บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 289 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (1)
- Home
- บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน
- บทที่ 289 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (1)
บทที่ 289 จักรพรรดินีที่สุดแห่งยุค เจตจำนงกระบี่เซียนเหินฟ้า (1)
ฝ่ามือสีเงินบดบังฟ้าบังดวงตะวันใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาทุกที
ทุกสิ่งกีดขวางตรงหน้าฝ่ามือนี้แหลกสลายไปในพริบตา
ฉีเซ่าเสวียนได้แต่เบิกตามองฝ่ามือนี้ห่อหุ้มตน รู้สึกถึงแรงกดดันอันแก่กล้าแล่นเข้ามา
ตุบ
เหมือนกับบี้แมลงสาบตาย ไม่ต้องมีความกังวลใดๆ
บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงฉีเซ่าเสวียน พ่ายแพ้
……
ต่อมา ร่างของฉีเซ่าเสวียนก่อตัวขึ้นบนเวทีประลองอีกครั้ง
เขานิ่งอึ้งไป ยังไม่ได้สติกลับมาเลย
นี่มันอะไรกัน เมื่อครู่เขาถูกสังหารในพริบตาหรือ
สองครั้งก่อนยังดีๆ อยู่ แซ่ฉียังสูสียากจะตัดสินแพ้ชนะกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์อยู่ไม่ใช่หรือ
หากไม่ใช่เพราะสองครั้งก่อนทำได้ไม่ดี แซ่ฉีมีโอกาสชนะเห็นๆ!
แต่เหตุใดครั้งที่สามแซ่ฉีปรับอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์กลับเปิดสูตรโกงเล่า
ไม่ได้มีเพียงฉีเซ่าเสวียนที่ตกตะลึงเท่านั้น ผู้ฝึกบำเพ็ญที่ชมการต่อสู้อยู่ต่างอึ้งค้างไปเช่นกัน
ถึงอย่างไรฉีเซ่าเสวียนแข็งแกร่งเพียงใด ผู้ฝึกบำเพ็ญทุกคนในดินแดนบูรพาต่างได้เห็นมากับตาแล้ว กล่าวได้ว่าในรุ่นเยาว์ฉีเซ่าเสวียนเป็นโอรสสวรรค์ที่แกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องละอายใจ กวาดล้างแปดทิศไร้คู่ต่อกร
แม้แต่บุตรพุทธะขู่ตัวอันดับสองในรายนามแก่นพลังทองยังรับเขาได้แค่ยี่สิบกระบวนท่า
ฟางฉางในอันดับสามกับจางอวิ๋นซีและจางอวิ๋นถิงร่วมมือกันถึงจะสู้กับเขาได้
ตัวตนเช่นนี้ แม้จะมองโอรสสวรรค์ทุกคนทั้งดินแดนบูรพาตลอดหมื่นปีที่ผ่านมา ก็ยังเป็นระดับสุดยอดผู้โดดเด่น
บางทีอาจมีเพียงฉู่หรงเหอเมื่อพันปีก่อน รวมถึงโอรสสวรรค์ที่เก็บตัวเงียบอยู่ในกาลเวลายาวนานยิ่งกว่า ถึงจะพอทัดเทียมเขาได้
กระทั่งวัดกันที่ระดับพรสวรรค์ในรายนามเทพสงคราม แม้แต่ฉู่หรงเหอยังตกไปอยู่ใต้ฉีเซ่าเสวียน
แม้จะมีปัจจัยจากผู้ชมส่วนหนึ่ง แต่ผลลัพธ์ก็คือผลลัพธ์
โอรสสวรรค์เช่นนี้ถูกบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สังหารในพริบตาหรือ
ภาพเหตุการณ์นี้เรียกได้ว่าล้มล้างความคิด!
“เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น ข้าตาฝาดไปหรือ เหตุใดถึงเห็นบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงถูกสังหารในพริบตาล่ะ”
“เชื่อข้าเถอะ ไม่ใช่เจ้าคนเดียว”
“ข้อความข้างบนด่าคนอะไรเช่นนั้น! ดาบใหญ่ของข้าล่ะ!”
“เจ้าไม่ได้ตาฝาด ข้าก็เห็นเหมือนกัน ฝ่ามือนั้นของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เกินจริงไปมาก”
“ตอนแรกข้าคิดว่ากำลังรบของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์จะสูสีกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วง ตอนนี้ดูแล้วคนละระดับกันเลย!”
