บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 276-1 เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก จัดการยาก
- Home
- บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน
- บทที่ 276-1 เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก จัดการยาก
บทที่ 276 เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยก จัดการยาก!
เมื่อมวลอากาศพังทลายลง รอยแยกอากาศสีดำพลันปรากฏขึ้นตรงหน้าเสิ่นเทียน
ขณะเดียวกัน หอคอยยักษ์สีม่วงแวววาวราบกับหยกลอยขึ้นมากลางรอยแยกอากาศช้าๆ
มันมีความสูงพันจั้ง ทุกส่วนมีรอยแตกสีโลหิต ผสานเป็นหนึ่งกับอากาศรอบตัว มีสีสันหลากสีวนเวียนอยู่
เมื่อหอคอยสีม่วงนี้ปรากฏ ก็มีเสียงแห่งสงครามเทพมารและเสียงอาวุธกระทบกระทั่งกันดังขึ้นจากกลางอากาศ กลิ่นอายสังหารเข้มข้นแผ่กระจายออกมาทันที
วินาทีนั้น ภาพอันน่าสะพรึงบังเกิดขึ้นจากความว่างเปล่า
ภาพนั้นคือสนามรบกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ในฟ้าดินมีมังกรยักษ์นองเลือดตกลงมา มีเทพที่มีสองปีกข้างหลังถูกฉีก มีพระพุทธองค์สูงแปดจั้งกายทองคำแหลกสลาย…
สีโลหิตเข้มบดบังทั้งฟ้าดิน มิติพังทลายลงเรื่อยๆ กระแสคลื่นปั่นป่วนดำมืดดั่งน้ำหมึกกระจายออก
จิตสังหารเอ่อล้น กระบวนท่าตัดเทพอสุราของเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงเทียบไม่ติดเลย
“หอคอยเทพสงคราม!”
เดิมทีพวกผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวยังเป็นห่วงเสิ่นเทียน แต่พวกนางคาดไม่ถึงว่าหอคอยเทพสงครามที่ห่างไปหมื่นลี้จะปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน
เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ศิษย์พี่เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์คาดเดาทุกอย่างจะที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว จึงควบคุมให้หอคอยเทพสงครามมาถึงก่อนอย่างนั้นหรือ
ผู้สูงศักดิ์สวรรค์บัวขาวมองเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ในสายฟ้าประกายเซียนด้วยความเลื่อมใส ศิษย์พี่คำนวณการณ์ได้อย่างแม่นยำจริงๆ
“กับอีแค่ซากหอคอยคิดจะขวางอาตมารึ ต่อให้เป็นอาวุธเซียนก็ไม่พอ!”
เปลวไฟสีดำลุกท่วมทั้งดาบเทพอสุรา เสียงของเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงดังขึ้นเบาๆ แฝงไว้ด้วยจิตสังหารรุนแรง
มวลอากาศพังทลาย กฎเกณฑ์สลาย หยินหยางกลับตาลปัตร!
มิติตรงจุดที่คมดาบและหอคอยสีม่วงปะทะกันเหมือนจะดับสูญ แม้แต่แสงสว่างยังไม่มีออกมา มีเพียงความมืดมิดเท่านั้น
เศษมิติกระจายออกมาจากกระแสปั่นป่วนของมิติ มาพร้อมกับประกายคมที่ทำให้คนขนหัวลุก
ต่อให้เสิ่นเทียนสวมเกราะศักดิ์สิทธิ์หุบเหวมังกร ก็ได้แต่ถอยไปอย่างสุดกำลัง
…..
