บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 273 สรรพสัตว์เท่าเทียม หมื่นภูตผีไร้พรมแดน
- Home
- บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน
- บทที่ 273 สรรพสัตว์เท่าเทียม หมื่นภูตผีไร้พรมแดน
บทที่ 273 สรรพสัตว์เท่าเทียม หมื่นภูตผีไร้พรมแดน
“หมาป่าละโมบกลืนฟ้า!”
ผู้อริยะทันหลางแผ่ไอดำเข้มข้นออกมา กลายเป็นหมาป่าพันจั้งกระโจนใส่ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกต
ทว่ากระบองเทพทองคำในมือผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตพลันยาวขึ้นหลายพันจั้ง กวาดหมาป่ายักษ์จากหมอกดำนั้นสลายไป
ผู้อริยะทันหลางทั้งบุกทั้งถอย หวังว่าจะร่วมมือกับผู้อริยะชีซากับโพ่จวินสังหารผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตได้
น่าเสียดายก็แต่ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตไม่ใช่ตัวคนเดียว
เมื่อเขตแดนซาโพ่หลางพังลง ก็ปรากฏร่างคนขึ้นกลางแดนปรโลกมากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์เก้าคนมาถึงทีละคน ผู้สูงศักดิ์ร้อยแปดคนรวมเป็นกองกำลังรบเช่นกัน สร้างขึ้นเป็นค่ายกลสิบกว่ากลุ่ม
ค่ายกลศึกพวกนี้รวมกำลังของระดับผู้สูงศักดิ์เข้าด้วยกัน บรรลุถึงระดับที่ต่อต้านกับผู้สูงศักดิ์สวรรค์ได้ เป็นมรดกหัวใจสำคัญของฝ่ายเซียน
หากมีคนวางค่ายกลมากพอ ถึงขนาดต่อต้านผู้สูงศักดิ์สวรรค์ไปจนถึงครึ่งผู้อริยะได้ในเวลาสั้นๆ ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้!
ตอนนี้กองกำลังฝ่ายเซียนส่วนใหญ่รับสารจากเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์และรีบเดินทางมาปิดล้อมไว้ทั้งหมดแล้ว
กองกำลังขนาดใหญ่เช่นนี้รวมกับผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวแดงและผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่แล้ว ก็มากพอจะกดดันผู้อริยะชีซากับผู้อริยะโพ่จวินได้
“บัดซบ นี่คือฝ่ายทางการที่มีชื่อเสียงรึ เก่งจริงก็มาดวลกับข้าตัวต่อตัวสิ”
ผู้อริยะชีซาถูกผู้สูงศักดิ์สวรรค์เก้าคนกับผู้สูงศักดิ์ห้าสิบสี่คนปิดล้อมโจมตี ทางด้านผู้อริยะโพ่จวินที่แกร่งกว่าถูกผู้สูงศักดิ์สวรรค์หกคนกับผู้สูงศักดิ์ห้าสิบสี่คนปิดล้อม
ความได้เปรียบทั้งหมดของสองคนถูกอีกฝ่ายร่วมมือกันลบล้างไป เหมือนสู้กันบนใยฝ้าย รู้สึกคับอกคับใจอย่างยิ่ง
แน่นอนว่าคนที่คับอกคับใจที่สุดคือผู้อริยะทันหลาง
ถึงอย่างไรชีซากับโพ่จวินก็ถูกผู้สูงศักดิ์สวรรค์ปิดล้อม แต่เขาโดนผู้สูงศักดิ์สวรรค์กระทืบ
เกียรติของผู้อริยะผู้ยิ่งใหญ่หายไปหมดแล้ว~
“ฟาดหัวสุนัขแห่งกระบองตามใจนึก!”
กระบองเทพทองคำสาดเงากระบองออกมาหลายเงา ฟาดผู้อริยะทันหลางกระเด็นไปพันจั้ง ตกลงพื้นอย่างแรง
เขาหน้าซีดขาว สีหน้าย่ำแย่เหมือนกับกินอุจจาระ “สารชั่ว นี่เจ้าหนุ่มกล้ารังแกข้าเช่นนี้ วันนี้ข้าจะฉีกเจ้าให้เป็นหมื่นชิ้น!”