“น่ากลัวเกินไปแล้ว! หรือว่านี่จะเป็นกำลังรบแท้จริงของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ การต่อสู้สองครั้งก่อนเขายังไม่เอาจริงรึ”
“แต่นี่ไม่ใช่ร่างเงาของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์หรือ ไฉนร่างเงาถึงออมมือได้ ไม่ควรจะสู้เต็มที่แต่แรกหรือ”
“เหอๆ ใครบอกเจ้าว่าร่างเงาออมมือไม่ได้ อย่าลืมสิว่าร่างเงานี่มีสมองกว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์อีก”
“น่าขำเหลือเกินอมิตาพุทธ เจ้าจื่อสู่จิงแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงล่ะ ไฉนถึงเงียบไป”
‘ขอบคุณบุตรพุทธะแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนี ‘ขู่ตัว’ มอบรางวัลศิลาวิญญาณให้ร่างเงาบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์หกหกหกก้อน’
‘ขอบคุณบุตรพุทธะแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เสียงอัสนี ‘ขู่ตัว’ มอบรางวัลศิลาวิญญาณให้ร่างเงาบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์หกหกหกก้อน’
…….
การถ่ายทอดสดหยุดชะงักไปอีกครั้ง
ฉีเซ่าเสวียนอ่านข้อความรอบเวทีประลองแล้วก็หน้าเขียวอมม่วงขึ้นมา
อัปยศ!
นี่คือความอัปยศอดสู!
เขาฉีเซ่าเสวียนตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่ ต้องเคยพ่ายแพ้อย่างอนาถเช่นนี้หรือ
อย่าว่าแต่เขาไม่เคยอนาถาเช่นนี้มาก่อนเลย ตลอดหลายพันปีมานี้ บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงทุกรุ่นยังไม่เคยอนาถาเช่นนี้มาก่อน!
ต่อให้เจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงจะโดนจางหลงหยวนกับฉู่หรงเหอกดขี่ตอนยังหนุ่ม ก็แค่ถูกแขวนทุบตี ไม่ถึงกับถูกสังหารในกระบวนท่าเดียวและในพริบตาเดียว
นี่ถ้าแพร่งพรายออกไป เขาฉีเซ่าเสวียนจะอยู่อย่างไร คงได้มีฉายาบุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงที่น่าสังเวชที่สุด!
“ดวงจิตหอคอย เจ้าต้องอธิบายกับแซ่ฉี เจ้าแอบลงมือปรับพลังให้บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์สูงขึ้นหรือไม่”
ฉีเซ่าเสวียนถือง้าวมังกรสวรรค์ ใบหน้าดำเหมือนฟ้าครึ้มฝน “เหตุใดครั้งนี้เสิ่นเทียนถึงแกร่งเช่นนี้”
เสียงนุ่มนวลของดวงจิตหอคอยดังขึ้นอีกครั้ง “บุตรศักดิ์สิทธิ์หนุ่มอย่าโมโหไปเลย โมโหเจ็บป่วยขึ้นมาไม่มีใครรับแทนได้ ท่านนั่งลงใจเย็นลงก่อน ในหอคอยเทพสงครามมีสัจจะอยู่แล้ว”
ฉีเซ่าเสวียนมุมปากกระตุก ข้าถูกสังหารในพริบตาในการถ่ายทอดสด ขายหน้าไปถึงบ้านแล้ว เจ้าจะยังให้ข้าใจเย็นอีกรึ
ต้องรู้ว่าข้าแซ่ฉีเติมไปแสนหก แสนหกหมื่นแต้มเทพสงครามเชียว!