อีกด้านหนึ่ง การต่อสู้ของสามผู้อริยะชีซา โพ่จวิน และทันหลางจบลงแล้ว
เดิมทีพวกเขาเป็นเพียงประมุขธรรมดาของลัทธิวิญญาณร้าย ระดับพลังอยู่เพียงผู้อริยะด่านเคราะห์ที่หนึ่งถึงสาม
อีกทั้งด้วยจำกัดของระดับมรดกวิชา ทำให้กำลังรบในระดับพลังเดียวกันไม่อาจเทียบกับผู้แข็งแกร่งของแดนศักดิ์สิทธิ์ได้
มิหนำซ้ำ ต้นกำเนิดพลังของสามคนยังบาดเจ็บน่ากลัวจากยอดค่ายกลทุกสรรพสัตว์เท่าเทียมถูกทำลาย แม้แต่ฐานะผู้อริยะยังสั่นคลอน
พวกเขาในตอนนี้ แม้แต่ผู้สูงศักดิ์สวรรค์ระดับสุดยอดอย่างผู้สูงศักดิ์สวรรค์ตันอู่ยังจัดการได้ง่ายๆ จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึงเมื่ออยู่ต่อหน้าแดนศักดิ์สิทธิ์กับเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ทั้งสอง
ในช่วงเวลาสั้นๆ ประมุขวิหารลัทธิวิญญาณร้ายทั้งสามก็ถูกจัดการเรียบร้อย
ตอนนี้เหลือเพียงเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงที่กลายร่างเป็นดาบเทพอสุรา และยังคงดิ้นรนอย่างลำบากในกระแสปั่นป่วนมิติสีดำนั้น
ตูม~
ทันใดนั้นเอง กระแสปั่นป่วนของมิติก็เริ่มสงบลง
ลำแสงสีม่วงสายหนึ่งมุดออกมาจากหลุมดำใหญ่ช้าๆ
ตรงกลางลำแสงสีม่วงมหึมานั้น มีเค้าโครงหอคอยเทพสงครามลอยขึ้นมาช้าๆ เหมือนกับป้อมปราการสงคราม
ทันทีที่ปรากฏหอคอยเทพสงคราม กระแสปั่นป่วนสีดำนั้นสงบลงอย่างรวดเร็ว เจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงหายไปในกระแสปั่นป่วน
“เป็นไปได้อย่างไร ท่านเจ้าผู้คุ้มกฎเขา…แพ้แล้ว!”
ในสายตาสามผู้อริยะชีซา โพ่จวิน และทันหลางมีแต่ความตื่นตะลึง
สี่เจ้าผู้คุ้มกฎแห่งลัทธิวิญญาณร้ายผู้ยิ่งใหญ่ เผาผลาญพลังสู้สุดชีวิตแล้วยังแพ้ให้กับหอคอยหลังเดียว
นี่เป็นไปได้อย่างไร
ไม่อยากเชื่อว่าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะมีศักยภาพแฝงเช่นนี้!
จนถึงตอนนี้ในใจพวกเขาเกิดความสำนึกเสียใจอย่างยิ่ง
รู้อย่างนี้แต่แรก พวกเขาไม่น่าตอบตกลงร่วมมือกับเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงลอบเล่นงานพันธมิตรแดนศักดิ์สิทธิ์เลย ตอนนี้ดีเชียว แม้แต่ตัวเองก็ยังพ่ายแพ้ไปด้วย
“เจ้าหนูนี่เป็นอัจฉริยะจริงๆ ไม่อยากเชื่อว่าจะตระหนักรู้ยอดวิชากายไตรภูมิของฝ่ายพุทธ นี่ถ้าเกิดในโลกเซียนจะต้องเป็นสุดยอดแน่”
เยี่ยฉิงชางถอนหายใจดังในความคิด “น่าเสียดายที่เจ้าหนูนี่ออกจากบ้านไม่ดูปฏิทินโหราศาสตร์ ดันมาหาเรื่องเจ้าได้”
เสิ่นเทียนปาดเหงื่อ อะไรคือเจ้าหนูนี่ออกจากบ้านไม่ดูปฏิทินโหราศาสตร์ ดันมาหาเรื่องข้า
ข้าเป็นแค่ไก่ก่อนระดับกายทองไร้ที่พึ่งเท่านั้นเอง ทำอย่างกับว่าข้าจะลอบฆ่าผู้อริยะได้อย่างนั้นแหละ
เสิ่นเทียนถาม “เยี่ยเหล่า อะไรคือยอดวิชากายไตรภูมิ”
