บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 259 เสิ่นเทียนพบหลี่ชางหลันครั้งแรก
บทที่ 259 เสิ่นเทียนพบหลี่ชางหลันครั้งแรก
ชั้นเจ็ดหอคอยเทพสงคราม บนเวทีประลองเทพสงครามโอรสสวรรค์เจ็ดดาว
เสิ่นเทียนสวมเกราะสัตว์เทพห้าอัสนี สายฟ้าวนเวียนรอบกาย ราวกับราชันเทพหนุ่มลงมายังโลก
และตรงหน้าเขาคือชายร่างกำยำรูปร่างสูงใหญ่ มือถือขวานเทพ พลังทรงอำนาจอย่างยิ่ง
นี่คือโอรสสวรรค์เจ็ดดาวของเผ่าทัณฑ์สวรรค์ ชำนาญวิชาการใช้พละกำลังศาสตร์หลอมกายเทพมารทำลายล้างที่สุด มีรูปแบบการต่อสู้ที่บ้าอำนาจอย่างถึงที่สุด
สารภาพตามตรง แม้ตอนที่เสิ่นเทียนอยู่ตรงหน้าเขาก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาล
เพราะไม่ว่าจะเป็นดาบฟันขวานผ่าจมน้ำหรือไฟเผาก็ทำอะไรกายทองเทพมารของเขาไม่ได้เลย
กายทองของเจ้านี่ผ่านการหล่อหลอมมาไม่รู้กี่ครั้ง กระทั่งระดับความแกร่งของกายเนื้อยังสูงกว่าเสิ่นเทียน!
เสิ่นเทียนใช้ค้อนนภาม่วงสะท้านฟ้าเคลือบน้ำมวลหนักทุบไปร้อยกว่าครั้งอย่างบ้าคลั่ง ถึงเพิ่งจะกดดันเขาลงไปได้
ในบรรดาโอรสสวรรค์ระดับเดียวกันทั้งหมดที่เสิ่นเทียนเคยพบ นี่คือคนที่เขาคิดว่ารับมือยากที่สุด เรียกได้ว่าเหมือนใช้สูตรโกง
“สามสิบหกค้อนแห่งแดนรกร้างสวรรค์…ค้อนทุบดาว!”
ค้อนนภาม่วงสะท้านฟ้าขยับแสงสายฟ้าเหมือนกับดาวดวงหนึ่งตกลงมา
บึ้ม~!
ค้อนเทพยักษ์ทุบขวานยักษ์ในมือชายร่างกำยำเผ่าทัณฑ์สวรรค์แตก ก่อนจะทุบตัวเขาอย่างรุนแรง ได้ยินเพียงเสียงดังสนั่น เหมือนกับภูเขาพังทลายลง
ร่างชายร่างกำยำเผ่าทัณฑ์สวรรค์ถูกค้อนเทพทุบใส่ร่างก่อนจะกลายเป็นจุดแสงสลายไป
“ไม่นึกเลยว่าระหว่างโอรสสวรรค์เจ็ดดาวจะต่างกันมากเช่นนี้ กำลังรบของเจ้านี่แกร่งกว่าเจ้าพวกนั้นก่อนหน้านี้อีก”
เสิ่นเทียนเก็บค้อนนภาม่วงสะท้านฟ้าแล้วอดปาดเหงื่อมิได้
ในช่วงสองวันนี้ที่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กำลังต้อนรับขุมอำนาจจากทุกแห่ง เสิ่นเทียนก็ไม่ได้ว่างเช่นกัน
เขารู้ดีมาตลอดว่าถึงตนจะมีสมบัติทั้งตัว แต่ประสบการณ์ในการต่อสู้ยังเสียเปรียบให้กับโอรสสวรรค์คนอื่นมากเกินไป
จึงกอดความคิด ‘จะไม่เกาะโชคลิขิตใครฟรีๆ’ นี้ไว้ เจ้านี่ตรงมาในหอคอยเทพสงครามและมาประลองกับร่างเงาโอรสสวรรค์พวกนั้น
แต่เยี่ยฉิงชางก็ไม่ได้ว่าอะไรเขา ในทางตรงข้ามกลับชี้แนะเสิ่นเทียนอย่างอดทนเพิ่มประสบการณ์ในการต่อสู้ให้ ในมุมมองเยี่ยฉิงชาง เสิ่นเทียนมีวิชาแข็งแกร่งทั้งตัว แต่เละเทะเกินไป
