บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตนอที่ 631
บทที่ 631 ข้อมูลก็คือพลัง
อัตราการเต้นของหัวใจเต้นพลาดไปหนึ่งจังหวะ
กู้อ้าวเวยพยายามดิ้นรนออกมาจากความฝันร้ายด้วยความเจ็บปวด กิ่งไม้ที่อยู่เหนือศีรษะส่งเสียงสวบสาบออกมา ข้างหูยังมีเสียงลมหายใจแผ่วเบาของฟ่านเฟิงรวมถึงเสียงปะทุของกองไฟลุกจ้า
ความเจ็บปวดที่แปลบปลาบอยู่ในช่องท้องบังคับให้นางหยัดตัวลุกขึ้น
“เจ็บที่ช่วงท้องหรือ” กุ่ยเม่ยที่นั่งเฝ้ายามอยู่ข้างกองไฟเอ่ยปากถาม ฟ่านเฟิงที่อยู่ข้างกายก็พลอยลืมตาขึ้นมาด้วย ก่อนมองเข้ามาด้วยความกังวล
“เป็นเรื่องปกติน่ะ พวกเจ้าสองคนมองข้าอยู่แบบนี้ ข้าทำตัวไม่ถูกใหญ่เลย” กู้อ้าวเวยแสร้งทำเหมือนไม่เป็นอะไรพลางกลอกตาใส่พวกเขา ฟ่านเฟิงกระแอมไอหลายทีก่อนล้มตัวลงนอนอีกครั้ง กุ่ยเม่ยกลับหยิบเสบียงอาหารแห้งและถุงน้ำเข้ามา “ถ้าอย่างนั้นก็คงหิวแล้ว?”
กู้อ้าวเวยมองไปทางขนมอบแผ่นใหญ่เบื้องหน้าอย่างจนคำพูด “ข้าไม่ใช่หมูนะ”
“กินหรือไม่กิน?” กุ่ยเม่ยยัดข้าวของใส่ในอ้อมแขนของนาง พลันเห็นว่ากู้อ้าวเวยคว้ามันขึ้นมากินด้วยความฟัดเฟียด อย่างไรเสียนางก็เอาแต่ไม่กล้ากินอาหารป่าด้านนอก เสบียงแห้งค่อนข้างสะอาด แต่ว่ามันทำให้ท้องอิ่มกลับไม่มีโภชนาการอะไรเลย
ความถี่ของอาการเสียดท้องผิดปกติมากเกินไป
อีกอย่างนางรู้สึกว่าออกจะแปลกประหลาดอยู่รำไร จึงเอ่ยถาม “รายชื่อบัญชีที่แม่หญิงตู้ส่งให้เจ้า เจ้าให้คนไปส่งที่เอ่อตานแล้วหรือยัง”
“ส่งออกไปตั้งนานแล้ว อีกอย่างคำถามนี้ท่านก็เคยถามมาแล้วตั้งสองรอบ” กุ่ยเม่ยนั่งลงข้างกายของนาง
“จริงหรือ?” กู้อ้าวเวยตอบกลับด้วยอาการจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คล้ายกับหากเอาแต่เงียบตลอดเวลา นางมักรู้สึกว่าตนจะเผยพิรุธออกมา
หลังจากกินอิ่มหนำสำราญแล้วก็ไม่อยากนอนหลับ จึงได้เฝ้ายามกลางคืนด้วยกันกับกุ่ยเม่ยเอาเสียดื้อๆ
รอกระทั่งวันที่สองจึงนอนหลับบนรถม้าสักพัก ตอนที่ใกล้ถึงเมืองล่ายเสวียน ฟ่านเฟิงถึงได้ถามอย่างใคร่รู้ “พระองค์นางดูคล้ายจะรักการนอนมากเกินไปแล้ว”
“ให้นางนอนไปเถิด ถึงตอนนั้นที่เคลื่อนพลไปออกศึกพร้อมกองทัพจะได้ทบรับไม่ไหว” กุ่ยเม่ยชะลอความเร็วลงเล็กน้อย
ถึงแม้ตอนนี้ครรภ์จะทรงตัวแล้ว แต่ถ้าหากเหนื่อยกรำกับการขึ้นรถลงเรือ มักจะไม่ดีเอาได้ และก็ไม่รู้ว่าถึงตอนนั้นกู้อ้าวเวยจะกลับไป หรือว่าจะคอยออกอุบายอยู่เบื้องหลังกันแน่
ครั้งนี้มาถึงเมืองล่ายเสวียน แต่กลับค่อนข้างแตกต่างไปจากการมาเยือนเมื่อคราวก่อน
