอยเทพสงครามเคารพการเลือกของโอรสสวรรค์ทุกคน จะไม่บังคับให้ต้องสลักนาม
หากเจ้าติดร้อนอันดับแรกในศิลาเทพสงครามก็เลือกได้ว่าจะปิดบังนามของตน ติดอันดับแบบ ‘อำพรางนาม’ ก็ได้ เพียงแต่ว่าการทำเช่นนี้จะต้องจ่ายค่าอำพรางนามหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณ”
จางอวิ๋นซีอึ้งไป สารภาพตามตรง หนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณไม่ได้เท่าไรสำหรับนาง
แต่แค่อำพรางนามก็ต้องจ่ายหมื่นศิลาวิญญาณหรือ
หอคอยเทพสงครามนี่เก็บค่าใช้จ่ายหลอกลวงเกินไปแล้ว!
แต่หลังจากรู้ว่าหอคอยเทพสงครามประเมินให้เสิ่นเทียนเป็นโอรสสวรรค์เจ็ดดาว จางอวิ๋นซีก็อารมณ์ดีขึ้นมาก ไม่เถียงเรื่องพวกนี้อีก
นางเอ่ยนิ่งๆ ว่า “ดวงจิตหอคอย ช่วยอธิบายกฎเวทีประลองให้ข้าฟังอย่างละเอียดด้วย”
เสียงสตรีดังขึ้นอีกครั้ง “ยินดีมากที่ได้แนะนำให้ท่าน เวทีประลองเทพสงครามคือหัวใจสำคัญของหอคอยเทพสงคราม ในนั้นเก็บร่างเงาโอรสสวรรค์ของโลกเซียนและมนุษย์สองโลกไว้มากมาย บนเวทีประลองแห่งนี้ เจ้าสามารถประลองกับโอรสสวรรค์รูปแบบต่างๆ ตั้งแต่โบราณจนถึงตอนนี้ ช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์การต่อสู้ให้เจ้าได้ดีที่สุด
กฎโดยละเอียดมีดังนี้ ท้าประลองโอรสสวรรค์หนึ่งดาว เมื่อชนะจะได้รางวัลเป็นวิชาหรือมรดกระดับหนึ่งดาว หากพ่ายแพ้จะหักแต้มเทพสงครามสิบแต้ม
ท้าประลองโอรสสวรรค์สองดาว เมื่อชนะจะได้วิชาหรือมรดกระดับสองดาว หากพ่ายแพ้จะหักแต้มเทพสงครามสามสิบแต้ม”
“….”
“ท้าประลองโอรสสวรรค์สี่ดาว เมื่อชนะจะได้วิชาหรือมรดกระดับสี่ดาว หากพ่ายแพ้จะหักแต้มเทพสงครามสามร้อยแต้ม
ท้าประลองโอรสสวรรค์ห้า หกและเจ็ดดาว เมื่อชนะจะได้วิชาหรือมรดกระดับห้า หกและเจ็ดดาว หากพ่ายแพ้จะหักแต้มเทพสงครามหนึ่งพันแต้ม
แต้มเทพสงครามจะแลกได้จากทรัพยากรเช่นศิลาวิญญาณ สมบัติวิเศษหรือโอสถ อัตราส่วนคร่าวๆ คือหนึ่งแต้มเทพสงครามเท่ากับผลึกวิญญาณสิบก้อนหรือเท่ากับหนึ่งหมื่นศิลาวิญญาณ”
จางอวิ๋นซีครุ่นคิด “ข้าเคยอ่านเจอในคัมภีร์โบราณว่าการท้าประลองกับโอรสสวรรค์หนึ่งดาวในหอคอยเทพสงคราม น่าจะต้องลงเดิมพันหนึ่งร้อยแต้มเทพสงครามสิ!”