ถ้าจะเรียนวิชาไร้พ่ายต่อ สู้กินของพวกนี้ให้หมดก่อนจะดีกว่า
ดังนั้นภายใต้การควบคุมดูแลของเยี่ยฉิงชางตลอดสองวันมานี้ เสิ่นเทียนก็เริ่มใช้พลังควบคุมได้แกร่งยิ่งขึ้น เริ่มจากโอรสสวรรค์หกดาว เขาใช้ทองคำเซียนปีกปักษาประชันความเร็วกับโอรสสวรรค์เผ่าเทพปักษาของโลกเซียน
ใช้เถากลืนกินเซียนประชันวิชาเกราะเถากับโอรสสวรรค์เผ่าโก่วหมาง[1] ใช้น้ำมวลหนักปฐมกาลประชันกับเผ่าเทพมหาสมุทรของโลกเซียน
ใช้อัคคีอรุณใต้ประชันกับเผ่าจู้หรง[2] ใช้อัสนีเทพกำเนิดฟ้าประชันกับเผ่าวิญญาณอัสนี
……
ใช้แค่กลอุบายและกำลังรบของฝ่ายอีกมาประลองกัน พยายามเอาชนะในด้านที่อีกฝ่ายชำนาญมากที่สุด ผลคือ…ย่อมถูกแขวนทุบตีอย่างอนาถ
ส่วนอนาถเพียงใดนั้น ตอนนี้กายทองเสิ่นเทียนถูกกระทืบจนแตกแล้ว
อย่างมากก็อีกสามถึงห้าวัน เขาก็จะหล่อหลอมกายทองครั้งแรกสำเร็จ
ขอใช้คำพูดของจิ้งจอกเฒ่าเจ้าเล่ห์เยี่ยฉิงชาง นี่เขาเรียกว่าฆ่าเจ้าไม่ตาย มีแต่ทำให้เจ้าแกร่งขึ้น
แน่นอน เสิ่นเทียนสงสัยหนักมากว่าจิ้งจอกเฒ่านี่คิดจะหาข้ออ้างอยากเห็นตนอับอายหรือไม่
กะเทาะเมล็ดแตงดูอย่างสนุกสนาน ไม่ต้องบอกเลยว่าจะหัวเราะมีความสุขเพียงใด
……
แต่ไม่ว่าอย่างไร จากการประลองกับโอรสสวรรค์พวกนั้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ประสบการณ์การต่อสู้ของเสิ่นเทียนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
นี่ทำให้ทักษะการต่อสู้จริงของเขาเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วน่าตกใจ
แม้แต่เยี่ยฉิงชางยังแอบตกใจที่เจ้าหนูนี่แข็งแกร่งขึ้นเร็วเช่นนี้
สำหรับเสิ่นเทียนในตอนนี้แล้ว หากเขาปลดผนึกกลอุบายและพลังทั้งหมดในตัวได้ โอรสสวรรค์เจ็ดดาวส่วนใหญ่ในหอคอยเทพสงครามจะไม่ใช่คู่ต่อสู้เขาอีก ได้แต่ถูกเขาสลับมาถูกแขวนทุบตี
ถึงอย่างไรรูปแบบการต่อสู้ของเสิ่นเทียนก็ครบทุกด้านจริงๆ คิดหาวิธีปราบโอรสสวรรค์ที่มีรูปแบบการต่อสู้ต่างๆ ได้ ก็เหมือนกับโอรสสวรรค์เผ่าทัณฑ์สวรรค์นั่น เสิ่นเทียนก็ใช้เถากลืนกินเซียนพันธนาการร่างเขาเอาไว้ จากนั้นใช้น้ำมวลหนักปฐมกาลเสริมด้วยน้ำหนักรัวทุบลงไปทีละค้อน
“เจ้าหนูนี่ทุบร่างเงาโอรสสวรรค์เจ็ดดาวของข้าไปอีกคนแล้ว ป่าเถื่อนจริงๆ”
เยี่ยฉิงชางประสานมุทราด้วยความปวดใจนิดๆ เรียกจุดแสงสีทองเหล่านั้นกลับเข้าไปในหอคอย
เสิ่นเทียนยิ้ม “ก็คืนชีพมาได้ไม่จำกัดไม่ใช่รึ! ในหอคอยยังมีโอรสสวรรค์เจ็ดดาวที่แกร่งกว่านี้อีกหรือไม่”