คนที่ไม่ค่อยชอบกู้อ้าวเวยในตอนแรก คล้ายจะเปลี่ยนความคิดแล้ว ตลอดทางเข้าเมืองล้วนราบรื่นไร้อุปสรรค ฟ่านเฟิงรีบร้อนอธิบาย “คนภายในเมืองนั้นหัวหน้ากองทหารล่ายเสวียนได้กวาดล้างออกไปยกหนึ่งแล้ว ค้นพบคนที่จงใจยุแยงจำนวนไม่น้อยจึงลงโทษไป ตอนนี้ความคิดที่มีต่อพระองค์ก็เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างแล้ว”
“เจ้าหมายความว่า ตอนนั้นมีคนจำนวนมากที่จงใจหันหัวหอกพุ่งมาที่นาง?” กุ่ยเม่ยมุ่นคิ้ว
“ว่าไปแล้วก็ละอายใจนัก แต่ว่าคนไม่น้อยเลยที่คิดว่าการเคลื่อนพลออกศึกเป็นเรื่องของผู้ชาย ในใจลึกๆ โดยส่วนตัวก็เลยไม่ชอบนาง และคนที่ยุยงพวกนั้นส่วนใหญ่ก็ไม่พอใจ อย่างไรเสียหัวหน้ากองทหารล่ายเสวียนก็ยังคงครองใจประชาชนอยู่” ฟ่านเฟิงหัวเราะแห้งๆ หลายที “อีกอย่างแพทย์ทหารที่เหลืออยู่ที่นี่ต่างบอกว่าพระองค์ดีมากๆ ทิ้งสูตรยาและเงินเอาไว้ไม่น้อยเลย”
ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง กุ่ยเม่ยพยักหน้าอย่างเข้าใจ
ในเมืองแสนอึกทึก กู้อ้าวเวยตื่นขึ้นมาด้วยความงุนงง นวดศีรษะที่ยังคงปวดตุบๆ เป็นระยะพลางโผล่หน้าออกไปส่องดู กระพริบตาปริบๆ “เหตุใดข้าถึงไม่ได้ยินเสียงเปิดประตูเมืองเลย มาถึงตั้งแต่เมื่อไรกัน”
“เพิ่งถึงเมื่อครู่นี่เอง” กุ่ยเม่ยดันนางกลับเข้ามาในรถม้าตามเดิม “สวมเสื้อผ้าเพิ่มหน่อยค่อยโผล่หน้าออกมา”
“มันใกล้จะถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้วน่า” ปากกู้อ้าวเวยพูดไปพลาง แต่ว่ายังคงสวมเสื้อผ้าอย่างว่าง่ายอยู่ดี
รอกระทั่งรถม้าจอดนิ่งอยู่ด้านนอกเรือนของล่ายเสวียน กู้อ้าวเวยจึงถูกกุ่ยเม่ยพยุงลงมา ขาสองข้างออกจะปวดแสบหน่อยๆ แต่ก็ทำได้เพียงยืนพิงกุ่ยเม่ย ภายใต้เสื้อคลุมตัวยาวนี้ทำให้ไม่เห็นหน้าท้องของนางชั่วคราว
ล่ายเสวียนนำคนออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง ข้างกายยังมีคนคุ้นหน้าตามมาด้วยสองสามคน กู้อ้าวเวยกลับทำเพียงพิงกุ่ยเม่ยเอาไว้ กล่าวเสียงต่ำว่า “ข้าต้องการบันทึกน้ำใต้ดิน และก็ต้องการคนที่ว่ายน้ำเป็นสักสองสามคนด้วย”
มักจะเปิดประเด็นอย่างตรงไปตรงมาเสมอ ทำธุระพูดจาใดๆ ไม่เคยใส่ใจเรื่องพิธีรีตอง กู้อ้าวเวยทำเพียงเดินตามล่ายเสวียนเข้าไปด้านใน และเอ่ยต่อไปพลาง “เมืองแห่งนั้นเดิมก็เป็นเมืองบุกง่ายป้องกันยากอยากอยู่แล้ว เพียงขนาบสองฝั่งก็สามารถถูกยึดได้อย่างรวดเร็ว อีกอย่างอ้ายหยินยังส่งทาสจำนวนสองพันคนมาเป็นเกราะกำบังเนื้อมนุษย์แล้วด้วย ถ้าหากพวกเราสามารถคิดหาวิธีภายในบรรจบภายนอกได้ บางทีเมืองแห่งนี้ก็ยิ่งจะตีแตกได้ง่ายขึ้น”
กุ่ยเม่ยแปลกใจ ข้อมูลแม่นยำขนาดนี้เหตุใดเขาถึงไม่รู้เลยสักนิดกันเล่า?
