บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน - บทที่ 77 วิชาอัสนีอันดับหนึ่งในรอบห้าพันปีมานี้
- Home
- บุตรแห่งโชคที่ว่า ไม่ใช่ข้าแน่นอน
- บทที่ 77 วิชาอัสนีอันดับหนึ่งในรอบห้าพันปีมานี้
บทที่ 77 วิชาอัสนีอันดับหนึ่งในรอบห้าพันปีมานี้
เมื่อเห็นฝนศิลาวิญญาณตกลงมาแน่นขนัดจากความว่างเปล่านั้นแล้ว นักพรตชรายิ้มสุขใจ
เขายื่นมือขวาออกไปช้าๆ งอห้านิ้วมือเล็กน้อยแผ่แรงดูดมหาศาลอย่างยิ่งออกไป
ศิลาวิญญาณหลายล้านก้อนนั้นถูกเขาเหนี่ยวนำลอยเข้ามาหาทันที
นักพรตประสานมุทรา เก็บศิลาวิญญาณทั้งหมดเข้าไปในแหวน
“กำไรงามๆ นี่พอให้ข้าใช้ได้หลายเดือนเลย! สหายทุกท่าน ยินดีนะถ้าครั้งหน้าจะสะกดรอยตามศิษย์ของแดนศักดิ์สิทธิ์เราอีก แค่พกศิลาวิญญาณมามากพอ ข้าจะไม่สร้างความลำบากให้พวกเจ้า แต่ถ้าครั้งหน้าอย่าตามบุตรสาวของศิษย์น้องข้าอีกจะดีกว่า ถึงอย่างไรนางก็เป็นสตรี
แต่ถ้าสะกดรอยตามเจ้าโง่จางอวิ๋นถิงกับฟางฉางสองคนนั่น ทุบตีสักหน่อยก็ไม่เป็นไร”
นักพรตเร่งเพลิงเขียวนภากาศย่างอินทรีปีกทองไปพลาง พูดกลั้วหัวเราะไปพลาง
“อ้อ ตอนนี้ข้ากำลังย่างพญาอินทรีปีกทองราชาสัตว์อสูรแห่งเผ่าพญาปักษาเขตแดนใต้ สหายทุกท่านไม่สนใจจะออกมาชิมรสชาติเลิศรสด้วยกันรึ”
ไม่มีคำตอบใดๆ จากมวลอากาศ มีเพียงกลิ่นอายพลังหลายสายที่ห้อทะยานออกไปอย่างเร่งรีบ
นักพรตไม่ขวางไว้ เขายิ้มพลางพลิกพญาอินทรีปีกทอง ทั้งยังโรยเครื่องปรุงลงบนตัวมัน
คนพวกนั้นในเงามืดระงับความโกรธเอาไว้ แต่ละคนมีฐานะไม่ธรรมดามาก ถ้านักพรตชราลากพวกเขาออกมาหมดจริงๆ คงจะสนุกน่าดู
ตอนนี้แค่เอาราชาสัตว์อสูรระดับหลอมรวมเทพมาเชือดไก่ให้ลิงดูก็พอแล้ว ถึงอย่างไรคนพวกนั้นก็แค่สะกดรอยตาม ยังไม่ได้ลงมือ
ศิลาวิญญาณล้านก้อนก็คือการชดใช้ของพวกเขาแล้ว นี่ถือว่าเป็นกฎเกณฑ์ลับๆ ของโลกบำเพ็ญเซียนเซียน
……
พญาอินทรีปีกทองที่ถูกเพลิงเขียวนภากาศย่างอยู่เปล่งแสงเทพสีสองทั้งตัว
นั่นคือพลังแห่งสายเลือดกับพลังอสูรของพญาอินทรีปีกทองกำลังถูกหลอมละลายเป็นแก่นพลังสำคัญช่วยบำรุงที่ดั้งเดิมที่สุด
ด้วยเป็นราชาอสูรระดับหลอมรวมเทพ โลหิตหยดหนึ่งแฝงไว้ด้วยพลังงานและอานุภาพมหาศาล ถ้าผู้บำเพ็ญระดับต่ำกว่าแก่นพลังทองกินเข้าไป จะถึงขั้นตัวระเบิดตายได้
แต่หากหลอมแล้วสูบกินได้จริงๆ จะเป็นอาหารบำรุงชั้นยอด
สรรพคุณของเนื้อพญาปักษาหนึ่งชิ้นไม่ด้อยไปกว่าโอสถวิญญาณหรือว่านเซียนเท่าไรเลย!
“เสี่ยวซีเอ๋อร์เจ้าบาดเจ็บไม่เบาเลยนะ มากินเนื้อนกของอาจารย์ลุงหน่อยดีกว่า”
นักพรตชรามองจางอวิ๋นซีที่กำลังนั่งขัดสมาธิรักษาบาดแผล ฉีกขาพญาอินทรีปีกทองออกมาน่องหนึ่ง
พญาอินทรีตัวนี้ความจริงมีความยาวหลายสิบจั้ง แต่โดนนักพรตชราย่อขนาดเหลือเท่าไก่ตัวผู้ ขานกใหญ่แฝงไว้ด้วยแก่นรากชีวิตที่ยอดเยี่ยมที่สุด สรรพคุณสุดยอดเหนือชั้นยิ่ง!