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตควงกระบองเทพทองคำไว้บนบ่า ก่อนแสยะปากยิ้ม “ข้าก็อยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว มาฉีกข้าสิ~”
ท่าทางยียวนกวนประสาท
ทันใดนั้น ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ก่อนจะถอยออกมาอย่างฉับพลัน แต่ก็สายไปแล้ว มีมือยักษ์ข้างหนึ่งโผล่มาจากอากาศ บีบผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตไว้ในมือ
ฝ่ามือนี้มีขนาดใหญ่หลายจั้ง เปล่งแสงสีทองระยิบระยับ ตรงกลางฝ่ามือยังมีตราพุทธสัญลักษณ์สวัสติกะ เหมือนกับฝ่ามือพุทธแท้
ทว่าสิ่งที่แปลกคือผิวฝ่ามือพุทธนี้ปกคลุมด้วยมนตร์สีดำหนาแน่น แผ่กลิ่นอายแปลกประหลาด ทำให้ทั้งฝ่ามือมีความชั่วร้ายเพิ่มมาหลายส่วน เหมือนพุทธ เหมือนมาร เหมือนภูตผี เต็มไปด้วยความขัดแย้งกัน
“ยอดฝีมือระดับเจ้าอริยะกล้าลอบโจมตีข้ารึ ออกไป ออกไป!”
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตดิ้นรนไม่หยุด กระบองเทพทองคำในมือจู่โจมด้วยพลังจิตอย่างรุนแรง
น่าเสียดาย สามรอบคืออริยะแท้ ห้ารอบเรียกว่าเจ้าอริยะ เจ้าของฝ่ามือนี้มีระดับพลังลึกล้ำสูงส่ง ไม่ธรรมดาอย่างยิ่ง
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตยากจะหลุดออกมาได้ในเวลาสั้นๆ
มีเสียงสวดประหลาดดังขึ้นในอากาศตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ ดอกบัวสีทองลอยขึ้นทีละดอก ทว่าดอกบัวทุกดอกประทับลายมารสีดำไว้
ร่างหนึ่งก้าวเดินออกมาจากดอกบัว
ร่างครึ่งทางซ้ายสวมจีวรสีขาวจันทร์ ไม่เหมือนนักบวชศักดิ์สิทธิ์ของโลก
ครึ่งร่างทางขวากลับสวมเกราะนักรบสีดำน่าสยดสยอง ราวกับเทพอสุราจากนรกที่กระหายในสงครามโลหิต
การแต่งกายขัดแย้งและน่าขัน ทว่ากลิ่นอายพลังน่าสะพรึงที่กระจายมาจากในตัวเขากลับทำให้คนหัวเราะไม่ออก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือจอมมารที่สุดแห่งยุค!
“อาตมาอู๋เซิง ขอคารวะสหายทุกท่าน”
เจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงถือลูกประคำพวงหนึ่งตรงมือซ้าย โค้งตัวน้อมคำนับ
เขาดูเหมือนถ่อมตัวมาก กระทั่งกล่าวได้ว่ามีมารยาท โอนอ่อนตาม
ทว่าตอนที่เอ่ยคำว่าอู๋เซิง กลับทำให้ทุกคนในแดนปรโลกหน้าเปลี่ยนสี
เพราะนามนี้มีชื่อเสียงโด่งดังมากจริงๆ
เจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิง หนึ่งในสี่เจ้าผู้คุ้มกฎแห่งลัทธิวิญญาณร้าย มีถิ่นกำเนิดจากแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนี
เขาเป็นโอรสสวรรค์ยุคเดียวกับจักรพรรดิฮวงสือ มีชื่อเสียงเมื่อแปดพันปีก่อน และเป็นโอรสสวรรค์สูงสุดของฝ่ายพุทธ
