บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 265 ว่างก็มานั่งเล่นที่ธารหยก
บทที่ 265 ว่างก็มานั่งเล่นที่ธารหยก
“ศิษย์พี่หญิง ท่านเข้าใจศิษย์พี่ฉู่เหอผิดไปแล้ว”
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่ส่งกระแสจิตไป “ครั้งก่อนที่ลัทธิวิญญาณร้ายลอบโจมตี ตันอู่เกือบเจอหายนะ ดีที่ศิษย์พี่ฉู่เหอรีบมา ถึงช่วยข้าไว้ทัน
ข้าเชื่อว่าในใจศิษย์พี่ฉู่เหอยังมีข้าอยู่ ขอแค่ข้าพยายามต่อไปจะต้องทำให้เขาซาบซึ้งใจได้แน่!”
พูดจบผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่ก็มองฉู่เหอ แววตาเต็มไปด้วยความเลื่อมใสและศรัทธา
เจ้าคนหน้าด้านนี่ตั้งใจมาช่วยเจ้าหรือ
ศิษย์น้องหญิง เป็นหญิงอายุพันกว่าปีแล้ว อย่าไร้เดียงสาเช่นนี้ได้หรือไม่
ประกายเซียนเมฆเรืองรองสั่นไหวอย่างรุนแรง เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกแค่นเสียงขึ้นจมูก “เช่นนั้นมารร้ายแห่งลัทธิวิญญาณร้ายนั่นอยู่ที่ใด”
เห็นได้ชัดว่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกก็เป็นคนจงเกลียดจงชังคนเข้ากระดูกดำเช่นกัน ไม่รู้สึกดีกับลัทธิวิญญาณร้ายแม้แต่น้อย
“ประมุขแห่งวิหารโลหิตสังหารถูกข้าขังไว้ในคุกเทพสายฟ้า ไม่มีทางเกิดความผิดพลาดเด็ดขาด”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยิ้ม “เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ชิวเยวี่ยเดินทางมาเหนื่อยๆ ข้าได้เตรียมผลไม้เซียนและสุราดีไว้แล้ว ขอเชิญทุกท่านเข้างานเลี้ยงต้อนรับก่อนเถอะ!”
แม้จะเผชิญหน้ากับเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จางหลงหยวนก็ยังคงวางตัวเท่าเทียม รุกและถอยอย่างพอดี แสดงบุคลิกและเอกลักษณ์ของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ออกมาทั้งหมด
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวด้านข้างมองด้วยตาเป็นประกาย
“เช่นนั้นก็รบกวนสหายหลงหยวนด้วย”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกพยักหน้าอย่างเฉยชา ในใจแอบปลงอนิจจังเงียบๆ
ได้รับการสั่งสอนมาจากอาจารย์คนเดียวกัน เคยเป็นสุดยอดโอรสสวรรค์เหมือนกัน สุดท้ายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์รุ่นก่อนก็เลือกจางหลงหยวนรับตำแหน่งเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ ถือว่ามองการณ์ไกลจริงๆ
เทียบกับฉู่หรงเหอแล้ว เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ตอนนี้แกร่งกว่าทุกด้าน สมกับเป็นเจ้าแห่งความรุ่งเรือง!
…….
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เหยียบสายฟ้าลงพื้นมาช้าๆ
วินาทีนั้นก็มีพรมไหมสีแดงปูมาจากบันไดทางเข้าโลกเล็กเทพสวรรค์จนมาถึงหน้ายอดเขาเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์
สีแดงหล่อหลอมใบไม้โปรยปรายร้อยลี้ ทุกย่างก้าวเกิดดอกบัวต้อนรับธารหยก
พิธีต้อนรับทั้งยิ่งใหญ่และงดงาม
“สหายหลงหยวนเตรียมการอย่างดีเลย”
เสียงของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกดังมาจากประกายเซียนเมฆเรืองรองอย่างเย็นชา ก่อนจะย่างก้าวดอกบัวบนพรม
นางก้าวไม่ยาว แต่กลับเหมือนมีอิทธิฤทธิ์ย่อแผ่นดิน หนึ่งก้าวเดินไปพันจั้ง
ไม่นานทุกคนก็มาถึงยอดเขาเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ หยุดอยู่หน้าวิหารโอ่อ่าแห่งหนึ่ง
ประตูวิหารแห่งนี้มีเด็กหนุ่มสวมเกราะศักดิ์สิทธิ์สีทองยืนอยู่คนหนึ่ง
เขามีคิ้วกระบี่ดวงตาดารา ผมยาวประบ่า สะโอดสะองดั่งเซียนลงมาเยือน และยังมีความองอาจห้าวหาญของเด็กหนุ่ม โดยเฉพาะดวงตา ช่วงที่กะพริบตายังมีความเฉยเมยหลายส่วน และยังเหมือนลึกล้ำจนเข้าใจทุกสิ่ง
ในความเลือนรางนั้นยังคลับคล้ายกับมีมหาสมุทรดาราและธารเมฆกว้างใหญ่ลอยอยู่ตรงกลาง
เหนือชั้น เหนือชั้นมากจริงๆ!