ถ้าไม่ใช่เพราะแม่หนูจางอวิ๋นซีถูกใจผู้อาวุโสบัวมรกตอย่างมากละก็ เขาจะไม่ยอมให้แน่นอน!
‘หากเป็นจางอวิ๋นถิงหรือฟางฉางสองคนนั้นจะกล้าแย่งข้ากินหรือ
เหอะๆ ข้าจะหักขาพวกมันเลย!’
…….
“ขอบคุณอาจารย์ลุง”
จางอวิ๋นซีรับขานกมา เคี้ยวอย่างละเอียดค่อยๆ กินไป
นางดูดกลืนพลังงานที่บริสุทธิ์ที่สุดจากการโดนเพลิงพิลึกหล่อหลอมในทันที ไม่นานนางก็รู้สึกว่าบาดแผลในร่างกายกำลังฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว
นักพรตชราย่างพญาอินทรีปีกทองไปพลางถามไปพลาง
“เสี่ยวซีเอ๋อร์ เจ้าส่งข่าวมาว่าหาจี้มังกรพยัคฆ์เทพสวรรค์เจอแล้ว จริงรึ”
แม้แต่ผู้แข็งแกร่งอย่างนักพรตชราก็ยังจริงจังยิ่งเวลาคุยเรื่องจี้มังกรพยัคฆ์เทพสวรรค์ ถึงอย่างไรก็มีแต่หามรดกสืบทอดต้องห้ามสูงสุดคืนมาได้เท่านั้น ถึงจะทำให้แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ยิ่งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง
จางอวิ๋นซีพยักหน้า จากนั้นหยิบจี้หยกที่โดนผนึกกลิ่นอายพลังเอาไว้ออกมาจากอกเสื้อ
นางสูดลมหายใจเข้าลึกทีหนึ่ง “ท่านอาจารย์ลุงดูเอาเถอะ จี้มังกรพยัคฆ์เทพสวรรค์อยู่นี่แล้ว ในเมื่ออาจารย์ลุงมาแล้ว ก็ขอให้ท่านรักษามันไว้ดีกว่า”
นัยน์ตานักพรตชราเผยประกายประหลาดใจ รีบปฏิเสธว่า “เช่นนั้นจะได้อย่างไร! ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นคนหาเจอ”
จางอวิ๋นซียิ้ม “อาจารย์ลุงมีพลังบำเพ็ญสูงส่ง เก็บไว้กับท่านปลอดภัยกว่า”
“ในเมื่อเสี่ยวซีเอ๋อร์แน่วแน่เช่นนี้ อาจารย์ลุงก็จะฝืนรับหน้าที่ช่วยเอง!” นักพรตตบหน้าอกกล่าว “วางใจเถอะ ใครก็อย่าคิดจะแย่งมันไปจากข้า!”
…….
หลังจากกินขาพญาอินทรีปีกทองหมดแล้ว จางอวิ๋นซีเปล่งแสงสีทองไปทั้งตัว นั่นเป็นเพราะพลังมหาศาลเกินไป ไม่อาจหลอมได้อย่างสมบูรณ์
ทว่ามองไปที่นักพรตชราข้างกาย เขาต่างไปอย่างสิ้นเชิง
เขากินพญาอินทรีปีกทองไปทั้งตัว กระทั่งเคี้ยวกระดูกลงไปด้วย ทว่ากลับไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย เหมือนว่าเขาไม่ได้กินราชาอสูรระดับหลอมรวมเทพ แต่เป็นแค่ไก่ตัวผู้ใหญ่ธรรมดาเท่านั้น
ครั้นกินพญาอินทรีปีกทองหมด นักพรตชรากับจางอวิ๋นซีก็หยัดกายขึ้น มุ่งหน้าไปยังเมืองที่ใกล้ที่สุด
โลกบำเพ็ญเซียนกว้างใหญ่ไพศาล ลำพังแค่อาณาเขตที่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ดูแลอยู่ก็มีเป็นร้อยล้านลี้แล้ว
ถ้าขี่อาวุธบินไป ผู้แข็งแกร่งระดับหลอมรวมเทพยังต้องขาอ่อน ด้วยเหตุนี้ในการเดินทางระยะไกล ผู้บำเพ็ญส่วนใหญ่จึงเลือกใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแทน
เมืองที่อยู่ห่างนักพรตชรากับจางอวิ๋นซีไปไม่ไกล ก็มีค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่ที่หนึ่งเช่นกัน
พวกเขาใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายนี้ย้ายไปยังเมืองการค้าบำเพ็ญเซียนที่ใหญ่ที่สุดในละแวกนี้ได้
จากนั้นค่อยยืมยอดค่ายกลเคลื่อนย้ายทางไกลที่นั่น ส่งไปใกล้ๆ กับแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ได้ทันที
……..
หลังผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายสองครั้ง ในที่สุดนักพรตชรากับจางอวิ๋นซีก็กลับมาถึงเมืองเทพสวรรค์ในช่วงโพล้เพล้
เมืองเทพสวรรค์คือเมืองการค้าโลกบำเพ็ญเซียนขนาดใหญ่ที่แดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ดูแลอยู่
เนื่องจากแดนศักดิ์สิทธิ์ปักหลักตั้งมั่นอยู่ในโลกเล็กที่แยกตัวสันโดษ ดังนั้นทุกค่ายกลเคลื่อนย้ายจึงส่งเข้าไปในสำนักโดยตรงไม่ได้
ออกจากเมืองเทพสวรรค์มาแล้ว ทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังยอดเขาเทพสวรรค์ที่เป็นทางเข้าของโลกเล็กเทพสวรรค์ ที่นั่นเป็นทางเข้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์เพียงทางเดียว มีการป้องกันหนาแน่นยิ่ง
สองคนหยิบป้ายแสดงฐานะของตนออกมายืนยันฐานะ จากนั้นผ่านช่องทางมิติแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ เข้าไปในโลกเล็กเทพสวรรค์
…….
ในฐานะฐานที่มั่นแดนศักดิ์สิทธิ์ ในโลกเล็กเทพสวรรค์ย่อมมีพลังวิญญาณเต็มอิ่มอย่างยิ่ง
แม้จะอยู่รอบนอก พลังวิญญาณก็ยังเข้มข้นกว่าอาณาจักรต้าเหยียนหลายเท่า ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงยอดเขาวิญญาณที่ศิษย์สายตรงพวกนั้นฝึกอยู่ตรงเขตศูนย์กลางเลย
ภายใต้การบ่มเพาะด้วยพลังวิญญาณ ทุกที่จึงมีแต่ว่านพิลึกดอกไม้อัศจรรย์ที่หาได้ยากข้างนอก งดงามหลากหลายจนดูไม่หมด
ส่วนการฝึกบำเพ็ญในสภาพแวดล้อมแบบนี้ ต่อให้ไม่มีศิลาวิญญาณช่วยเลยก็อาจจะไม่อ่อนแอกว่าผู้บำเพ็ญธรรมดาพวกนั้นข้างนอกเท่าไร
นักพรตชรามองยอดเขาวิญญาณรอบๆ ด้วยความชื่นชม ก่อนจะลูบจี้มังกรพยัคฆ์
เขากับจางอวิ๋นซีเดินตามกันไป มุ่งหน้าสู่วิหารเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์บนยอดเขาหลัก
……
ประตูใหญ่วิหารเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์พลันเปิดออก
ทุกส่วนของวิหารใหญ่แห่งนี้สร้างขึ้นจากผลึกอัสนี ตัวมันเองก็เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงสุด
ถ้าถึงยามจำเป็นจะกลายเป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ธาตุอัสนีที่แกร่งที่สุด จัดการสังหารศัตรู
วิหารใหญ่ที่เป็นสีม่วงทุกส่วนมีเสาค้ำยันสิบต้น บนเสาแกะสลักสัตว์เทพเอาไว้
อัสนีเทพสีสันต่างๆ ส่องประกายวูบวาบบนเสาสิบต้น ส่องแสงพร่างพราวยิ่ง
นั่นคือปัญจธาตุหยินหยาง คือสุดยอดสายฟ้าทรงพลังสิบชนิด!
ตรงใจกลางวิหารใหญ่เป็นบัลลังก์ บุรุษคนหนึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์อย่างสงบเรียบร้อย
ผิวกายของเขามีสายฟ้าพันรอบ ส่องแสงสว่างจนไม่อาจมองตรงๆ ได้ ทุกส่วนรอบตัวยังมีไอเซียนหนาแน่นลอยอยู่ ราวกับหมอกปริศนาปกคลุมตัวเขาไว้
ทั้งที่เขานั่งอยู่ข้างหน้า แต่กลับเหมือนไม่อยู่ในโลกนี้ แต่หลุดพ้นออกไปนอกอวกาศ ไร้ซึ่งเหตุและผลนานัปการอยู่กับตัว
คนผู้นี้ก็คือจางหลงยวนเจ้าแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ ได้รับการขนานนามว่ามีวิชาสายฟ้าเป็นอันดับหนึ่งแห่งดินแดนบูรพาในช่วงห้าพันปีที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน เขายังเป็นอาจารย์ของฟางฉางศิษย์พี่ใหญ่แห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ และเป็นบิดาของจางอวิ๋นซีกับจางอวิ๋นถิงด้วย
มังกรเขียว พยัคฆ์ขาว และกิเลนทองแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์เทพสวรรค์ล้วนมาจากตระกูลเดียวกัน!
……………….