บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 40 โผงผางมาก ชอบมาก
บทที่ 40 โผงผางมาก ชอบมาก
แม้เสี่ยวหลิงเซียนมีความรู้สึกดีต่อเสิ่นเทียน
แต่นางเพิ่งรู้จักกับเสิ่นเทียนได้ไม่นาน และนางก็เคยเจอพวกที่ดูดีแต่เป็นสุภาพบุรุษชนจอมปลอมอยู่มากมาย
ธรรมชาติของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถต้านทานบททดสอบของผลประโยชน์มากที่สุด
สำหรับความคิดของเสิ่นเทียน นางก็ไม่กล้ามั่นใจ
ในตอนนั้นเอง เสิ่นเทียนเอ่ยปากกล่าว “หลิงเอ๋อร์ ดอกบัวขาวและโอสถวิญญาณเหล่านี้เจ้าเก็บไว้เถอะ!”
คำพูดของเขาทำให้เสี่ยวหลิงเซียนตกใจมาก ตกตะลึงยืนตัวแข็งอยู่ตรงนั้น
เสี่ยวหลิงเซียนหันไปมองทางเสิ่นเทียนด้วยสายตาที่เหม่อลอย
กลับเห็นสีหน้าของเขาดูจริงจังมาก ไม่เหมือนคนกำลังล้อเล่น
นางรู้สึกเหลือเชื่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าดอกบัวขาวและโอสถวิญญาณเหล่านี้มีค่ามากแค่ไหน”
เสิ่นเทียนจ้องเสี่ยวหลิงเซียน ยิ้มเล็กน้อยแล้วกล่าว “ไม่ว่ามันมีค่าเท่าไหร่ก็เป็นของเจ้าทั้งหมด”
สัมผัสได้ถึงสายตาที่เร่าร้อนและน้ำเสียงที่อ่อนโยนของเสิ่นเทียน เสี่ยวหลิงเซียนหน้าแดงโดยไม่รู้ตัว
โอสถวิญญาณที่มีมูลค่ามากกว่าศิลาวิญญาณหนึ่งล้านก้อน พี่เสิ่นมอบให้ข้าทั้งเช่นนี้เลย?
เป็นอย่างที่คิด ในใจของพี่เสิ่นยังมีความรู้สึกที่ดีต่อข้าใช่หรือไม่
ที่กระโดดหน้าผาเมื่อกี้เป็นเพราะไม่สามารถยอมรับการถูกสงสัย ไม่ได้เป็นเพราะไม่ต้องการรับผิดชอบข้า?
แต่พี่เสิ่นเอาแต่จ้องข้าด้วยสายตาที่ลึกซึ้งเช่นนี้ มันช่างน่าเขินอายเหลือเกิน!
ในใจของเสี่ยวหลิงเซียนเกิดความคิดฟุ้งซ่านและจินตนาการที่เสริมเติมแต่งเองอย่างไร้ขีดจำกัด
ทว่าในความเป็นจริงนางคิดมากเกินไปแล้ว
การที่เสิ่นเทียนเอาแต่จ้องนางแล้วบอกว่ามอบโอสถวิญญาณให้นางทั้งหมด เหตุผลนั้นง่ายมาก
เพราะเขากำลังสังเกตวงรัศมีที่อยู่เหนือศีรษะของเสี่ยวหลิงเซียน
ทันทีที่เสิ่นเทียนกล่าวว่าจะมอบดอกบัวขาวและโอสถวิญญาณทั้งหมดให้เสี่ยวหลิงเซียน
วงรัศมีเหนือศีรษะของเสี่ยวหลิงเซียนสว่างขึ้นมากกว่าเดิม
เดิมทียังเป็นวงรัศมีสีแดงอมเขียว แต่ตอนนี้แสงสีเขียวหายไปหมดแล้ว
วงรัศมีเหนือศีรษะของนางกลายเป็นสีแดงอย่างสมบูรณ์
ในขณะเดียวกัน เสิ่นเทียนก็สัมผัสได้ถึงร่างกายที่เบาลงเล็กน้อยของตนเอง
เห็นได้ชัดว่าโชคของเขาก็กำลังเพิ่มขึ้นด้วย
ความรู้สึกเช่นนี้มันช่างยอดเยี่ยมเสียจริง
แต่ในขณะนั้นเอง เสี่ยวหลิงเซียนเอ่ยปากพูดแล้ว “เช่นนี้ไม่เหมาะสม”
นางเหลือบมองเสิ่นเทียนด้วยความเขินอายแวบหนึ่ง “เป็นเพราะพี่เสิ่นโดดหน้าผาจึงพบถ้ำเซียนแห่งนี้ จะแบ่งของมากเช่นนี้ให้ข้าได้อย่างไร”
ครุ่นคิดสักพัก เสี่ยวหลิงเซียนกล่าว “โอสถวิญญาณและดอกบัวขาวเหล่านี้ พี่เสิ่นเก็บไว้ดีกว่า!”