เยี่ยฉิงชางมองค้อน “พอแล้ว หลายวันมานี้เจ้าทุบโอรสสวรรค์หกดาวเจ็ดดาวไปหลายสิบคนแล้ว รู้จักพอเถอะ กลับไปตั้งใจทำสรุปมา ดูดซับประสบการณ์ในการต่อสู้พวกนี้ นี่เทียบได้กับฝึกบำเพ็ญอย่างหนักร้อยปีเลย
อย่ากินละโมบมาก ละโมบมากเคี้ยวไม่ละเอียดอาจจะไม่ใช่เรื่องดี แถมยังสิ้นเปลืองศิลาวิญญาณอีก”
เสิ่นเทียนปาดเหงื่อ เขาสงสัยหนักมากว่าประโยคสุดท้ายต่างหากที่เป็นประเด็นสำคัญ
“เอาเถอะ เจ้าออกไปพักหน่อย จะได้ถือโอกาสปิดด่านบำเพ็ญหลอมกายทองรอบแรกให้เสร็จด้วย”
เสิ่นเทียนห้อยค้อนนภาม่วงสะท้านฟ้าเทพสวรรค์ไว้ตรงเอว ก่อนจะเคลื่อนความคิดเคลื่อนย้ายออกจากหอคอยเทพสงคราม สิ้นสุดการฝึกฝนครั้งนี้
แสงตะวันนอกหอคอยส่องสะท้อนบนกายเสิ่นเทียนอีกครั้ง
ตอนนี้ในสายตาคนมากมายนอกหอคอยเทพสงคราม แสงตะวันสิ้นประกายแสงไปแล้ว เพราะเสิ่นเทียนที่สวมเกราะศักดิ์สิทธิ์หุบเหวมังกรองอาจห้าวหาญมากจริงๆ ทำให้คนเลื่อมใส
เกราะนักรบขยับแสงเทพสีทอง แผ่ปรากฏการณ์พลังเอ่อล้นฟ้าออกมา รวมถึงใบหน้าเนียนสมบูรณ์แบบนั้น
ทุกจุดทั้งตัวเสิ่นเทียนมากพอจะทำให้บุรุษรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ทำให้สตรีคลุ้มคลั่ง
เวลานี้คนมากมายพูดคุยกัน กระทั่งมีศิษย์ฝ่ายเซียนไม่น้อยเฮโลกันเข้ามา
“นี่คือศิษย์พี่เสิ่นเทียนบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์รึ ในที่สุดก็ได้พบเขา รักเลยๆ!”
“ได้ยินชื่อเสียงของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มาตลอดว่ามีใบหน้าสะท้านโลกเหนือสามัญ ตอนนี้ถึงรู้ว่าได้ยินแต่นามสู้พบหน้ามิได้”
“ต้องพบบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ถึงจะรู้ว่าอะไรคือบุรุษรูปงามเป็นหนึ่งแห่งยุค!”
“ศิษย์พี่ชิงอวิ๋น ถอนหมั้นเถอะ! เพราะเหตุใดหรือ เพราะข้าเจอความรักแล้ว หากเจ้ารักข้าจริงๆ ก็หวังว่าเจ้าจะสนับสนุนข้าอย่างเต็มที่”
“องค์ชายบุตรศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินว่าท่านเข้าไปในส่วนลึกสนามรบบรรพกาลและเอาหอคอยเทพสงครามออกมา ขอถามหน่อยว่าสะดวกจะเล่าประสบการณ์หรือไม่”
“องค์ชายบุตรศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินว่ามีเพียงโอรสสวรรค์เจ็ดดาวถึงจะมีสิทธิ์เป็นที่ยอมรับของหอคอยเทพสงคราม ทั้งยังนำมันออกมาได้ แต่ว่าบนศิลาเทพสงครามไม่มีนามของท่าน ขอถามหน่อยว่าท่านพอจะอธิบายได้หรือไม่”
“องค์ชายบุตรศักดิ์สิทธิ์ ได้ยินว่าศิษย์พวกนั้นที่สนิทสนมกับท่านได้ส่วนลดสามส่วนในหอคอยนี่จริงหรือไม่ สำหรับศิษย์คนอื่นและคนจากฝ่ายเซียนอื่นแล้ว นี่ไม่ยุติธรรมหรือไม่”
…….