เสียงสตรีหัวเราะเบาๆ ดังขึ้นรอบเวทีประลอง “นี่คือผลหลังจากบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เสิ่นเทียนหารือกันกับข้า และเพื่อมอบเป็นของขวัญให้พวกโอรสสวรรค์ห้าดินแดน หอคอยจะเปิดกว้างให้กับภายนอกแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ในร้อยปีนี้มีส่วนลดของเดิมพันท้าประลองให้
นอกจากนี้สตรีศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ เจ้าจะได้รับส่วนลดในระดับผู้สูงศักดิ์สูงสุด ทุกการประลองจะได้ส่วนลดเพิ่มอีกห้าส่วนเพิ่มจากส่วนลดเดิม จะพลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ไม่ได้ ร้อยปีผ่านไปในพริบตา สาวน้อย เจ้ายังรออะไรอีก”
ที่แท้นี่ก็เป็นสวัสดิการที่ศิษย์น้องเสิ่นเทียนพยายามเอามาให้ข้าหรือ
จาอวิ๋นซีหน้าแดงขึ้นมา “อวิ๋นซีเข้าใจแล้ว รบกวนดวงจิตหอคอยไขข้อสงสัยด้วย”
……………
อีกเวทีประลอง จางอวิ๋นถิงก็กำลังสนทนากับดวงจิตหอคอยเช่นกัน
ก่อนจะเห็นเขาแบกพิณล้ำค่า สะโอดสะองเหมือนคุณชายรูปงาม “ดวงจิตหอคอย ในหอคอยเทพสงครามมีแค่เลือกต่อสู้เดิมพันอย่างเดียวหรือ”
เสียงสตรีดังขึ้น “ถูกต้อง คนหนุ่มเอ๋ย เจ้าสงสัยอะไรหรือไม่”
จางอวิ๋นถิงยิ้ม “อวิ๋นถิงคิดว่าหากมุ่งแต่ต่อสู้เดิมพันอย่างเดียว จะไม่มีการพัฒนาอย่างมั่นคงและรักษาฐานลูกค้าไว้ได้ในระยะยาว เพราะถ้าเป็นโอรสสวรรค์ พื้นฐานพรสวรรค์ของเขาก็มั่นคงอยู่แล้ว ยากจะทะลวงไปได้ในเวลาอันสั้น
หากเป็นการต่อสู้เดิมพันเฉยๆ ไร้รสชาติ หลังจากแพ้ติดๆ กันหลายครั้งก็หมดทรัพย์ บางทีโอรสสวรรค์พวกนั้นอาจจะกลับไปเลยก็ได้ แต่หากชนะติดกันหลายครั้ง ได้มรดกสองอย่างแล้วก็เลือกมรดกไม่ได้อีก ก็จะกลับไปเช่นกัน”
เสียงสตรีสาวดังขึ้นรอบๆ เวทีประลองอีกครั้ง “เช่นนั้นเจ้าเห็นว่าควรจะแก้ไขอย่างไร”
ใบหน้าจางอวิ๋นถิงมีความหลักแหลมที่แก้ไขได้ทุกเรื่อง “ง่ายมาก ในการต่อสู้เดิมพันให้เปิดแยกเป็นเวทีประลอง ‘แบบปกติ’ ในเวทีประลองนี้ พวกโอรสสวรรค์จะจ่ายในราคาค่อนข้างต่ำก็เลือกร่างเงาที่มีรูปแบบการต่อสู้โดยเฉพาะได้เลย เลือกประลองกันได้เลย
หากโอรสสวรรค์ชนะ หอคอยเทพสงครามจะไม่ขาดทุน แต่หากโอรสสวรรค์พ่ายแพ้ก็จะไม่เจ็บหนักและกลับไปเลยเช่นกัน นานเข้า โอรสสวรรค์หนุ่มที่มีประสบการณ์ต่อสู้ไม่พอส่วนใหญ่จะมองที่นี่เป็นแดนศักดิ์สิทธิ์สำหรับการฝึกฝน
นี่มีประโยชน์ในการทำกิจการอย่างมั่นคงระยะยาวมาก ดีกว่าวิดน้ำแห้งและจับปลาไปจนหมดเยอะ”