เล่าลือว่าตอนที่เขาเกิดมีแสงพุทธหมื่นจั้งสาดส่อง พระพุทธรูปทองคำที่บูชาในบ้านเปล่งแสงเวท เหมือนกับพระพุทธแท้กลับชาติมาเกิด
เพราะปรากฏการณ์ธรรมชาตินี้เอง เขาจึงเข้าฝ่ายพุทธตั้งแต่เยาว์วัย แดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีเลือกให้เป็นบุตรพุทธะทันที
และพรสวรรค์การบำเพ็ญของอู๋เซิงก็ไม่ได้ทำให้เสียความยิ่งใหญ่ตอนกำเนิด
ไม่ว่าจะวิชาฝ่ายพุทธใด เขาแค่เรียนรู้ก็เป็นเลย ฝึกครั้งเดียวก็ชำนาญ กระทั่งพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นได้ ผ่านไปไม่นาน ไม่ว่าจะหลักการธรรม พระธรรม อภินิหาร เขตแดน อู๋เซิงก็เข้าใจได้ในระดับสูงสุด กระทั่งเหนือกว่าเจ้าพุทธะ
และเพราะพรสวรรค์ที่สูงมากเกินไป ยอดเยี่ยมเกินไป ระดับพลังรุดหน้าเร็วเกินไป เขาถึงเจอกับสิ่งต้องห้าม
เขาเริ่มสงสัยความหมายแท้จริงของฝ่ายพุทธ สงสัยวิธีที่แดนศักดิ์สิทธิ์มอมเมาพุทธสาวก กระทั่งสงสัยว่าเหล่าพระพุทธองค์ที่ว่ามีเมตตาจริงหรือไม่
ดังคำกล่าวว่าพุทธมารคือเนื้อเดียวกัน สติปัญญาเลิศล้ำของอู๋เซิงก็มาจากความคิดมารของเขา
ถ้าเป็นเจ้าโง่บุตรพุทธะขู่ตัวคงไม่คิดอะไรมาก แต่อู๋เซิงเกิดมารเข้าแทรกระหว่างปิดล้อมวิญญาณร้ายครั้งหนึ่ง
บางทีอาจจะเป็นเพราะกระหายในพลังใหม่ หรือได้คำตอบที่สับสนในใจจากเผ่าวิญญาณร้าย บางที…
กล่าวคือ อู๋เซิงย้ายข้างในการปิดล้อมวิญญาณร้ายครั้งนั้น ทำให้ฝ่ายพุทธโลหิตไหลนองเป็นสายน้ำ
คนระดับนักบวชศักดิ์สิทธิ์สิ้นลงไม่ต่ำกว่าสามคนเพราะเหตุนี้ ทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีเสียหายอย่างหนัก ทางด้านอู๋เซิงก็ถวายตัวให้ลัทธิวิญญาณร้ายอย่างเป็นทางการ เป็นหนึ่งในลัทธิวิญญาณร้าย หนึ่งในสี่เจ้าผู้คุ้มกฎที่อยู่เหนือกว่าหมื่นคน!
เมื่อแปดพันปีก่อน เจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงก็เป็นนักบวชศักดิ์สิทธิ์ที่สุดแห่งยุคของดินแดนบูรพาแล้ว กระทั่งยุคที่รุ่งเรืองที่สุดยังเคยประมือผ่านมิติกับจักรพรรดิฮวงสือ
ตอนนี้เวลาผ่านมาเนิ่นนาน ระดับพลังเขาสูงเพียงใดไม่มีใครคาดการณ์ได้
ตามหลักแล้ว คนระดับสี่เจ้าผู้คุ้มกฎอย่างอู๋เซิงจะอยู่ฐานใหญ่ของลัทธิวิญญาณร้ายในดินแดนทวีปกลาง
เหตุใดถึงมาปรากฏในวิหารย่อยเล็กๆ อย่างวิหารเจ็ดสังหารอย่างน่าประหลาดเช่นนี้ อีกทั้งยังเรียกรวมผู้อริยะชีซาและโพ่จวินมาอีก
หรือว่าครั้งนี้ลัทธิวิญญาณร้ายเตรียมจะทะลวงทวาร
ความคิดนี้บ้าระห่ำมาก ฝ่ายอธรรมตอนนี้โอหังเช่นนี้เชียวหรือ
กองกำลังพันธมิตรฝ่ายแดนศักดิ์สิทธิ์มาครบแล้ว พวกเจ้าไม่รีบหนี แต่จะสวนกลับรึ
นี่เจ้าไม่เล่นตามบทเกินไปแล้ว!