ทันทีที่สิ้นเสียง วงรัศมีเหนือศีรษะของนางเริ่มมีแสงสีเขียวปรากฏขึ้น และดูเหมือนจะมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ
เสิ่นเทียนก็สามารถสัมผัสได้ถึงร่างกายที่หนักขึ้นของตนเองอย่างชัดเจน
เขากล่าวอย่างชอบธรรม “เช่นนี้จะได้อย่างไร หากไม่ได้เป็นเพราะหลิงเอ๋อร์เปิดประตูเหล็กดำ พวกเราเข้ามาไม่ได้ด้วยซ้ำ”
“เจ้าต่างหากที่เป็นคนมีวาสนากับถ้ำเซียนแห่งนี้ ดังนั้นโอสถวิญญาณเหล่านี้ควรเป็นของเจ้าทั้งหมด!”
แสงสีเขียวเริ่มจางหายไปอย่างเชื่องช้า ร่างกายก็เริ่มเบาลงอย่างเชื่องช้า
ในใจเสี่ยวหลิงเซียนยิ่งรู้สึกซาบซึ้ง
ผู้ชายที่ดีเช่นนี้หาได้ยากยิ่งนัก
นึกถึงตรงนี้ ใบหน้าของนางแดงเล็กน้อย “พี่เสิ่นท่านเลิกบ่ายเบี่ยงได้แล้ว รับไว้เถอะ!”
แสงสีเขียวปรากฏขึ้นอีกครั้ง…
กุ้ยกงกงมองดูอยู่ด้านข้าง รู้สึกอึดอัดขึ้นมาทันใด
เขากล่าวอย่างช่วยไม่ได้ “เช่นนั้นแม่นางแต่งงานกับองค์ชายเสียเถอะ เช่นนี้ใครรับไว้ก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ!”
หากพระสนมหลานรู้เรื่องขององค์ชายกับแม่นางหลิงเอ๋อร์ จะต้องยิ้มร่าทั่วทั้งแดนปรโลกอย่างแน่นอน
แต่คนหนุ่มสาวสมัยนี้ แค่จะคบหากันทำไมถึงยุ่งยากเช่นนี้!
แบ่งโอสถวิญญาณอะไรกัน ในอนาคตหลังจากแต่งงานกันก็เป็นของตนเองทั้งหมดแล้วไม่ใช่หรือ
คำพูดของกุ้ยกงกงยิ่งทำให้ใบหน้าของเสี่ยวหลิงเซียนแดงเข้าไปใหญ่
นางแอบเหลือบมองเสิ่นเทียนแวบหนึ่ง กลับพบว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องตนเอง
สายตาของเขามีอารมณ์ที่ลึกซึ้งแฝง ทำให้ผู้ที่ถูกจ้องหน้าร้อนผ่าวโดยไม่รู้ตัว ให้ความรู้สึกที่แปลกประหลาดอย่างบอกไม่ถูก
ว่ากันว่าเมื่อผู้ชายมองคนรักของตนเอง ก็ล้วนแต่มองใบหน้าหรือตาไม่ใช่หรือ
เหตุใดถึงมีความรู้สึกว่าพี่เสิ่นกำลังจ้องศีรษะของข้า
ครุ่นคิดสักพัก เสี่ยวหลิงเซียนรู้สึกว่าตนเองควรจะสงวนตัวบ้าง
อย่างไรก็ดีได้ยินมาว่าผู้ชายส่วนใหญ่มักจะชอบเด็กผู้หญิงที่รักนวลสงวนตัว
นางกล่าวเสียงเบา “ใครจะไปแต่งกับพี่เสิ่น”
“เช่นนี้ก็แล้วกัน!”
เสี่ยวหลิงเซียนละสายตาจากร่างกายของเสิ่นเทียน “พี่เสิ่นกระโดดหน้าผาค้นพบถ้ำเซียนแห่งนี้ ส่วนข้าเป็นคนเปิดถ้ำเซียนแห่งนี้”
“หรือไม่ของที่อยู่ด้านในแบ่งหกสี่ส่วนก็แล้วกัน!”
“ข้าและพี่เสิ่นรับคนละสี่ส่วน ลุงกุ้ยและน้องเสี่ยวเกาแบ่งกันคนละส่วน”
เสิ่นเทียนปฏิเสธเสียงแข็งทันที “เช่นนี้จะได้อย่างไร ส่วนของลุงกุ้ยและเสี่ยวเกาข้าจะแบ่งให้เอง จะแบ่งจากส่วนของหลิงเอ๋อร์ได้อย่างไร”
“เช่นนี้ก็แล้วกัน! แบ่งคนละห้าส่วน เจ้าเอาไปห้าส่วน ห้ามปฏิเสธ!”
เมื่อได้ยินคำพูดที่โผงผางอย่างไร้ข้อกังขา ภายในใจเสี่ยวหลิงเซียนอดไม่ได้ที่จะรู้สึกคลั่งไคล้
โผงผางมาก หนักแน่นมาก ช่างมีกลิ่นอายของผู้ชายเหลือเกิน ชอบจังเลย!
อยากรักนวลสงวนตัว อยากปฏิเสธ จะให้พูดออกมาได้อย่างไร!