นี่คือท่าทีที่หอคอยเทพสงครามพวกเจ้าปฏิบัติต่อลูกค้าหรือ
เสียงดวงจิตหอคอยดังขึ้นอีกครั้ง “บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงที่เคารพ ท่านน่าจะเคยอ่านประกาศก่อนเข้าหอคอยแล้ว ร่างเงาโอรสสวรรค์ทั้งหมดในหอคอยจะวัดตามกำลังรบตอนที่ผู้นั้นฝึกฝนในหอคอย วิธีการลงมือของเขาจะเป็นการสุ่ม หรือก็คือกลอุบายทั้งหมดของบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์อาจสำแดงออกมาตอนสู้กับท่านได้หมด วิชาพวกนี้มีอ่อนแอก็ย่อมมีแข็งแกร่ง”
ฉีเซ่าเสวียนมุมปากกระตุก “เจ้าหมายความว่าสองรอบก่อนนั้น บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์แค่ใช้การโจมตีธรรมดาสู้กับแซ่ฉี พอครั้งนี้ก็โจมตีสุดกำลังรึ”
ดวงจิตหอคอยพูดอย่างอ่อนโยน “ถูกต้อง บุตรศักดิ์สิทธิ์เคหาสน์ม่วงมีความรู้มากประสบการณ์ น่าจะมองออกว่าวิชาแรกที่บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ใช้คือแสงเทพห้าสีของเผ่าเทพนกยูง
ครั้งที่สองคือการโจมตีด้วยความเร็วของสิ่งมหัศจรรย์ฟ้าดินทองคำเซียนปีกปักษา ล้วนไม่ใช่ไม้ตายที่เหมาะสมกับบุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ที่สุด แต่ครั้งที่สามที่โจมตีสังหารท่านในท่าเดียวคือสุดยอดวิชาที่เรียนมาจากข้า…หัตถ์ปฐมกาลทลายเวหา
โอรสสวรรค์ทุกคนที่สำเร็จการฝึกฝนจะได้เลือกเรียนสุดยอดวิชานี้จากหอคอยเทพสงคราม ก่อนหน้านี้ท่านเอาชนะโอรสสวรรค์ห้าดาวสองคน โอรสสวรรค์หกดาวหนึ่งคน ตามกฎแล้วจะเลือกมรดกห้าดาวสองวิชากับมรดกหกดาวได้หนึ่งวิชา”
ฉีเซ่าเสวียนดวงตาลุกวาวขึ้นมา “หัตถ์ปฐมกาลทลายเวหาของเสิ่นเทียนคือมรดกวิชากี่ดาว”
ดวงจิตหอคอยเงียบ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงเอ่ยอย่างเนิบนาบ “หัตถ์ทลายเวหาคือมรดกวิชาเจ็ดดาว”
มรดกวิชาเจ็ดดาว?
มิน่าถึงทรงอานุภาพเช่นนี้!
รอเดี๋ยว เป็นโอรสสวรรค์หกดาวเหมือนกัน ไฉนเขาถึงมีมรดกวิชาเจ็ดดาวได้
ฉีเซ่าเสวียนชะงักงัน ก่อนจะถามในใจ “หอคอยเทพสงคราม บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์คือโอรสสวรรค์กี่ดาวกันแน่”
ดวงจิตหอคอยตอบนิ่งๆ “บุตรศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เลือกอำพรางอันดับของตน ไม่ติดรายนามดาวเด่นเทพสงครามและรายนามรวมเทพสงคราม หอคอยเทพสงครามมีหลักการเคารพความเป็นส่วนตัวของโอรสสวรรค์ทุกคน ไม่สะดวกจะเผยอันดับของเขา”
ฉีเซ่าเสวียนมุมปากกระตุกเล็กน้อย “จะต้องเอาชนะโอรสสวรรค์เจ็ดดาวเท่านั้นหรือไม่ถึงจะได้รับมรดกวิชาเจ็ดดาว”
ดวงจิตหอคอย “ถูกต้อง”