ชั้นเจ็ดหอคอยเทพสงคราม เยี่ยฉิงชางลูบเคราพลางพูดด้วยรอยยิ้ม “เจ้าหนูนี่มีความหลักแหลมอยู่บ้าง ตอนแรกคิดว่ามีแค่เทียนเอ๋อร์ที่คิดได้ถึงขนาดนี้ ไม่นึกเลยว่ามันสมองของเจ้าหนูนี่ก็ใช้ได้เหมือนกัน”
ความจริง เสิ่นเทียนไม่ได้เสนอกับเยี่ยฉิงชางแค่เพิ่มรูปแบบ ‘เวทีประลอง’ เท่านั้น
นอกจากนี้ยังเพิ่ม ‘ช่องทางการถ่ายทอดสด’ อีกด้วย
อย่างเช่นจางอวิ๋นถิงกำลังท้าประลองกับโอรสสวรรค์โลกเซียนในหอคอยเทพสงคราม ก็จะเลือกได้ว่าจะให้ภาพการต่อสู้ของตนสะท้อนไปในมิติเสมือนในหอคอยหรือไม่
คนอื่นสามารถจ่ายศิลาวิญญาณเพื่อดูภาพการต่อสู้ของจางอวิ๋นถิงกับโอรสสวรรค์โลกเซียนได้ ทั้งยังให้รางวัลได้
อย่าคิดว่าไม่มีใครให้รางวัล
ต้องรู้ว่าถึงความดังของจางอวิ๋นถิงในแดนศักดิ์สิทธิ์จะไม่เท่าเสิ่นเทียน แต่ก็ยังมีสาวกหญิงไม่น้อย!
สาวกชายหญิงล้วนบ้าคลั่งกันทั้งนั้น!
และโอรสสวรรค์ระดับสุดยอดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ๆ มีใครบ้างไม่ใช่เครื่องดูดฝุ่นเดินได้
ปกติจะเข้าถึงยาก คนปกติไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิดโดยตรง
หากมีโอกาสได้ชมการต่อสู้ของพวกเขา เชื่อว่าจะมีผู้คลั่งไคล้ชายหญิงจำนวนมากโปรยเงินสนับสนุนแน่นอน
สุดท้ายก็เป็น ‘ผลึกบันทึกภาพ’ ที่มีห่วงโซ่ผลประโยชน์มากที่สุด
โอรสสวรรค์ท้าสู้กับร่างเงาในหอคอย จะสามารถเลือกบันทึกภาพการต่อสู้ไว้ได้
แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะได้รับสิทธิ์ในการเผยแพร่และจัดพิมพ์ภาพพวกนี้ ทั้งยังขายให้กับผู้ฝึกบำเพ็ญเซียนที่มีความสนใจ
การได้ชมภาพผู้แข็งแกร่งต่อสู้ โดยเฉพาะโอรสสวรรค์สู้ นี่มีประโยชน์กับการฝึกบำเพ็ญของตนอย่างมาก เชื่อว่าจะมีผู้ฝึกบำเพ็ญเซียนมากมายยินดีจ่ายเงินเพื่อซื้อผลึกพวกนี้
นี่คุ้มกว่ามาไกลถึงแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มาก
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เคยเอ่ยถึงแนวความคิดนี้ และเสิ่นเทียนแค่เพิ่มเติมจากพื้นฐานของเขาให้สมบูรณ์
หากผลิตได้จำนวนมากพอ ผลึกบันทึกภาพนี่จะขายได้ในปริมาณที่น่าสะพรึงอย่างยิ่ง
แน่นอน รายได้ตรงนี้เสิ่นเทียนกับเยี่ยฉิงชางรับไว้เองไม่ได้
ถึงอย่างไรการจัดซื้อผลึกบันทึกภาพ การขาย การเผยแพร่ การผูกสิทธิ์และการทำลายฉบับละเมิดลิขสิทธิ์ก็คงหนีไม่พ้นแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์
แต่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ก็จะฮุบไว้ทั้งหมดไม่ได้เช่นกัน
เพราะการบันทึกภาพต่อสู้ของโอรสสวรรค์ในหอคอยเทพสงคราม มีเพียงเยี่ยฉิงชางที่ทำได้
วิธีที่ดีที่สุดคือรวยไปด้วยกัน
…….