……..
เจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงเหมือนจะพอใจกับการปฏิกิริยาของฝ่ายเซียนทุกคนมาก เขามองเสิ่นเทียนช้าๆ
ตอนนี้เสิ่นเทียนเก็บถาดวัฏจักรหกมรรคกับจักรพรรดิบุปผาฟากฝั่งไปแล้ว แต่ยังมีกลิ่นอายพลังอยู่
เจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงมีดวงตาลึกล้ำ เผยรอยยิ้มออกมา “อาตมาไม่ได้มีเจตนาจะเป็นศัตรูกับทุกท่าน ขอให้ทุกท่านอย่าเข้าใจผิด เพียงแต่สหายน้อยคนนี้ยังไม่ได้รับการอนุญาตจากอาตมา ก็เด็ดดอกไม้ฟากฝั่งที่อาตมาปลูกไป นี่ไร้เหตุผลจริงๆ ขอให้คืนอาตมาด้วย
อาตมารับรองว่าจะไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นทุกคน แต่จะพาทุกคนไปแดนสุขาวดีโดยไม่เจ็บปวดใดๆ ว่าอย่างไร”
ตอนเอ่ยสองประโยคแรก เจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงยังเปล่งแสงพุทธจางๆ ดูเป็นมิตรมาก ทว่าหลังจากพ่นคำว่าแดนสุขาวดี เปลวไฟมารร่างซีกขวาของเขาก็พุ่งพรวดขึ้น
ก่อนจะมีฝ่ามือพุทธลวดลายมารยักษ์อีกข้างโผล่มาข้างหลังเสิ่นเทียน
เหมือนกับตอนโจมตีผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกต!
เจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงโจมตีรวดเร็วและฉับไวยิ่ง ทำให้ทุกคนโดยรอบตั้งตัวไม่ทัน
จนเมื่อผู้สูงศักดิ์สวรรค์ทุกคนตั้งสติกลับมาได้ ฝ่ามือเขาแทบจะประกบกันแล้ว ไม่ให้โอกาสเสิ่นเทียนหนีแม้แต่นิด ทว่าตอนนี้เอง มีประกายสายฟ้าหนึ่งพุ่งออกมาจากอากาศ ตามด้วยเสียงเฉยชาดังเนิบนาบ
“ผู้อาวุโสอู๋เซิงรังแกศิษย์ของข้าเช่นนี้ คงจะไม่เหมาะสมกระมัง!”
เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น ประกายสายฟ้านั้นก็พลันกลายเป็นแสงกระบี่พร่างพราวฉีกฝ่ามือพุทธใหญ่ยักษ์นั้น
ร่างที่อยู่กลางสายฟ้าประกายเซียนโผล่มาตรงหน้าทุกคน หากไม่ใช่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แล้วจะเป็นใคร
และด้านข้างเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยังมีหญิงร่างอรชรที่อยู่กลางประกายเซียนเมฆเรืองรองอีกคน นั่นคือเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกเหยาชิวเยวี่ย
คนที่เมื่อครู่ใช้สายฟ้าฉีกแยกฝ่ามือพุทธของเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงคือเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ตอนนี้เขาพร้อมรบทุกเมื่อแล้ว
ถึงอย่างไรก็ไม่มีผู้อริยะคนใดรู้ดีไปกว่าเขาว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งเพียงใด!
การปรากฏตัวของสองเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ทำให้ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ทุกคนมั่นใจขึ้นมาหลายส่วน
ทางด้านเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงกลับยังคงยิ้มราบเรียบ “สายน้ำไหลไปไม่ไหลคืน ดั่งวัยเยาว์ไม่หวนกลับมา! ได้ยินมานานแล้วว่าเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จางหลงหยวนรุ่นนี้มีความสามารถรอบด้าน นำพาแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่ตกต่ำให้ยิ่งใหญ่อีกครั้ง วันนี้ได้พบแล้วก็ไม่ธรรมดาจริงๆ
ทั้งสองท่านซ่อนตัวในเงามืดนานขนาดนี้ แต่กลับเผยตัวเพราะสหายน้อย ดูท่าทางเขาคงสำคัญในใจพวกเจ้ามาก”
สายฟ้าประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กระเพื่อมเบาๆ เขาเอ่ยอย่างเย็นชา “เทียนเอ๋อร์คือศิษย์ของข้า เขาสำคัญมากในสายตาข้าอยู่แล้ว
ผู้อาวุโสรังแกผู้เยาว์ ลงมือกับศิษย์ข้า วันนี้คงต้องบอกว่าทำเกินไป!”
เมื่อเอ่ยจบ คัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์สีทองลอยขึ้นมาในมือของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์
อักขระสายฟ้าประหลาดมากมายพุ่งออกมาจากคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะปกคลุมเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงไว้ในพริบตา แล้วเหนี่ยวนำสายฟ้าในฟ้าดินลงมาจู่โจม
ทว่าเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงกลับไม่มีสีหน้ายำเกรงแม้แต่น้อย เพียงยิ้มเรียบๆ เหมือนกับพุทธแท้บรรลุซึ้งถึงแก่นธรรม
“โลกงดงาม สหายกลับอารมณ์ร้ายเช่นนี้ แบบนี้ไม่ดี ไม่ดี”
สายฟ้าจากฟ้าดินผ่าลงบนตัวเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงอย่างไม่มีอะไรมาขวางกั้น แต่กลับทำอันตรายเขาไม่ได้สักนิด
ทั้งตัวเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงเหมือนกลายเป็นเงาฟองอากาศมายา แตกกระจายภายใต้สายฟ้าจู่โจม สลายหายไปตามอากาศบิดเบี้ยวต่อหน้าทุกคน
“หนี…หนีไปแล้วรึ”
เจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงหายไป เปลวไฟเทพสีมรกตทั้งตัวผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตลุกโชนขึ้นมา ดิ้นหลุดมาจากฝ่ามือพุทธได้
เขาถือกระบองเทพทองคำพลางกระทืบเท้าด้วยความโมโห “ศิษย์น้อง เจ้าเห็นว่าศิษย์พี่ถูกจับตั้งนานแล้ว ไฉนถึงไม่ออกมาช่วยข้า”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เอ่ยอย่างเย็นชา “ข้าเพิ่งมาถึง จึงลงมือไม่ทัน ศิษย์พี่อย่าเข้าใจผิด”
‘ข้าไม่ใช่ ข้าเปล่า อย่าพูดจามั่วซั่ว’
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตมุมปากกระตุกเล็กน้อย ‘ข้าเชื่อเจ้าสิถึงจะแปลก เจ้าชั่วใจดำ’
เหมือนรู้สึกได้ถึงความแค้นที่แผ่มาจากตัวผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกต สายฟ้าประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กระเพื่อมเบาๆ
เขาพูดอย่างเย็นชาว่า “ความจริงแล้วหากเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงไม่ลงมือกับเทียนเอ๋อร์ ข้ากับเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกก็ไม่คิดจะบุ่มบ่ามเข้ามาในเขตแดนนี้อยู่แล้ว”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกพยักหน้าอย่างจริงจัง ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆ “เขตแดนที่นี่แปลกมาก พวกเรารีบออกไปให้เร็วที่สุด”
……
เพิ่งพูดจบก็เกิดการเปลี่ยนแปลงประหลาดขึ้น
พบว่าชีซา โพ่จวิน และทันหลางสามผู้อริยะแห่งลัทธิวิญญาณร้ายหัวเราะเยาะพร้อมกัน
เดิมทีพวกเขาถูกค่ายกลเทพของฝ่ายเซียนขังไว้ ออกมาไม่ได้ในเวลาสั้นๆ นี้ กระทั่งถูกสะกดเอาไว้ ทว่าตอนนี้สามผู้อริยะกลายเป็นประกายสายรุ้งโลหิตสายหนึ่งมุดหายไปในดิน หรืออาจพูดได้ว่ามุดเข้าไปในแดนปรโลกแห่งนี้
พริบตาต่อมา ทั้งแดนปรโลกมีเสียงสวดมนต์ที่ชัดเจนและประหลาดดังขึ้นมา
อักขระมนตราพิลึกมากมายลอยขึ้นจากอากาศ ลวดลายเทพสีโลหิตนับไม่ถ้วนตัดสลับกันบนพื้นดิน ทันใดนั้นปรากฏเงามายาพระพุทธองค์เก่าแก่ขึ้นกลางฟ้าดินทีละรูป เพียงแต่พระพุทธองค์ทุกรูปเต็มไปด้วยลวดลายมารสีโลหิต
พวกเขาเปล่งแสงมืดหม่นราวกับมาร เต็มไปด้วยความแปลกประหลาด
เมื่อเงาพุทธปรากฏขึ้น ผู้สูงศักดิ์สวรรค์และผู้สูงศักดิ์ทั้งหมดต่างหน้าเปลี่ยนสีทันที
“ระดับพลังข้าถูกกดเหลือแค่แก่นพลังทอง เป็นไปได้อย่างไร!”