……
เผชิญหน้ากับเสิ่นเทียนที่โผงผางเช่นนี้ เสี่ยวหลิงเซียนเริ่มคิดฟุ้งซ่านอีกครั้ง
ส่วนเสิ่นเทียนละสายตาออกจากศีรษะของนางแล้ว
หลังจากเกิดเรื่องเมื่อครู่ เสิ่นเทียนได้พิสูจน์ความคิดของตนเองอย่างหนึ่ง
นั่นก็คือเขาสามารถแบ่งโชคลิขิตของผู้มีวาสนาอย่างมากห้าส่วน
นี่คือขีดจำกัดสูงสุด แบ่งผลประโยชน์ของอีกฝ่ายในห้าส่วน เช่นนั้นแล้วโชควาสนาของทั้งสองฝ่ายก็จะเพิ่มขึ้นได้ในระดับสูงสุด
เช่นนี้มีประโยชน์ในระยะยาวสำหรับทั้งสองฝ่าย
หากเสิ่นเทียนแบ่งผลประโยชน์มากกว่าห้าส่วนขึ้นไป โชคที่เพิ่มขึ้นก็จะอ่อนลง
หากเสิ่นเทียนฮุบโชคลิขิตทั้งหมดเพียงคนเดียว เช่นนั้นแหละโชคของเขาก็จะไม่เพิ่มขึ้นเลย
ส่วนผู้มีวาสนาอันประเสริฐผู้นั้นอาจจะถึงขั้นตกอับลงเพราะเหตุนี้
ก่อนหน้านี้ฉินเกาตกจากสีแดงเข้มกลายเป็นสีแดงอมเขียว รวมไปถึงแสงสีเขียวของเสี่ยวหลิงเซียนที่เพิ่มขึ้นก็ช่วยพิสูจน์สิ่งนี้
จะเห็นได้ว่าอาศัยความสามารถพิเศษของตนเองผูกวาสนาไปทั่วถึงจะเป็นวิถีของราชา
นึกถึงตรงนี้ เสิ่นเทียนอดไม่ได้ที่จะกดไลก์ให้กับความฉลาดของตัวเอง
……
“พอแล้ว เลิกบ่ายเบี่ยงได้แล้ว”
เห็นเสี่ยวหลิงเซียนจ้องตนเอง สีหน้าราวกับเหม่อลอยเล็กน้อย
เสิ่นเทียนก็ไม่รู้ว่ายัยผู้หญิงคนนี้เป็นอะไรของนาง เขาชี้ไปทางบ้านหินหลังเล็กที่อยู่ในส่วนลึกของหุบเข
“โอสถวิญญาณเหล่านี้แค่เริ่มต้นเท่านั้น หากข้าเดาไม่ผิด ที่นั่นถึงจะเป็นโชคลิขิตของจริง!”
บ้านหินหลังเล็กที่อยู่ในหุบเขาแลดูธรรมดาอย่างยิ่ง
บ้านทั้งหลังก่อขึ้นจากหินสีเทา ไม่มีลวดลายแกะสลักแต่อย่างใด
แต่ยิ่งมองอย่างละเอียดเพียงใด ยิ่งรู้สึกว่ามันมีความรู้สึกที่พิเศษแฝงอยู่
ราวกับมันเชื่อมต่อกับทั้งหุบเขา เป็นศูนย์กลางของภูเขาทั้งหมด
ลองสัมผัสอย่างละเอียด สามารถพบได้ว่าพลังวิญญาณทั้งหุบเขาไปรวมกันที่บ้านหินหลังเล็ก
เห็นได้ชัด ที่นั่นถึงจะเป็นที่พักอาศัยของเจ้าของถ้ำเซียนวารีสวรรค์ของจริง
“ดูเหมือนเจ้าของผู้นี้น่าจะเป็นผู้บำเพ็ญแนวรันทด!”
เสิ่นเทียนยิ้มพร้อมกับส่ายศีรษะ เดินไปทางบ้านหินหลังเล็กอย่างเชื่องช้า
เพียงแค่โอสถวิญญาณในหุบเขาก็มีมูลค่านับศิลาวิญญาณล้านก้อน แล้วของสืบทอดที่แท้จริงในบ้านหินล่ะ!
ในใจของเสิ่นเทียนเริ่มเกิดความคาดหวัง
ไม่รู้ว่าโชคลิขิตที่ผู้อาวุโสท่านนี้ทิ้งไว้จะสามารถชำระล้างเขาให้สะอาดอย่างสมบูรณ์หรือไม่
ทุกคนเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าบ้านหิน กลับเห็นด้านหน้าของประตูมีรอยฝ่ามือเช่นกัน
เห็นได้ชัด ต้องสังเวยเลือดด้วยความสมัครใจอีกแล้ว
เสี่ยวหลิงเซียนยื่นมือซ้ายออกไปอย่างช่วยไม่ได้ กดลงไปอย่างเชื่องช้า
ทันใดนั้น เลือดห้าหยดไหลลงในประตูเหล็กดำ
ประตูหินเริ่มเปิดอย่างเชื่องช้า ห้องปิดตายที่เงียบสนิทปรากฏขึ้นต่อหน้าทุกคน
………………………………………………