เอ่อ~
เมื่อเห็นเหล่าชายหญิงที่เฮโลกันเข้ามาแล้ว เสิ่นเทียนก็ปวดสมองขึ้นมา
แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มีพวกนักข่าวซุบซิบโผล่มาได้อย่างไร
เจ้าพวกนี้ล่วงเกินไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าเสิ่นเทียนจะว่าอย่างไรเขาก็เป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่มีชื่อเสียงถูกต้องชอบธรรม จะไปใช้กุมอัสนีกำเนิดฟ้าให้เจ้าพวกนี้นอนหมอบลงไปก็ไม่ได้กระมัง!
โชคดีที่ตอนนี้พวกซ่งฟู้กุ้ยรีบเข้ามา
“ทุกคนหลบหน่อยๆ ศิษย์พี่บุตรศักดิ์สิทธิ์เพิ่งฝึกฝนเสร็จ ต้องการพักผ่อน”
“พวกเจ้าเป็นศิษย์สำนักใด เอาป้ายคำสั่งของสำนักออกมา มีปัญหาอะไรก็ถามพวกเรา”
ศิษย์กลุ่มสวรรค์พิทักษ์ขวางเจ้าพวกนักข่าวซุบซิบจากฝ่ายเซียนอื่นพวกนั้นไว้ข้างๆ กันให้ห่างออกไป
ตอนนี้เองเสิ่นเทียนถึงถอนหายใจโล่งอก
แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกแปลกๆ
เขารู้สึกว่าเจตจำนงกระบี่ในกายตนดูตื่นเต้นขึ้นมาอย่างมาก เหมือนมีกระบี่เทพเล่มหนึ่งกำลังเข้ามาใกล้แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์อย่างรวดเร็ว
เขาเงยหน้าขึ้นช้าๆ
ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไร ชั้นเมฆทั้งหมดบนฟ้าทางตะวันออกของหอคอยเทพสงครามหดตัวรวมกัน เมฆขาวหดตัวพวกนั้นรวมเป็นลักษณะกระบี่ยาวเล่มหนึ่ง แผ่ไอกระบี่หนาวเหน็บ ฉีกมวลอากาศเข้ามา
หากมีความชำนาญในวิถีกระบี่แกร่งพอ ถึงขั้นสัมผัสได้รางๆ ว่ามีเจตจำนงกระบี่รวมกันเหนือฟ้าเก้าชั้น
มันเหมือนกับธารน้ำยาวข้ามผ่านท้องนภา และยังเหมือนกับน้ำตกหมื่นจั้งตกลงมา
เจตจำนงกระบี่แข็งแกร่งเช่นนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกกระบี่ธรรมดาจะเผยออกมาได้เลย
เห็นได้ชัดมากว่ามีเซียนกระบี่ที่สุดแห่งยุคมาเยือนแดนเทพสวรรค์
……
คนที่รู้สึกแปลกๆ ไม่ได้มีเพียงเสิ่นเทียนคนเดียว
ตอนนี้ระดับดวงจิตดรุณขึ้นไปที่อยู่ใกล้ๆ กับโลกเล็กเทพสวรรค์ต่างรู้สึกถึงแรงกดดัน
ไม่ได้มีความเจาะจง แต่เป็นกลิ่นอายพลังที่แผ่มาจากผู้แข็งแกร่งที่ทำให้ผู้อ่อนแอรู้สึกถึงอันตราย
ก็เหมือนกับราชสีห์ที่แม้จะไม่อยากจับละมั่งกิน แต่ละมั่งยืนอยู่หน้าราชสีห์ ก็ยังรู้สึกหวาดกลัวและกดดันจากสัญชาตญาณ
มีร่างคนปรากฏขึ้นรอบๆ หอคอยเทพสงคราม พวกเขาล้วนเป็นเจ้าสำนักและผู้อาวุโสจากแดนเทวาและแดนผาสุกใหญ่ๆ
ตอนนี้ปรากฏตัวไม่ได้มาชมเฉยๆ แน่ แต่มาแสดงความเคารพกระบี่เล่มนั้น
ในที่สุดเจตจำนงกระบี่ในความขมุกขมัวก็เริ่มทรงพลังขึ้น
กระบี่เซียนข้างหลังและในมือศิษย์ฝ่ายเซียนจำนวนมากสั่นไหวเบาๆ
กระทั่งมีกระบี่เซียนในมือนักกระบี่หลายคนออกจากฝัก ปักลงพื้นและเอนไปทางตะวันออกช้าๆ เหมือนกับสวามิภักดิ์ให้กับผู้สูงส่งในกระบี่
ตอนนี้ทุกคนมั่นใจแล้วว่าใช่เขา ใช่เขา นั่นเขา!