ส่วนฟ่านเฟิงคล้ายกับมองออกถึงความเคลือบแคลงของเขาแล้ว จึงกล่าวเสียงต่ำว่า “ตอนที่ข้าเฝ้ายามกลางคืนในทุกๆ ค่ำนั้นก็จะมีข้อมูลข่าวสารมาบอกนางเสมอ”
ข้อมูลก็คือพลังนั่นเอง กุ่ยเม่ยฉุกคิดถึงประโยคนี้ขึ้นมา
ล่ายเสวียนสาวเท้าไปสองสามก้าว พลางมองนาง “แบบนี้มันจะเละเทะเกินไป”
“ข้าเพียงแค่ต้องการหนึ่งพันคนสัญจรทางน้ำ อีกอย่างจะได้ดูว่าเจ้าเป็นขวัญใจประชาชนหรือเปล่าพอดีเลย ครั้นพวกเขาต้นพบว่าพวกทาสล้วนหลับตูหลับตาตามเจ้า จะต้องส่งคนมากำราบแน่ ถึงตอนนั้นภายใต้สถานการณ์บีบบังคับทาสเหล่านั้นจะลุกฮือขึ้นมาเอง การโจมตีเมืองของเจ้าในอนาคตนั้นมีแต่ได้เปรียบไร้ข้อเสียเปรียบ” กู้อ้าวเวยปริปากอย่างราบเรียบ พลางมองที่เขา “ขณะเดียวกัน ทาสพวกนั้นส่วนใหญ่จะถูกฆ่าตาย เพื่อให้ผู้อื่นอย่าได้เอาเยี่ยงอย่าง สำหรับเจ้าแล้ว หากต้องการช่วยชีวิตพวกเขา ก็ต้องรีบศึกรีบแก้ไขจึงจะสามารถลดการเสียสละลงได้”
คนที่อยู่ที่นี่ส่วนใหญ่ล้วนมีชาติกำเนิดเป็นทาส รู้จักแต่ออกรบ สำหรับเรื่องที่อ้ายหยินจะทำอะไรนั้นกลับไม่รู้มากนัก
ตอนนี้ได้ยินกู้อ้าวเวยวิเคราะห์เช่นนี้ ทุกคนต่างพากันอึดอัดเล็กน้อย
กุ่ยเม่ยกดข้างเอวของนางเบาๆ “พูดจาผ่าซากเกินไปแล้ว”
“คนที่อยู่ตรงนี้ก็ไม่ใช่เด็กกันแล้ว ไยต้องอ้อมค้อมด้วย ปัจจุบันศึกใหญ่มาจ่อตรงหน้า ข้าไม่อยากเสียเวลาเพียงเพราะความละอายใจส่วนตัวและคุณธรรมนำเมตตาอะไรทั้งนั้น ยังย้ำคำเดิมอยู่ดี ความเร็วที่เจ้าโจมตีจะกำหนดชะตาชีวิตของพวกเขาทั้งหมดที่เหลืออยู่ว่ายังมีอีกเท่าไรกันแน่” กู้อ้าวเวยตบท่อนแขนของกุ่ยเม่ย สายตายังคงกวาดสำรวจล่ายเสวียนและคนเหล่านั้นด้วยแววเย็นชา “อีกอย่างพวกเจ้าไม่ต้องฟังข้าทั้งหมดก็ได้ พวกเจ้าไม่ใช่ผู้ใต้บัญชาของข้า”
บางคนมองนางด้วยความประหลาดใจ ล่ายเสวียนกลับหยุดฝีเท้ามามองที่นาง “จุดนี้ของท่านช่างทำให้ผู้คนชิงชังยิ่งนัก”