“ข้าก็เหมือนกัน รวมพลังระดับหลอมรวมเทพไม่ได้เลย เป็นไปได้อย่างไร!”
“เพลิงเทพพิฆาตมารรวมให้ข้า! บัดซบ ทำไมข้าถึงรวมหงส์ไฟผลาญฟ้าได้แค่นิดเดียวเอง!”
……
เวลานี้เหล่าทหารเสียขวัญหมดแล้ว แม้แต่ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กับเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกยังสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มีแนวโน้มว่าจะถูกกดเข้าไปในกาย
“แย่แล้ว นี่มันวิชาต้องห้ามสูงสุดที่หายสาบสูญไปเมื่อหมื่นปีก่อนของฝ่ายพุทธ…เขตแดนสรรพสัตว์เท่าเทียม!”
สีหน้าภายใต้ประกายเซียนของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกย่ำแย่มาก
ตนเป็นถึงเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกรู้ความลับมากกว่าผู้บำเพ็ญเซียนปกติ
เขตแดนสรรพสัตว์เท่าเทียมเป็นสุดยอดเขตแดนที่นักบวชศักดิ์สิทธิ์ผู้เก่งกาจคนหนึ่งของฝ่ายพุทธสร้างขึ้นเมื่อหลายหมื่นปีก่อน
เขตแดนนี้มีผลเหมือนกับกฎเกณฑ์ของสนามรบบรรพกาล จะกดกำลังของศัตรูลงไป แต่วิธีการโดยละเอียดแตกต่างกัน
สนามรบบรรพกาลกดระดับพลังลงจากกฎฟ้าดิน ลดพลังลงมาถึงระดับที่แน่นอน
อย่างเช่นสนามรบบรรพกาลใกล้ๆ กับอาณาจักรต้าเหยียน ก็กดระดับพลังของทุกคนลงมาอยู่ระดับสร้างฐาน แต่เขตแดนสรรพสัตว์เท่าเทียมคือการกดระดับพลังของทุกคนในนั้นลงมาถึงระดับเดียวกับผู้ที่มีระดับพลังต่ำที่สุด
หรือก็คือ กำลังรบของผู้บำเพ็ญเซียนททุกคนในเขตแดนสรรพสัตว์เท่าเทียมจะมีความเท่ากันทั้งหมด
แน่นอนว่าการจะวางเขตแดนสรรพสัตว์เท่าเทียมยิ่งใหญ่ปกคลุมผู้แข็งแกร่งฝ่ายเซียนมากขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ต่อให้เป็นเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงก็ต้องจ่ายสูงมาก กระทั่งเสียพลังต้นกำเนิดไปจำนวนมาก
ความจริงแล้ว เดิมทีเขาคิดจะใช้กลอุบายทุกอย่างถ่วงเวลาพันธมิตรฝ่ายเซียนไว้ รอวันที่มารสวรรค์พุ่งชนดาวชิกสัวะแล้วค่อยใช้พลังแห่งเงามืดลับมหาศาลจัดวางค่ายกล
ใช้ตรงนี้กวาดล้างกองกำลังฝ่ายเซียนทั้งหมด!