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกกับเจ้าสำนักใหญ่ทุกคนล้วนผ่านอะไรมามากมาย ตอนนี้เห็นเด็กหนุ่มคนนี้ก็ยังอดตกใจมิได้
ไม่อยากเชื่อว่าโลกนี้จะมีบุรุษรูปงามเหนือธรรมดาเช่นนี้อยู่!
เมื่อเห็นพวกเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์มา เด็กหนุ่มก็โค้งตัวเล็กน้อย “อาจารย์ งานเลี้ยงต้อนรับเตรียมพร้อมแล้ว”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พยักหน้าเล็กน้อย “เทียนเอ๋อร์ทำอะไรอาจารย์วางใจเสมอ เชิญทุกท่านเข้าไปกันเถอะ”
เมื่อเอ่ยจบ วิหารแสวงบุญข้างวิหารเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ก็เปิดออก กลิ่นหอมแปลกๆ ลอยโชยมา
ทุกคนเข้าไปนั่งในวิหาร พบว่าทุกโต๊ะวางผลไม้วิญญาณและอาหารล้ำค่าและสุราชั้นเลิศ
นี่คือสิ่งที่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สั่งสมไว้ หากนำผลไม้วิญญาณทุกผลไปไว้ข้างนอก ก็มากพอจะขายได้ราคาเท่าฟ้า
สุราดีในเหยือกก็ไม่ธรรมดาเช่นกัน เป็นสุราวิญญาณอัสนีที่ใช้ผลไม้วิญญาณกับพลังแห่งสายฟ้าบ่มไว้หลายร้อยปี สามารถขัดเกลากายและจิตได้
สำหรับผู้ฝึกบำเพ็ญปกติแล้ว สุราแก้วหนึ่ง ผลไม้ผลหนึ่งก็มากพอจะชะล้างกระดูก กระทั่งยกระดับคุณสมบัติ
…..
เจ้าสำนักใหญ่และผู้อาวุโสทุกคนต่างนั่งประจำตำแหน่งของตน
รุ่นเยาว์ของพวกเขายืนอยู่ข้างหลังด้วยความเคารพ ไม่มีสิทธิ์นั่งร่วมโต๊ะด้วย
ทว่าสิ่งที่ทำให้เสิ่นเทียนจนปัญญาคือ เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กลับกดให้เขานั่งลงข้างบัลลังก์ศักดิ์สิทธิ์
ใช่ คนรุ่นเดียวกันคนอื่นยืน แต่เขานั่ง!
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกมองเสิ่นเทียน ประกายเซียนเมฆเรืองรองบนผิวกายกระเพื่อมเบาๆ “หนุ่มคนนี้คือบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์รึ”
ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กระเพื่อมเบาๆ เช่นกัน “นี่คือเทียนเอ๋อร์ ครั้งนี้ที่เปิดโปงแผนการลับของลัทธิวิญญาณร้ายได้ จะขาดคุณูปการของเขาไปไม่ได้”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกมองผ่านเมฆเรืองรองมาพิจารณามองเสิ่นเทียน “เป็นหนุ่มหล่อเหลาจริงๆ ไม่ใช่แค่หล่อเหลายิ่ง แต่ยังมีมหาดวงชะตาอยู่กับตัว”
ประกายเซียนของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กระเพื่อมต่อ “เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ชิวเยวี่ยชมเกินไปแล้ว ได้ยินว่าช่วงนี้ฝ่ายท่านก็หาผู้สืบทอดที่มีกายวิญญาณแก่นสวรรค์ประทานพบไม่ใช่หรือ ช่างน่ายินดีนัก”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกมองเสิ่นเทียน “หลิงเอ๋อร์มีคุณสมบัติเยี่ยมมากจริงๆ น่าเสียดายที่มีใจให้กับศิษย์ของท่าน เกรงว่าผู้สืบทอดที่ข้าตั้งใจบ่มเพาะ สุดท้ายคงจะเข้าไปอยู่ในอ้อมกอดของโอรสสวรรค์ฝ่ายท่าน!