เยี่ยฉิงชางพูดนิ่งๆ “คล้ายกับคัมภีร์เทพโลหิตที่เจ้าฝึกฝน แต่เอาตัวรอดไม่ดีเท่าเจ้า ยอดวิชากายไตรภูมิของฝ่ายพุทธ มีเพียงนักบวชชั้นสูงที่ตระหนักในพระธรรมถึงระดับลึกซึ้งสูงสุดเท่านั้นถึงจะมีโอกาสฝึกได้
เมื่อฝึกยอดวิชานี้ นอกจากกายปัจจุบันแล้ว ยังรวมเป็นสองกายทิพย์อย่างกายอดีตและกายอนาคตได้ มีอานุภาพทรงพลังมาก
ความต่างคือหลังจากบุตรเทพโลหิตของเจ้าถูกทำลายแล้ว จะรวมขึ้นมาใหม่ได้ในเวลาสั้นๆ ความเสียหายน้อยมาก แต่กายอดีตของเจ้าเด็กนี่ถูกข้าทำลาย ไม่มีฝึกบำเพ็ญอย่างหนักแปดร้อยปีพันปีก็อย่าหวังจะฟื้นฟูได้เลย
ขณะเดียวกันเมื่อร่างแยกของกายไตรภูมิถูกทำลาย ระดับพลังของร่างจริงจะลดลงอย่างมาก”
เสิ่นเทียนอึ้งไปเล็กน้อย “เอ่อ กระจอกเช่นนี้เลยหรือ เหตุใดวิชาของฝ่ายพุทธถึงกระจอกเช่นนี้ล่ะ”
เยี่ยฉิงชางมองบน “เจ้าคิดว่าวิชานี้จะใช้เอาตัวรอดโดยเฉพาะเหมือนกับคัมภีร์เทพโลหิตของเจ้ารึ จะให้พูดจริงๆ ยอดวิชากายไตรภูมิของฝ่ายพุทธเป็นวิชาการฝึกบำเพ็ญ การฝึกวิชานี้ต้องฝึกกายอดีต กายปัจจุบันและกายอนาคตไปพร้อมๆ กัน
เมื่อถึงยามจำเป็น กายไตรภูมิจะรวมเป็นหนึ่ง ต้นกำเนิด ระดับพลัง กำลังรบ ผลพุทธจะเกิดการผลัดเปลี่ยน ก็เหมือนพรสวรรค์ในอนาคตของเจ้าหนูอู๋เซิงนี่ อย่างมากสุดก็ฝ่าด่านเคราะห์ได้แปดเก้าครั้งเท่านั้น
หากรวมสามกายไตรภูมิเป็นหนึ่งได้จริงๆ ดวงชะตาจะพุ่งสูงสุด บางทีอาจจะทะลวงเตรียมจักรพรรดิเคราะห์ภัยที่ยี่สิบสี่ก็ได้”
ซี้ด~
เสิ่นเทียนสูดลมหายใจเย็นๆ เฮือกหนึ่ง ดูไม่เข้าใจอะไรเลย
ถึงอย่างไรเขาก็ไม่รู้ว่าเคราะห์อัสนียี่สิบสี่ครั้งยากเพียงใด เขาเป็นเพียงเด็กน้อยระดับกายทองที่อ่อนแอไร้ที่พึ่งคนหนึ่งเท่านั้น
รอเดี๋ยว…
เสิ่นเทียนพลันนึกอะไรได้ มุมปากกระตุกเล็กน้อย
ตอนนี้เขาอยากจะร้องไห้นิดๆ “เยี่ยเหล่า ท่านหมายความว่านี่เป็นเพียงร่างแยกรึ”
เยี่ยฉิงชางพยักหน้าอย่างมั่นใจ “ใช่สิ! ไม่เช่นนั้นจะอ่อนแอขนาดนี้รึ โดนข้าจัดการได้ทันทีเลย หากร่างจริงของนักบวชนี่อยู่ด้วย ข้าคงจัดการเขาไม่ได้ง่ายๆ ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็อ่อนแอมากจริงๆ”
เป็นแค่ร่างแยกก็ลอบเล่นงานพันธมิตรสองแดนศักดิ์สิทธิ์ใหญ่ หกแดนเทวาและสิบสองแดนผาสุกจนหน้ามอมแมมไปหมดได้รึ
อีกทั้งฟังจากอาจารย์พูดมา ศักยภาพของร่างแยกเจ้านี่ก็มีอย่างน้อยเทียบเท่ากับจ้าวอริยะห้าด่านเคราะห์
นี่ถ้าร่างจริงโผล่มา ระดับพลังจะไม่สุดยอดไปเลยหรือ
เวลานี้เสิ่นเทียนรู้สึกขนหัวลุก เขาเหมือนจะไปล่วงเกินบอสระดับสุดยอดเข้าแล้ว
เสิ่นเทียนถามเงียบๆ ในใจ “เยี่ยเหล่า ท่านว่าเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงนี่ถูกทำลายร่างแยกไป คงจะไม่เจ้าคิดเจ้าแค้นข้าหรอกนะ!”