แต่เขาไม่นึกเลยว่าในกองกำลังฝ่ายเซียนจะปรากฏตัวแปรอย่างเสิ่นเทียน ก่อกวนแผนการทุกอย่างของเขา
ค่ายกลมายาสะพานจำใจ ถูกทำลายในพริบตา
แท่นไฟกรรมนรกถูกดูดซับจนแหลกสลายไป
กระทั่งบุปผาจักรพรรดิฟากฝั่งที่เจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงเลี้ยงมาหลายพันปียังถูกเขาเอาไป
ควรรู้ไว้ว่าเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงวางยอดค่ายกลสะท้านโลกกวาดล้างกองกำลังฝ่ายเซียนทั้งหมดก็เพื่อเลี้ยงดอกไม้ เขาหวังจะใช้พลังปราณเดิมที่เต็มไปด้วยชีวิตของกองกำลังมาเลี้ยงจักรพรรดิบุปผาฟากฝั่ง ทำให้มันเบ่งบานในวันที่มารสวรรค์พุ่งชนดาวชิกสัวะ จากนั้นหลอมรวมมันอย่างเป็นทางการ
หากเป็นเช่นนั้น เขาจะมีพลังมหาศาลของจักรพรรดิบุปผาฟากฝั่งที่ควบคุมหยินหยางและพลิกกลับความเป็นตาย ได้กลายเป็นที่สุดของโลก!
ตอนนี้แผนการหลายพันปีกำลังจะสำเร็จแล้ว เขาจะปล่อยให้เสิ่นเทียนทำเสียเรื่องได้อย่างไร
ต่อให้เสียพลังปราณเดิมอย่างหนัก เขาก็ต้องชิงจักรพรรดิบุปผากลับมาให้จงได้!
…….
“ไม่ได้ เขตแดนสรรพสัตว์เท่าเทียมรวมพลังของสี่ผู้อริยะ ทั้งยังมีเขตแดนภูผานทีของแดนปรโลกช่วยเสริม ทำลายไม่ได้เลย”
ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกหุบเข้าไปทั้งหมด ใบหน้างามของนางมีความจริงจัง
การปิดล้อมครั้งนี้ กองกำลังฝ่ายเซียนประมาทเกินไปจริงๆ
ในการปิดล้อมฐานย่อยของลัทธิวิญญาณร้ายทุกครั้งในอดีต อีกฝ่ายจะลนลานและหนีไปเหมือนกับสุนัขเสียเจ้าของ
สองแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ หกแดนเทวารวมถึงสิบสองแดนผาสุกคาดไม่ถึงเลยว่า วิหารเจ็ดสังหารจะกล้าเสี่ยงตายปะทะกับกองกำลังฝ่ายเซียน กระทั่งคิดจะกวาดล้างกองกำลังฝ่ายเซียนทั้งหมด!
พวกเขาไม่กลัวว่ากำลังเสริมของแดนศักดิ์สิทธิ์ แดนเทวาและแดนผาสุกจะมาถึง แต่จะฆ่าล้างบางพวกเขา!
ประมาท ประมาทแล้ว
ตอนนี้ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์บางลงไปมาก แต่ก็ไม่ได้หายไป ยังคงปกคลุมรอบตัว กระเพื่อมเบาๆ
ให้ความรู้สึกที่ลึกลับไม่อาจคาดเดาอย่างหนึ่ง
เขาพูดนิ่งๆ ว่า “ทุกคนใจเย็นอย่าตระหนก ใจร้อนแก้ปัญหาอะไรไม่ได้”
เอ่ยจบแล้วเขาก็มองเสิ่นเทียน “เทียนเอ๋อร์ เมื่อครู่เจ้าไม่เป็นไรนะ!”
การกระทำของเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทำให้คนมากมายเหลือเชื่อ
เวลาแบบนี้ เจ้าจะสงบนิ่งเกินไปแล้ว!