นี่เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ถึงอย่างไรศิษย์ท่านก็มีหน้าตาสง่าผ่าเผย เป็นที่ชื่นชอบของคนจริงๆ กลัวก็แต่ว่าดอกไม้ร่วงมีนัย น้ำไหลไร้ไมตรี อย่าเอาอย่างบุรุษผู้ทรยศความรักบางคนก็พอ”
คำพูดของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก ทำให้เสิ่นเทียน เซียวหลิงและผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่หน้าแดงเล็กน้อย
แน่นอนว่าผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตไม่ได้หน้าแดง
เขาแค่หันหน้าหนีอย่างไม่เป็นธรรมชาติเล็กน้อย ปลดกระบองข้างหลังตนมาดูนู่นดูนี่
เรื่องความรักคู่ชีวิตอะไรพวกนี้ส่งผลกับการเดินทางไปห้าดินแดนของข้าจริงๆ ภายภาคหน้าข้าจะถูกลิขิตให้ต้องฝ่าด่านเคราะห์โบยบินขึ้นฟ้า ถึงตอนนั้น…
รักทางไกล ไว้ใจไม่ได้หรอก!
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กล่าว “เรื่องของคนหนุ่มสาวก็ให้คนหนุ่มสาวเขาจัดการเองเถอะ! อวิ๋นซีกับเทียนเอ๋อร์มีสัญญาหมั้นหมายกันอยู่ ข้าก็จะไม่บังคับ ทุกอย่างให้เป็นไปตามชะตาแล้วกัน”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกมองเสิ่นเทียนลึกๆ “เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์หลงหยวนพูดถูกที่สุด ทุกอย่างให้เป็นไปตามชะตา
แดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกเป็นแดนข้างเคียง ภายภาคหน้าหากบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สนใจก็มาเป็นแขกที่ธารหยกได้บ่อยๆ ไม่ต้องมองเป็นคนอื่นคนไกล
แดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกรับแค่ศิษย์สตรีเท่านั้น มีสตรีที่มีความสามารถโดดเด่นไม่น้อย โอรสสวรรค์สวรรค์เช่นบุตรศักดิ์สิทธิ์จะต้องได้รับการต้อนรับจากพวกนางอย่างดีแน่นอน”
……
คำพูดง่ายๆ ของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกทำให้คนชราคนอื่นโดยรอบตาอิจฉาตาร้อน
ต้องรู้ว่าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกเป็นที่ยอมรับในดินแดนบูรพาว่ามีหญิงงามดั่งเมฆ
มองโอรสสวรรค์ทั้งดินแดนบูรพา มีใครบ้างไม่อยากตบแต่งกับท่านหญิงเซียนแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกเพื่อเป็นเกียรติ
ตั้งแต่โบราณมา โอรสสวรรค์ที่แดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกแหกกฎเรียกเข้าพบก็มีน้อยมากแล้ว จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเชื้อเชิญก่อน
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกให้ความสำคัญกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ขนาดนี้เชียว!
มีสิทธิ์อะไร หรือเพราะเขาหน้าตาหล่อเหลากัน
เวลานี้เหล่าโอรสสวรรค์ที่ยืนอยู่ข้างหลังผู้อาวุโสของตนต่างปวดร้าว
อีกด้านหนึ่ง เมื่อเห็นเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์สองคนที่ปกคลุมด้วยประกายเซียนนั่งตรงข้ามกันแล้ว เสิ่นเทียนมักจะรู้สึกว่าเหมือนมีประกายไฟกระทบกันอย่างไร้รูป เหมือนกำลังแย่งชิงอะไรบางอย่าง
จะว่าไป อาจารย์จัดงานเลี้ยงคนใหญ่คนโตระดับเจ้าสำนักและเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ เหตุใดต้องให้ข้ามาอยู่ด้วยล่ะ
คนใหญ่คนโตระดับสุดยอดพวกนี้กินข้าว แล้วจะให้ไก่อ่อนระดับกายทองอย่างข้านั่งอยู่ด้วย ไม่เหมาะสมกระมัง!