เยี่ยฉิงชางยิ้ม “วางใจเถอะ ด้วยระดับพลังของเจ้านี่ จะแค้นเจ้าได้อย่างไร อย่างมากสุดก็หาโอกาสฆ่าเจ้าก็จบ อย่าปิดทองใส่หน้าตัวเองนักสิ”
เสิ่นเทียนงุนงง
‘ข้าเชื่อเจ้าก็บ้าแล้ว ตาแก่ เวลาพูดช่วยอย่าเว้นวรรคนานจะได้หรือไม่’
เสิ่นเทียนอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา “ข้าไม่ใช่ผู้นำพันธมิตรแดนศักดิ์สิทธิ์ปิดล้อมสักหน่อย”
เยี่ยฉิงชางหัวเราะเยาะ “หากข้าเดาไม่ผิด เดิมทีเจ้าหนูนี่คิดจะใช้ช่วงวันที่มารสวรรค์พุ่งชนดาวชิกสัวะวางค่ายกลทุกสรรพสัตว์เท่าเทียม จากนั้นกวาดล้างพันธมิตรฝ่ายเซียน ใช้โลหิตบริสุทธิ์ของผู้สูงศักดิ์กับผู้สูงศักดิ์สวรรค์กระทั่งผู้อริยะมาเซ่นไหว้ให้จักรพรรดิบุปผาฟากฝั่งเบ่งบาน
หากบุปผาจักรพรรดิฟากฝั่งเบ่งบาน เจ้าหนูนี่จะหลอมรวมกันจักรพรรดิบุปผาฟากฝั่งได้อย่างสมบูรณ์ ระดับพลังจะพุ่งพรวดขึ้น หากโชคดี จะฝ่าเคราะห์อัสนีได้อีกหนึ่งถึงสองขั้นในเวลาสั้นๆ ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”
หลังจากหอคอยเทพสงครามลอยออกมาจากช่องทางมิติแล้วก็ไม่ได้กลับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ทันที แต่ลอยอยู่เหนืออาณาจักรโบราณอู๋เลี่ยง
ทันใดนั้นฐานหอคอยก็แผ่แรงดึงดูดไม่มีสิ้นสุดออกมา แล้วเริ่มดูดพลังของแดนปรโลกอย่างบ้าคลั่ง
ขณะเดียวกัน เยี่ยฉิงชางยังคุยเล่นกับเสิ่นเทียนอย่างสนุกสนาน “เดิมทีเจ้าหนูนี่มั่นใจในแผนการตัวเองมาก ทุกคนที่โดนขังในแดนปรโลก นอกจากเจ้าหนูจางหลงหยวนที่ไม่ได้รับผลใดๆ แล้ว ระดับพลังของคนอื่นถูกจำกัดไว้ทั้งหมด”
เสิ่นเทียนอึ้งไป “รอเดี๋ยว ท่านว่าอะไรนะ ระดับพลังของอาจารย์ไม่ได้รับผลหรือ”
เยี่ยฉิงชางหัวเราะเยาะ “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ อาจารย์เจ้าชั่วร้ายกว่าที่เจ้าคิด ซ่อนได้แยบยลมาก ข้ากล้ารับรองเลยว่าตัวแปรส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้นในการปิดล้อมครั้งนี้อยู่ในการควบคุมของเจ้าหนูนี่ ไม่ได้มีอันตรายอะไรเลย
แต่เจ้าพุ่งออกไปอย่างโง่เขลา โดดเด่นเกินหน้าเกินตาขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร ออกจากค่ายกลทุกสรรพสัตว์เท่าเทียมไป มีคนที่บี้เจ้าตายได้เยอะมาก ก็เหมือนกับหลังยอดค่ายกลทุกสรรพสัตว์เท่าเทียมถูกทำลายเมื่อครู่ ดาบเทพอสุราของเจ้าอู๋เซิงนั่น หากไม่ได้ข้าขวางไว้แทนเจ้า…”
เสิ่นเทียนหน้าเสีย “เช่นนั้นข้าจะตายรึ”