ต่อให้เจ้าเป็นห่วงศิษย์ ก็รอทุกคนออกไปได้ก่อนแล้วค่อยเป็นห่วงไม่ได้รึ
ตอนนี้ทุกคนติดอยู่ในกับดัก ไม่ควรจะเร่งคิดหาทางฝ่าออกไปหรือ
เอาเวลาอันมีค่ามาห่วงใยศิษย์ หรือคิดว่าศิษย์เจ้าคือบุตรแห่งโชคจริงๆ จะอาศัยดวงชะตาฝ่าออกไปได้รึ
เวลานี้ ภายในใจคนมากมายกำลังคลุ้มคลั่ง
แต่เสิ่นเทียนได้ฟังคำพูดห่วงใยของอาจารย์แล้วกลับอบอุ่นในใจ
เขาโค้งตัวกล่าว “ขอบคุณที่อาจารย์เป็นห่วง ศิษย์ไม่เป็นอะไร อีกทั้งระดับพลังไม่ได้ถูกจำกัดด้วย”
อะไรนะ ระดับพลังของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ไม่ได้ถูกจำกัดไว้หรือ
เวลานี้ คนมากมายตาเป็นประกายเล็กน้อย
หรือว่าในตัวบุตรศักดิ์สิทธิ์คนนี้จะมีความมหัศจรรย์จริงๆ สามารถต่อกรกับเขตแดนสรรพสัตว์เท่าเทียมได้
ตอนนี้เอง ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวมรกตด้านข้างพูดด้วยความคับอกคับใจ “เจ้าต้องไม่ถูกลดระดับพลังอยู่แล้ว ก็เจ้ามันแค่กายทองเท่านั้น”
ขณะนี้ทั้งแดนปรโลกเงียบสงัด
เป็นการอธิบายที่มีเหตุผลมาก~
……….
ทันใดนั้นเอง เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกที่หาทางทำลายเขตแดนมาตลอดมีสีหน้าเป็นสมาธิเล็กน้อย “ทุกคนระวัง มีบางอย่างใกล้เข้ามา!”
เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกเพิ่งเอ่ยจบก็พบว่าแผ่นดินเริ่มแตกร้าวช้าๆ เงาสีดำพุ่งขึ้นมาจากส่วนลึกของใต้ดินทีละร่าง พวกมันมีไฟกรรมลุกโชตช่วงทั้งตัว มีสีมรกตทั้งตัว มองแวบแรกก็รู้ว่ามีพิษร้ายแรงอันน่าสะพรึง
ใช่แล้ว นี่คือผีร้ายมากมายมหาศาลที่ผู้ฝึกบำเพ็ญลัทธิวิญญาณร้ายตั้งใจหลอมสร้างขึ้น!
สิ่งที่ควรค่าให้เอ่ยถึงคือ ผีร้ายทุกตนแผ่กลิ่นอายระดับแก่นพลังทอง จากจำนวนมืดฟ้ามัวดินนี้ มองทีแรกก็รู้ว่ามีมากกว่าหลายหมื่นตน พวกมันพุ่งกระโจนเข้าใส่กองกำลังเซียนพร้อมกับพลังชั่วร้ายล้นฟ้า
เทียบกับผีร้ายระดับแก่นพลังทองหลายหมื่นตนแล้ว ตอนนี้กองกำลังเซียนที่ถูกกดระดับพลังมาแก่นพลังทองเหมือนกับเรือเล็กโดดเดี่ยวกลางคลื่นลูกใหญ่!
หากทุกคนยังมีระดับพลัง เช่นนั้นคงไม่ต้องกลัวเลย แต่ตอนนี้อยู่ในยอดค่ายกลสรรพสัตว์เท่าเทียม ระดับพลังถูกจำกัดไว้ทั้งหมด
ผู้บำเพ็ญเซียนร้อยกว่าคน แม้จะมีประสบการณ์ต่อสู้โชกโชนกว่านี้ แต่จะเผชิญหน้ากับศัตรูที่มากกว่าร้อยเท่าได้อย่างไร
สรรพสัตว์เท่าเทียม หมื่นภูตผีไร้พรมแดน!
นี่คือสถานการณ์ถึงตายที่ไม่อาจแก้ไขได้ชัดๆ!
…………………….