ผู้มีพรสวรรค์ในวิถีกระบี่อันดับหนึ่งในสามพันปีมานี้ของดินแดนบูรพา
เจ้ากระบี่ธารนิรันดร์หลี่ชางหลันแห่งแดนเทวาดาวประกายพรึก ผู้อยู่อันดับสามในรายนามระดับหลอมรวมเทพของดินแดนบูรพา
เล่าลือกันว่าเขาฝ่าด่านเคราะห์เป็นผู้อริยะได้นานแล้ว เพียงแต่รู้สึกว่าระดับพลังวิถีกระบี่ของตนยังขัดเกลาไปได้อีก จึงฝืนตัวเองไว้
วันที่เขาฝ่าด่านเคราะห์เป็นผู้อริยะอย่างแท้จริง บางทีอาจได้รับขนานนามว่า…ผู้อริยะกระบี่!
นี่คือนักกระบี่ที่แม้จะมาจากแดนเทวา แต่กลับทำให้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ยังต้องต้อนรับอย่างสมเกียรติ
…..
ค่อยๆ ปรากฏร่างสวมอาภรณ์เนื้อหยาบบนเส้นขอบฟ้าไกลๆ
ทันทีที่ปรากฏ เขาอยู่ห่างจากหอคอยเทพสงครามร้อยลี้ ยังเห็นแค่รางๆ ทว่าเมื่อก้าวออกจากกระบี่ทะลวงฟ้า ก็พุ่งมาปรากฏหน้าหอคอยที่ห่างไปร้อยลี้ท่ามกลางหมื่นเงากระบี่โอบล้อม
ตอนนี้นักกระบี่อาภรณ์เนื้อหยาบอยู่กลางฟ้าดิน กระทั่งในด้านพลังยังกดอยู่เหนือศีรษะเสิ่นเทียน
เวลานี้ ผู้สูงศักดิ์และผู้สูงศักดิ์สวรรค์จากแดนเทวาและแดนผาสุกต่างล้อมกันเข้ามาต้อนรับนักกระบี่ท่านนี้
“เจ้ากระบี่ธารนิรันดร์ ไม่เจอกันหลายสิบปี เจตจำนงกระบี่ของท่านยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แล้ว”
“เจตจำนงกระบี่นี่เหมือนกับสายน้ำยาวไม่ขาดสาย และยังเหมือนแม่น้ำฮวงเหอเอ่อล้น ไม่อาจกักไว้ได้”
“ท่านเจ้ากระบี่ บุตรชายข้ามีใจลุ่มหลงในวิถีกระบี่ ไม่รู้ว่าพอจะมีวาสนาได้ฝึกกระบี่กับท่านหรือไม่ ข้ายินดีมอบของขวัญให้อย่างงาม”
……
เมื่อได้ฟังคำประจบเยินยอของทุกคนรอบกายแล้ว นัยน์ตาของหลี่ชางหลันไม่มีคลื่นอารมณ์ใดๆ เลย
สายตาเขายังคงมองหอคอยสีม่วงพันจั้งนี้
เขาพูดงึมงำว่า “ซากหอคอยนี่คือหอคอยเทพสงครามที่มีชื่อเสียงมาหมื่นปีรึ ตอนนั้นที่ข้าเข้าไปฝึกในสนามรบบรรพกาลก็ไม่เจอหอคอยนี่ ยังเคยนึกเสียดาย ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะมีโอกาสได้สมความปรารถนาเดิม”
ทันใดนั้น หลี่ชางหลันเหมือนสัมผัสอะไรได้
เขามองมาทางเสิ่นเทียน แววตาเพ่งสมาธิทีละนิด
…………………….
[1] เผ่าโก่วหมาง มีหน้าเป็นคน ตัวเป็นนก ขี่มังกรสองตัว
[2] จู้หรง คือเทพเจ้าแห่งไฟ เป็นต้นกำเนิดเทศกาลโคมไฟหยวนเซียว