เยี่ยฉิงชางแบะปาก “ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เจ้าหนูจางหลงหยวนดูเจ้าตลอด หากเจ้าเจออันตรายจริงๆ เขาก็คงจะเผยพลังออกมา
สรุปคือถึงเจ้าหนูนี่จะทำข้าโมโห แต่เจ้าคารวะเขาเป็นอาจารย์ ก็เอาอย่างเขาในด้านนี้ให้มากๆ ไม้ดีกว่าป่าต้องโดนล้มโค่น ตั้งแต่โบราณมามีโอรสสวรรค์ตายเพราะโดดเด่นเยอะมาก
เมื่อหมื่นปีก่อนเหตุใดแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พวกเจ้าถึงล่มสลายล่ะ เหตุใดเจ้าหนูฉู่หรงเหอถึงถูกปิดล้อมทุบตี กระทั่งแม้แต่ตำหนักเทพสงครามของเรา…”
เยี่ยฉิงชางเหมือนจะนึกถึงเรื่องในอดีตบางอย่างจึงถอนหายใจเบา “อยู่เงียบๆ ไว้คือราชธรรม!”
……..
คำพูดของเยี่ยฉิงชางทำให้เสิ่นเทียนตื่นจากภวังค์
ลอยแล้ว
เวลานี้ข้าลอยขึ้นจริงๆ แล้ว
เพราะหาแดนศักดิ์สิทธิ์เป็นที่พึ่งพิงพบ เพราะมีศักยภาพแข็งแกร่งในรุ่นเยาว์ เพราะวงรัศมีสีดำเหนือศีรษะตนหายไป กระทั่งยังมีแนวโน้มจะเปลี่ยนเป็นสีแดง
ขณะเดียวกันข้างกายยังมีเหล่าผู้คลั่งไคล้ชายหญิงมากมายคอยประจบ พูดความจริง เป็นคนหนุ่มคนหนึ่งจะไม่ลอยก็คงยาก
ถึงอย่างไรก็มีคำกล่าวว่าคนหนุ่มมีน้ำเชื้อ…แค่กๆ คนหนุ่มมีความบุ่มบ่ามมาก
โอรสสวรรค์หนุ่มมีความโอหังเป็นเรื่องปกติมาก
แต่ตอนนี้หลังจากได้รับการอบรมจากเยี่ยฉิงชาง เสิ่นเทียนยอมรับอย่างถ่อมตัวว่าตัวเองยังไม่ดีพอ
ใช่ เขายังห่างไกลจากความมั่นคง
หากไม่เช่นนั้นคงไม่ต้องไปล่วงเกินบอสใหญ่อย่างเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิง
เสิ่นเทียนพูดด้วยความจนปัญญา “เช่นนั้นเยี่ยเหล่าหมายความว่า หากเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงคิดแค้นแล้ว ข้าต้องตายแน่รึ”
เยี่ยฉิงชางหัวเราะเยาะ “ก็ไม่ถึงขนาดนั้น เจ้าหนูอู๋เซิงโดนทำลายกายอดีต ตอนนี้คงเสียพลังปราณเดิมอย่างหนัก กายไตรภูมิคงอยู่สูงสุดสามร่าง หากหนึ่งร่างในนั้นถูกทำลาย ร่างจริงจะบาดเจ็บสาหัส การรักษาต้องใช้เวลาไม่น้อย
อีกอย่างอย่ามองว่าผู้อริยะลัทธิวิญญาณร้ายทำได้ทุกอย่าง ครั้งนี้พวกเขาวางแผนลอบโจมตี ต้องจ่ายอะไรไปไม่น้อย ในสถานการณ์ปกติหากผู้อริยะลัทธิวิญญาณร้ายคิดจะโจมตีพวกเจ้าก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หากไม่เช่นนั้นแล้ว สิบสองแดนศักดิ์สิทธิ์ก็คงไม่มีโอรสสวรรค์รอดชีวิตนานแล้ว”
แม้เยี่ยฉิงชางจะพูดสบายๆ แต่เสิ่นเทียนก็ยังรู้สึกไม่มั่นคงพอ
ถึงอย่างไรก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมตลอด หากเจ้าผู้คุ้มกฎอู๋เซิงไม่ลงมือเองแล้วให้ลูกน้องมาซุ่มโจมตีแทนล่ะ!