ฉีเซ่าเสวียนสูดลมหายใจเข้าลึก “วิชาหัตถ์ปฐมกาลทลายเวหามรดกเจ็ดดาวนี่ เสิ่นเทียนได้มาจากในหอคอยเทพสงครามหรือไม่”
ดวงจิตหอคอยเงียบไปชั่วครู่ เหมือนกำลังลังเล “นี่ก็…ถูกต้อง”
ฉีเซ่าเสวียนแค่นเสียงขึ้นจมูก “หรือก็คือเสิ่นเทียนเอาชนะโอรสสวรรค์เจ็ดดาว เป็นโอรสสวรรค์เจ็ดดาวใช่หรือไม่”
ดวงจิตหอคอยถอนหายใจ “นี่เป็นสิ่งที่ท่านคาดเดาออกมาเอง ข้าไม่ได้เผยความลับ ท่านเป็นบุตรศักดิ์สิทธิ์ที่ฉลาดหลักแหลมจริงๆ หอคอยเทพสงครามขอชี้แนะอย่างเป็นมิตร ระดับของโอรสสวรรค์ทุกคนที่เข้ามาฝึกฝนเปลี่ยนแปลงไปได้ตลอด
โอรสสวรรค์บางคนฝึกฝนครั้งแรกเป็นเพียงโอรสสวรรค์ห้าดาว แต่หลังได้รับมรดกวิชาในหอคอยก็แกร่งขึ้นเรื่อยๆ บางทีอาจจะเลื่อนเป็นหกดาวกระทั่งเจ็ดดาว”
แสดงว่าร่างเงาเสิ่นเทียนสองรอบก่อนไม่ได้ใช้กำลังรบทั้งหมดหรือ
หรืออาจเป็นเพราะร่างเงาเสิ่นเทียนสองรอบก่อนเป็นเพียงร่างเงาที่ฝึกฝนครั้งแรก ไม่ใช่สภาพที่แกร่งที่สุด
ฉีเซ่าเสวียนตาลุกวาวขึ้นมา “เสิ่นเทียนสองรอบก่อนมีศักยภาพสูสีกับแซ่ฉี แต่รอบสามกลับแข็งแกร่งจนไร้เหตุผล หรือว่าตอนที่เขาเข้าหอคอยเทพสงครามครั้งแรก ศักยภาพก็แค่สูสีกับแซ่ฉี เพียงแต่ต่อมาได้รับมรดกวิชาหกดาว จากนั้นฝึกควบมรดกวิชาห้าดาวกับหกดาวเข้ากับตน ก่อนจะฝ่าด่านในหอคอยเทพสงครามอีกหลายครั้ง ถึงได้เอาชนะโอรสสวรรค์เจ็ดดาวได้ และได้รับหัตถ์ปฐมกาลทลายเวหาไปอย่างนั้นหรือ”
ดังนั้นแล้ว แซ่ฉีก็ยังมีสิทธิ์เลือกมรดกหกดาวหนึ่งวิชากับมรดกห้าดาวสองวิชาจากหอคอยเทพสงครามอีก?
รอแซ่ฉีฝึกฝนสามวิชานี้สำเร็จก็จะมีโอกาสฝ่าธรณีประตูของโอรสสวรรค์เจ็ดดาวรึ
เมื่อคิดได้ดังนั้น ฉีเซ่าเสวียนมีดวงตาเร่าร้อนขึ้นมา
เขาสูดลมหายใจเข้าลึก “หอคอยเทพสงคราม แซ่ฉีจะเลือกมรดกวิชา!”
…….
สีฟ้ายามค่ำคืนค่อยๆ มืดขึ้น ดวงจันทร์เต็มดวงอยู่บนฟ้า
ชั่วขณะที่ฉีเซ่าเสวียนกำลังฝึกฝนและเลือกมรดกวิชานั้น เสิ่นเทียนกลับมาถึงยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์อีกครั้ง
ข้างหลังเขามีสาวน้อยโลลิชั่วร้ายอายุราวห้าหกขวบตามหลัง ตอนนี้กำลังมองเขาด้วยความคับแค้นใจ
เจ้าหนูเผ่ามนุษย์สารเลว กล้าทำเรื่องเช่นนั้นกับข้าผู้ยิ่งใหญ่!
หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่เขาหน้าตาถือว่าพอดูได้ ข้าจะทำให้เขาพิการ
อืม ก็เพราะว่าหน้าตาเขาพอใช้ได้ ไม่ใช่เพราะสู้ไม่ได้สักหน่อย!
เอ๋าปิงเลียริมฝีปากก่อนโพล่งถามขึ้น “เจ้าหนู บนยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์เจ้ามีสุราหรือไม่ ขอของดีๆ”
ไม่อยากเชื่อว่าจะโดนเจ้าหนูนี่กดบนรถ น่าขายหน้ามังกรเกินไปแล้ว ข้าต้องใช้สุราแก้กลุ้ม!