“ขอบคุณการชิงชังของเจ้านะ ข้าเพียงแต่ออกอุบายวางแผน ส่วนจะทำอย่างไรจริงๆ นั้นยังต้องให้พวกเจ้าไปตัดสินใจกันเอง อีกอย่าง ข้าเองก็ไม่รู้กองกำลังทหารและการเคี่ยวกรำตามปกติของที่นี่ แต่ข้าเองรู้ คนของพวกเจ้ามีไม่มาก ตอนที่บุกโจมตีเมืองสักแห่งนั้น ก็ต้องทำใจเตรียมพร้อมจะละทิ้งที่นี่” กู้อ้าวเวยออกห่างจากข้างตัวกุ่ยเม่ยเล็กน้อย เดินเข้าไปด้านในด้วยสายตาสุกใส “อ้ายหยินฉลาดพอจะวางอุบายมากมาย รู้ว่าเจ้าสามารถกระตุ้นโทสะประชาชนได้ ทั้งอยากกำราบไว้ และยังอยากสู้รบกับเจ้า ขอเพียงคนที่มีสมองสักนิดก็น่าจะรู้ วิธีที่ดีที่สุดไม่ใช่การเผชิญหน้ากับพวกเจ้าตรงๆ แต่เป็นการปิดล้อมให้พวกเจ้าตาย ครั้นพวกเขายึดเมืองนี้ได้ พวกเจ้าก็จะถูกล้อมโจมตีได้ทุกเมื่อ”
“เช่นนั้นพวกเราสามารถเหลือกำลังคนไว้ได้” มีคนเสนอแนะ
“เช่นนั้นพวกเจ้าก็รอให้กองทัพทั้งหมดถูกล้างบางไปเลยสิ เศษเสี้ยวผู้ใต้บัญชาของอ้ายหยินมีมากกว่าพวกเจ้าเสียอีก” กู้อ้าวเวยกลอกตาอย่างไม่เหมาะสม ยืนอยู่ใต้ชายคาแล้วมองพวกเขาเสียดื้อๆ “ทำนองเดียวกันนั้น กองทัพสองหมื่นนายไม่มีทัพไหนเลยที่เป็นปึกแผ่นมากกว่าพวกเจ้า ศิลปวิทยายุทธ์ใต้หล้านี้มีเพียงความเร็วที่ไม่อาจพังทลาย ทุบหม้อจมเรือละทิ้งเมืองนี้ ปลุกปั่นความโกรธของปวงชนยุยงจิตใจคน ใช้กำลังบุกโจมตีดุจผ่าลำไผ่ตีแตกพ่ายเมืองที่ด้อยการป้องกันของพวกเขา ใช้ชะตาชีวิตของพวกเจ้าไปอุดช่องโหว่ แล้วค่อยรับผู้คนเข้ามา นี่จึงจะเป็นวิธีการศึกที่ดีกว่า”
กล่าวสิ่งเหล่านี้จบแล้ว กู้อ้าวเวยก็ค่อยๆ ตบบ่าของล่ายเสวียนเบาๆ ใบหน้าเจือรอยยิ้ม “ขณะเดียวกัน เจ้าก็ควรจะเรียนรู้การแยกแยะถ้อยคำที่ผู้บังคับบัญชาทหารพูด ที่ข้าพูดไปนั้นถูกต้องหรือไม่ ในฐานะผู้เป็นหัวหน้ากองทหารเจ้าก็ควรไปแยกแยะ ข้าจะไปรอบันทึกน้ำใต้ดินในเรือนก่อนแล้วนะ”
ล่ายเสวียนกำหมัดแน่น ผู้หญิงคนนี้ยังคงทำให้ผู้คนบันดาลโทสะได้เช่นเคย