ไม่ได้!
กลับไปต้องอยู่เงียบๆ เอาตัวรอดไว้ก่อน!
ว่างๆ ก็รอปิดด่านบำเพ็ญในแดนศักดิ์สิทธิ์ รอฝ่าด่านเคราะห์เป็นผู้อริยะแล้วค่อยออกไปเตร่!
หากเจอโชควาสนาใดที่เกาะได้ ก็รีบสู้รีบจบ ปฏิบัติตามหลักการยุทธวิธี ‘แค่เกาะ ไม่โอ้อวด’
อืม เอาอย่างนี้แล้วกัน!
…….
ชั่วขณะที่สภาพจิตใจเสิ่นเทียนกำลังผลัดเปลี่ยนนั้น หอคอยเทพสงครามได้กินพลังของแดนปรโลกไปพอประมาณแล้ว
ผู้สูงศักดิ์ร้อยกว่าคนและผู้จริงแท้สามร้อยกว่าคนจากพันธมิตรฝ่ายเซียนออกสำรวจอาณาจักรโบราณอู๋เลี่ยงอย่างละเอียดทุกซอกทุกมุม
แม้ว่าผู้อริยะวิหารเจ็ดสังหารกับผู้สูงศักดิ์สวรรค์จะถูกจับหมดแล้ว ทรัพยากรอยู่ในมือพวกเขา
แต่ลัทธิวิญญาณร้ายไม่ได้มีเพียงผู้ฝึกบำเพ็ญระดับสูง แต่ยังมีเสาเอกระดับสร้างฐาน แก่นพลังทอง และดวงจิตดรุณมากกว่า
ผู้ฝึกบำเพ็ญพวกนี้อาศัยความคุ้นชินกับอาณาจักรโบราณอู๋เลี่ยงซ่อนตัวในอาณาจักรโบราณและเก็บกลิ่นอายพลัง จึงหาเจอไม่ได้ในเวลาอันสั้นจริงๆ ต้องทำการค้นหาไปเรื่อยๆ
การเก็บงานเช่นนี้ ปกติจะยกให้ผู้สูงศักดิ์กับผู้จริงแท้เป็นคนจัดการ
มองจากระดับบางอย่างก็ถือว่ามอบความผาสุกให้กับผู้สูงศักดิ์ผู้จริงแท้พวกนั้น ถึงอย่างไรในตัวสาวกลัทธิวิญญาณร้ายพวกนั้นก็มีทรัพยากรฝึกบำเพ็ญไม่น้อย
แม้ทรัพยากรฝึกบำเพ็ญพวกนี้ส่วนใหญ่ ศิษย์ฝ่ายธรรมะจะใช้ไม่ได้ แต่ก็ยังมีศิลาวิญญาณ สินแร่และพวกวัตถุดิบยาที่เอาไปขายได้
ทรัพย์สินที่สั่งสมมาหลายพันปีของทั้งวิหารย่อยของลัทธิวิญญาณร้ายไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย แต่มากพอจะทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์ใจสั่นไหว
นอกจากนี้ การมอบรายหัวและสมบัติชั่วร้ายของศิษย์ลัทธิวิญญาณร้ายให้สำนักทำลาย จะได้รางวัลจากสำนักด้วย สำหรับศิษย์แกนหลักของสำนักพวกนี้ นี่คือความผาสุกที่มากพอดู
……
“ดีที่บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์พลิกสถานการณ์กลับมาได้ การปิดล้อมครั้งนี้ถึงได้ไม่มีอันตรายอะไร”
เมื่อทุกอย่างสิ้นสุดลง ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกกระเพื่อมเบาๆ “วีรบุรุษมาจากเด็กหนุ่มจริงๆ”
นางหยิบป้ายหยกออกมาจากอกเสื้อ บนนั้นแกะสลักอักษรโบราณคำว่า ‘ธารหยก’ แผ่กลิ่นอายลึกลับออกมา
“นี่คือป้ายคำสั่งศักดิ์สิทธิ์ธารหยก ผู้ถือป้ายคำสั่งนี้จะเข้าออกแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกได้อย่างอิสระ ได้รับการต้อนรับอย่างสมเกียรติที่สุดจากแดนศักดิ์สิทธิ์ ขอให้บุตรศักดิ์สิทธิ์รับไว้ด้วย
ภายภาคหน้าหากบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ต้องการอะไรและมีศิษย์ฝ่ายข้าอยู่ด้วย ก็ขอให้แสดงป้ายคำสั่งนี้ ขอแค่คำขอของบุตรศักดิ์สิทธิ์ไม่มากเกินไป ผู้เห็นป้ายคำสั่งนี้จะปฏิบัติตัวเหมือนพบเจอข้า”
ป้ายคำสั่งศักดิ์สิทธิ์ธารหยก?