เดิมทีเยี่ยฉิงชางแกะสลักตราเวทในหอคอยเทพสงคราม เตรียมเริ่มระบบการใช้งานอีกหลายอย่างแล้ว
ไม่นึกเลยว่าบุตรชายที่ดูเป็นคนสบายๆ ของจางหลงหยวนจะมีมันสมองดีเช่นนี้ แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มีแต่อัจฉริยะจริงๆ!
แต่ขอพูดตามตรง ด้วยนิสัยของเยี่ยฉิงชางแล้ว เขาชอบคนโง่มากกว่า
เพราะคนประเภทนี้…หลอกง่าย~
เยี่ยฉิงชางส่ายหน้าพลางหัวเราะเบาๆ ก่อนจะมองไปที่เวทีประลองที่สาม
คนบนเวทีประลองที่สามก็คือศิษย์พี่ใหญ่แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์…ฟางฉาง
เขาบุกหอคอยเทพสงครามมาอย่างสบายๆ ทั้งยังไม่พบว่าไม่มีนามของเสิ่นเทียนบนศิลาเทพสงคราม และก็ไม่ได้คิดจะแนะนำอะไรที่สร้างสรรค์
เมื่อก้าวขึ้นเวทีประลองเทพสงคราม ได้ดวงจิตหอคอยแนะนำราคาการประท้าประลองแล้ว เขาก็เลือดร้อนขึ้นมา
“ท้าประลองโอรสสวรรค์สี่ดาวต้องใช้สามร้อยแต้มเทพสงคราม ห้าดาวพันแต้มเทพสงคราม แต่หกดาวกับเจ็ดดาวก็พันแต้มเทพสงครามรึ
หรือก็คือโอรสสวรรค์ห้าดาว หกดาวและเจ็ดดาวราคาเดียวกันหมดหรือ”
จ่ายราคาของห้าดาว ก็เที่ยว…ก็สู้กับเจ็ดดาวได้หรือ
กำไรเลือดสาดแล้ว!
ฟางฉางกำทวนมังกรพลางถาม “ดวงจิตหอคอย ถ้าเกิดแพ้โอรสสวรรค์เจ็ดดาวจะตายหรือไม่”
เสียงเด็กสาวดังขึ้น “ไม่ หอคอยเทพสงครามจะให้สิทธิ์คุ้มครองทุกด้านกับโอรสสวรรค์ที่มาฝึกฝน ไม่เกิดเหตุไม่คาดคิดอย่างแน่นอน”
ฟางฉางยิ้มแล้ว ก่อนจะเทเงินเก็บส่วนตัวออกมาจากในแหวนมิติ “ดีมาก แลกให้แซ่ฟางด้วย! แซ่ฟางขอดูหน่อยว่าโอรสสวรรค์เจ็ดดาวของโลกเซียนจะแข็งแกร่งเพียงใดกันแน่!”
ชั้นเจ็ดหอคอยเทพสงคราม เยี่ยฉิงชางยิ้มปลื้มใจเช่นกัน
เป็นเงินของคนโง่จริงๆ…
กำไรงามที่สุดเลย~
อาวุธวิญญาณและสมบัติล้ำค่าที่ได้มาจากการฝึกฝนถูกแลกไปแต่ละชิ้น แต้มเทพสงครามใต้นามของฟางฉางก็เพิ่มขึ้นด้วยความเร็วระดับที่สายตามองเห็นทัน
เขาเป็นผู้มีมหาดวงชะตาสีทอง หลายปีมานี้จึงได้โชคลิขิตมากน่าพอดู
ไม่นานแต้มเทพสงครามของเขาก็ถึงหนึ่งพันแต้ม เปิดการท้าสู้กับโอรสสวรรค์เจ็ดดาวได้!
บนเวทีประลองปรากฏแสงเทพสว่างจ้าขึ้นก่อนรวมเป็นร่างเงาองอาจ
ฟางฉางตะโกนเสียงดัง ก่อนจะถือทวนมังกรพุ่งเข้าไปหาอีกฝ่าย
สามนาทีต่อมา หนึ่งพันแต้มเทพสงคราม
หมดเกลี้ยง~
…………………..