สุราหรือ
เสิ่นเทียนมองเอ๋าปิงแปลกๆ “ท่านจะดื่มสุรารึ”
เอ๋าปิงมองค้อน “มีอะไร ไม่ได้หรือ ข้าอึดอัดใจในสนามรบบรรพกาลมาหมื่นปี ตอนนี้กว่าจะหลุดออกมาและนิพพานเกิดใหม่ไม่ใช่ง่ายๆ ไม่ควรจะดื่มสักสองสามแก้วเป็นการฉลองหรอกรึ”
เสิ่นเทียนเพิ่งตั้งสติกลับมาได้ ช่วยไม่ได้ ร่างสาวโลลิตอนนี้ของเอ๋าปิงชวนให้นึกไปในทางที่ไม่ดีจริงๆ
เด็กน้อยอายุเพิ่งห้าหกขวบถามเจ้าว่ามีสุราหรือไม่ มันก็จะรู้สึกแปลกหน่อย
จะว่าไปตอนนั้นเสิ่นเทียนเหมือนเจอสุราจากในหุบเขาหมอกลับแลไม่น้อย
สุราเซียนที่มารดาเถาใช้ของเหลวของตนบ่มขึ้นมา ก็น่าจะเป็นสุราดีที่ใช้ได้กระมัง!
พอคิดได้ดังนั้น เสิ่นเทียนรีบหยิบสุราเซียนไหหนึ่งออกมาจากแหวนเวหา “พี่ปิง ท่านดูสุรานี้หน่อยว่าเป็นอย่างไร”
โอ้ เจ้าหนูนี่มีสุราอยู่จริงๆ หรือ
เอ๋าปิงตาเป็นประกายขึ้นมา รีบกอดไหสุรา เอามือเล็กตบไปทีหนึ่ง เปิดจุกไหออก
ทันใดนั้นกลิ่นสุราเข้มข้นโชยออกมาจากไหสุรา แม้จะผ่านมานานก็ยังคงความหอม
“ไม่เลวเลย! สุราชั้นเลิศระดับสูงสุดที่บ่มมาหลายร้อยปี!”
เอ๋าปิงย่นจมูกเล็กๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความมึนเมา “ไม่เลว เป็นของดี”
เสิ่นเทียนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “พี่ปิงอยากดื่ม ข้าจะไปเตรียมถ้วยมาให้ แล้วจะนำกับแกล้มมาให้ด้วย”
อึกๆๆ~
เสิ่นเทียนยังพูดไม่ทันขาดคำ ก็เห็นเอ๋าปิงกอดไอสุราที่ใหญ่กว่าศีรษะนางเริ่มกระดกเข้าปาก
กลิ่นหอมสุราเข้มข้นฟุ้งกระจาย อบอวลไปมากกว่าครึ่งยอดเขาบุตรศักดิ์สิทธิ์
เอิก~
เอ๋าปิงดื่มสุราเซียนไปเกือบครึ่งไห ก่อนจะเรอออกมา
ไอมังกรสีแดงอมดำพุ่งมาจากจมูกเอ๋าปิง มังกรร้ายพ่นลมหายใจ!
“สบาย ถึงอกถึงใจ ดี!”
เอ๋าปิงเท้าสะเอว “ข้าคือองค์หญิงแห่งเกาะมังกรดำ เคยดื่มสุราดีมาหมดแล้ว แต่สุรานี่น่าสนใจจริงๆ สุราครึ่งไหลงท้องก็เริ่มเมานิดๆ แล้ว”
เสิ่นเทียนกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “พี่ปิงท่านช้าๆ หน่อย อย่าดื่มจนเมาเลย”
เอ๋าปิงมองเสิ่นเทียนด้วยความโมโห “โอหัง! ข้าดื่มสุราไปมาทั่วทุกสารทิศหลายปี แม้แต่ยัยหนูเฟิ่งอู่ยังถูกข้าแซงหน้า! ข้าจะเมารึ”
เสิ่นเทียนพูดอย่างจนปัญญา “พี่ปิงไม่ได้นิพพานเกิดใหม่หรือ นี่คือสุราเซียนของระดับผู้สูงศักดิ์สวรรค์ มีฤทธิ์แรงมากนะ!”
เอ๋าปิงทำเสียงขึ้นจมูก “ถึงเจ้าน้องชายจะมีหน้าตาหล่อเหลา แต่นิสัยปวกเปียกเกินไป มีศักดิ์ศรีกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือ สุราคือของดี ข้าอยากดื่มก็ดื่มมาตั้งแต่เยาว์วัย ไม่ได้โม้ พันแก้วยังไม่เมา!”