เมื่อป้ายคำสั่งนี้ปรากฏตรงหน้าทุกคน พลันมีเสียงสูดลมหายใจเย็นๆ ดังขึ้นกลางกลุ่มคน
ตอนแรกสุดก็ได้ยินว่าก่อนเจ้าพุทธะเสียงอัสนีแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีจะปิดด่านฝึกบำเพ็ญได้ประกาศมอบป้ายคำสั่งศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีให้กับเสิ่นเทียน นี่ก็มากพอจะทำให้คนอิจฉาแล้ว
ถึงอย่างไรแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีก็เป็นหนึ่งในหลายแดนศักดิ์สิทธิ์ที่แกร่งที่สุดในดินแดนบูรพา การได้เป็นพันธมิตรกับแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีเป็นสิ่งที่คนมากมายเฝ้าใฝ่ฝัน
แต่เทียบกับป้ายคำสั่งศักดิ์สิทธิ์ธารหยกแล้ว ต่อให้เป็นป้ายคำสั่งศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีก็ยังเทียบไม่ได้
เพราะอะไรหรือ
เหอะๆ เหตุผลนั้นง่ายมาก
หนึ่งเข้าออกแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีได้อย่างอิสระ สามารถสั่งให้ศิษย์จากแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนีมารับใช้ได้
อีกหนึ่งเข้าออกแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกได้อย่างอิสระ สามารถสั่งให้ศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกมารับใช้ได้
หนึ่งเป็นนักบวช อีกหนึ่งเป็นหญิงงาม เป็นเจ้าจะเลือกอะไร
นอกจากเจ้าจะโง่ตายด้านแล้ว ก็คงเลือกป้ายคำสั่งศักดิ์สิทธิ์ธารหยกกันหมด!
…….
ประกายเซียนบนผิวกายเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกสั่นไหวเบาๆ มืองามเรียวยาวข้างหนึ่งยื่นออกมาจากประกายเซียนช้าๆ มาพร้อมกับกลิ่นหอมคล้ายชะมัดคล้ายกล้วยไม้
นางส่งป้ายคำสั่งมาตรงหน้าเสิ่นเทียน ก่อนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หากภายภาคหน้าบุตรศักดิ์สิทธิ์ว่าง ก็มาเป็นแขกที่แดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกได้บ่อยๆ ทิวทัศน์ของฝ่ายข้าดีมาก น่าจะทำให้บุตรศักดิ์สิทธิ์พอใจ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงสายตาอิจฉาริษยาที่มองมาจากทุกคนโดยรอบ ทั้งยังได้กลิ่นหอมน้ำนมที่ไม่รู้จักจากป้ายคำสั่ง เสิ่นเทียนก็มองเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกด้วยความซับซ้อนเล็กน้อย เขารู้สึกว่าป้ายคำสั่งนี้ร้อนมือหน่อยๆ
เฮ้อ ป้ายคำสั่งที่สั่งให้ศิษย์แดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกช่วยเหลือได้…
ไม่ควรจะแอบส่งมาให้ข้าเป็นการส่วนตัวรึ
ยัดให้ข้าต่อหน้าทุกคน น่าอายจะตาย!
เขามักจะรู้สึกว่าหากรับป้ายคำสั่งนี้มาจริงๆ ชีวิตจากนี้จะไม่ได้หยุดพักแล้ว
เฮ้อ เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์ธารหยกคนนี้…
จัดการยาก!
……………………………………..