เกิดในงานเลี้ยงต้อนรับมีคนแค้นข้า กลับไปลอบทำร้ายข้าจะทำอย่างไร
ถึงอย่างไรการลอบกัดในที่ลับก็ป้องกันยาก ต้องอยู่เงียบๆ ต่างหากคือราชธรรม!
อาจารย์ ไฉนท่านถึงไม่ให้ศิษย์ใช้ชีวิตไปวันๆ กันนะ!
…….
เสิ่นเทียนนั่งตรงตำแหน่งนี้ รู้สึกนั่งไม่ติดพื้นแล้ว
โชคดีที่การพูดคุยก่อนงานเลี้ยงจบลงอย่างรวดเร็ว เจ้าสำนักฝ่ายเซียนใหญ่ๆ ต่างเริ่มคุยเรื่องจริงจังกัน
“ความจริง ครั้งนี้ข้าใช้นามของหอคอยเทพสงครามเชิญทุกท่านมา ไม่ใช่แค่เพราะเรื่องหอคอยเทพสงคราม”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จางหลงหยวนประกายสายฟ้าไหลเชี่ยว “สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือข้ารู้ตำแหน่งแม่นยำของวิหารเจ็ดสังหารของลัทธิวิญญาณร้ายแล้ว
พรุ่งนี้ยามเที่ยงคืนจะเป็นวันที่มารสวรรค์พุ่งชนดาวชิกสัวะในรอบสามพันปี เหมาะจะให้สาวกลัทธิวิญญาณร้ายหลอมอาวุธวิญญาณร้ายมากที่สุด
ข้าหวังว่าจะรวมพลังของทุกคนลงมือทำลายวิหารเจ็ดสังหารอย่างฉับพลันก่อนมารสวรรค์พุ่งชนดาวชิกสัวะ ไม่เช่นนั้นหากปีศาจแห่งวิหารเจ็ดสังหารกระจัดกระจายกันไปสร้างความเดือดร้อนสี่ทิศและหลอมอาวุธวิเศษชั่วร้ายขึ้น ต่อให้ทุกฝ่ายเซียนจะมีพลังรวมกันเหนือกว่าลัทธิชั่วร้าย ก็เกรงว่ายังเหลือบ่ากว่าแรง”
แม้จางหลงหยวนจะพูดเสียงเฉยชา แต่คำพูดเขากลับทำให้ผู้สูงศักดิ์และผู้สูงศักดิ์สวรรค์ในวิหารตื่นตกใจ
ตั้งแต่โบราณมา ลัทธิวิญญาณร้ายซ่อนตัวลึกยิ่ง
พวกเขาโจมตีและเปลี่ยนที่ไป ยากจะตามรอยได้
ปกติการทำลายแหล่งกบดานเล็กหนึ่งถึงสองแห่งของลัทธิวิญญาณร้ายก็ถือว่าเป็นคุณูปการยิ่งใหญ่แล้ว
ไม่นึกเลยว่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จางหลงหยวนจะสืบเจอวิหารย่อยหนึ่งในนั้น!
พึงรู้ไว้ว่าวิหารย่อยจำนวนมากของลัทธิวิญญาณร้ายนั้น อย่างอ่อนแอที่สุดก็มากพอจะต่อต้านกับแดนเทวาแดนผาสุกธรรมดาได้
หลายวิหารย่อยที่แข็งแกร่งที่สุดในนั้นถึงขั้นกล้าง้างมือใส่แดนศักดิ์สิทธิ์ที่ค่อนข้างอ่อนแอ เพียงแค่ศักยภาพแฝงเป็นรองเท่านั้น
หากทำลายวิหารย่อยส่วนหนึ่งของลัทธิวิญญาณร้ายได้จริงๆ จะไม่ได้แค่เสริมบารมีของฝ่ายเซียนดินแดนบูรพาอย่างมากเท่านั้น
โชคลิขิต โอกาสวาสนา และสมบัติที่วิหารย่อยนั้นสะสมมาเป็นหมื่นปี…ก็มากพอดูเช่นกัน แม้แต่แดนศักดิ์สิทธิ์ยังใจสั่น!
……………………..