อืม พันแก้วไม่เมา ใบหน้าเล็กแดงอย่างกับตูดลิงแล้ว
เมื่อเห็นเอ๋าปิงโอนเอนไปมา เสิ่นเทียนก็หิ้วนางเดินไปในวิหารบุตรศักดิ์สิทธิ์อย่างจนใจ
แม้วิหารบุตรศักดิ์สิทธิ์จะมีตำหนักเดียว แต่ในตำหนักมีห้องเยอะมาก
เสิ่นเทียนหิ้วเอ๋าปิงมาไม่นานก็มาถึงห้องโล่งแห่งหนึ่ง
แต่ตอนนี้เอ๋าปิงยังกอดสุราเซียนครึ่งไห ดึงให้ตายก็ไม่ยอมปล่อยมือ
ปากยังพูดบ่นพึมพำอะไรไม่รู้เรื่อง “ข้าไม่เมา ข้าบุกฝ่าไปห้าดินแดนไร้คู่ต่อกร ข้าบุกฝ่าทะเลเหนือปราบเหล่ามารร้าย กับอีแค่มารร้ายต่างแดนตัวเล็กๆ กล้าหิ้วข้ารึ จงหมอบลงให้ข้า กรงเล็บมังกร!”
เมื่อเห็นกำปั้นเล็กที่ทุบใส่หน้าอกตนแล้ว เสิ่นเทียนมุมปากกระตุกนิดๆ หญิงมังกรแก่หมื่นปีกว่ายังขายความน่ารักได้อีก นี่มันจะเกินไปแล้ว!
จะว่าไปสุรานี่เกินจริงไปขนาดนี้เชียวหรือ แม้แต่มังกรยังเมาได้รึ
เสิ่นเทียนวางเอ๋าปิงบนเตียง คลุมผ้าห่มให้อย่างดี ก่อนจะมองสุราเซียนครึ่งไหข้างๆ อย่าว่าอย่างนั้นอย่างนี้เลย มันหอมจริงๆ
เปิดก็เปิดแล้ว ลองดื่มดูดีหรือไม่?
เสิ่นเทียนเลียริมฝีปาก ก่อนจะหยิบแก้วเล็กออกมาจากในแหวนเวหา
รินสุราเซียนช้าๆ เต็มหนึ่งแก้ว เม้มปากดื่มไปอึกหนึ่ง “หวานๆ เผ็ดๆ ไม่เลว”
จะว่าไปตั้งแต่ที่เสิ่นเทียนได้สุราเซียนพวกนี้มา เขาก็ไม่เคยดื่มเองเลย ไม่นึกเลยว่ารสชาติจะดีจนผิดหูผิดตาเช่นนี้
อีกทั้งเมื่อสุราเซียนลงท้องไปอึกหนึ่ง เสิ่นเทียนรู้สึกได้ว่ามีพลังวิญญาณเข้มข้นชะล้างไปทั่วร่างกาย กระทั่งพลังงานต้นกำเนิดเถากลืนกินเซียนในตับยังคึกคักขึ้นมาไม่น้อย ถึงขั้นที่ระดับพลังของเสิ่นเทียนเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย
“พลาดแล้ว ถ้ารู้ว่าสุรานี่มีส่วนช่วยในการฝึกบำเพ็ญแต่แรก น่าจะดื่มเร็วกว่านี้หน่อย!”
เสิ่นเทียนดื่มสุราเซียนในแก้วอึกเดียวหมด เมื่อสุราไหลผ่านลำคอลงท้อง ความอบอุ่นพลันแผ่ซ่านไปทั้งตัว
จากนั้นยังมีความมึนเมานิดๆ เพียงแต่เมื่อพลังงานของสุราเซียนถูกคุณสมบัติกายของเสิ่นเทียนหลอมรวม ความรู้สึกมึนเมานั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว
มิน่าสหายหลี่ฉางเกอถึงชอบดื่มสุราร่ายรำกระบี่ รสชาติสุรานี่ทำให้เมาจริงๆ
เสิ่นเทียนกอดสุราเซียนครึ่งไหที่เหลือเดินออกไปจากวิหารบุตรศักดิ์สิทธิ์ช้าๆ
…………………………….