บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1033
บทที่ 1033 ว่างไม่มีอะไรทำ
ในเมื่อมีผู้ชายสองคนไปยุ่งอยู่กับงานข้างนอก พวกนางก็วางใจแล้ว
กู้อ้าวเวยก็นอนหลับไปอีกสองชั่วโมงแล้วค่อยตื่นขึ้นมา ได้ยินเสียงฝนที่ตกด้านนอกไม่ลดน้อยลงเลย น้ำฝนเม็ดโตกระทบกระเบื้องส่งเสียงดังสนั่น พร้อมกับเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่าสีเงิน ยิ่งทำให้ยากต่อการข่มตานอน
ในเมื่อนอนไม่หลับ กู้อ้าวเวยจึงหยิบเอาเสื้อกันหนาวมาสวมห่อตัวเองไว้อย่างแน่นหนา
เดินออกมาจากตรงระเบียงไม่ไกล นางก็มองเห็นฉีหรัวที่สวมชุดเรียบร้อยเหมือนนาง
ทั้งสองคนมองตากัน พูดขึ้นพร้อมกันว่า “ตำหนักฮองเฮา”
จากนั้น ทั้งสองคนก็หัวเราะขึ้นมา ต่างถือร่มกันคนล่ะคันแล้วเดินผ่านท่ามกลางสายฝน ด้านหลังมีหงเซียวกับนางกำนัลขันทีหลายคนเดินตาม หงเซียวตั้งใจพาพวกคนด้านหลังตามอยู่ห่างๆ เพื่อทั้งสองคนจะได้คุยกันอย่างสะดวก
“เจ้าก็รู้สึกไหมว่าเป็นการอาศัยทำร้ายฮองเฮาเพื่อลงมือกับเจ้า เป็นการกระทำที่ได้ไม่คุ้มเสีย” ฉีหรัวกระซิบพูดขึ้น
กู้อ้าวเวยพยักหัว “ได้ไม่คุ้มเสียจริง จริงๆแล้วฮองเฮาเหนียงเหนียงเป็นเพียงหุ่นเชิดของฮ่องเต้ คนที่อยู่เบื้องหลังรู้เรื่องมากมายขนาดนั้น จะไม่รู้เรื่องนี้หรือ ไม่รู้เรื่องหุ่นเชิดนี้หรือ พวกเขาเพียงแค่ลอบฆ่าฮองเฮาก็เพียงพอแล้ว ทำไมจะต้องหาคนที่ร่างกายมีพิษมา หรือต่อมาคิดจะฆ่าข้าด้วย ฟังดูแล้วก็เหมือนยิงนัดเดียวได้นกสองตัว แต่ความจริงแล้วความสำเร็จมีน้อยมาก”
“ถึงแม้ฮองเฮาจะต่อสู้จนคนร้ายได้รับบาดเจ็บ แต่ความจริงแล้วหากมีเจ้าอยู่ ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะให้ฮองเฮาตาย แล้วจึงกลับมาทำร้ายเจ้าก็มีความเป็นไปได้ แต่ไม่ว่าจะคิดยังไง ยังไงนางก็แอบทำร้ายเจ้าในที่ลับภายในวังยังดีกว่า ทำไมต้องเลือกเป็นที่ตำหนักฮองเฮา” ฉีหรัวพยักหัวอย่างจริงจัง
ที่สำคัญก็คือ คนที่อยู่เบื้องหลังคนนั้นทำไมจะต้องเลือกสถานที่ลงมือเป็นตำหนักฮองเฮา
ยังไงตอนกลางวันฮองเฮาก็จะต้องออกไปข้างนอก และนางในฐานะที่เป็นหมอเทพ ปกติก็จะต้องออกไปข้างนอก คิดอยากที่จะลงมือกับพวกนางไม่จำเป็นจะต้องเลือกลงมือภายในตำหนัก ภายในตำหนักมีทหารองครักษ์เป็นจำนวนมาก พวกเขายังสามารถเข้าไปข้างในได้อย่างง่ายดาย แล้วก็หลอกล่อกู้อ้าวเวยมาฆ่าคน ทำไมถึงไม่ส่งคนไปลอบฆ่าระหว่างทาง ยังไงก็รวดเร็วกว่านี้
ทั้งสองคนคิดไม่ออก จึงต้องไปยังตำหนักฮองเฮาเพื่อสืบหาร่องรอย
แต่เมื่อมาถึงหน้าประตูตำหนักฮองเฮา ดูเหมือนหวางกงกงกำลังจัดการเรื่องที่ฮองเฮาเหนียงเหนียงถูกทำร้าย เมื่อเห็นทั้งสองคนก็แสดงสีหน้าค่อนข้างลำบากใจ
“ฮ่องเต้มีรับสั่ง ไม่อนุญาตให้ท่านหมอเทพเข้าใกล้ตำหนักฮองเฮาอีก นอกจากนี้อีกไม่กี่วันก็จะถึงวันมงคลของคุณหนูฉี อยากเข้าไปภายสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือดดีกว่า” หวางกงกงพูดไปด้วย แล้วก็เหลือบมองดูหงเซียวอยู่หลายที ส่งสายตาหาอยู่หลายครั้ง
หงเซียวจึงต้องฉีกยิ้มแล้วก้าวเดินไปข้างหน้า พูดโน้มน้าวทั้งสองคนให้ไปจากที่นี่อย่างรวดเร็ว
ในขณะเดียวกันหวางกงกงก็เดินเข้ามา เอาโน๊ตข้อความแผ่นหนึ่งวางบนมือกู้อ้าวเวย แล้วก็พูดกระซิบว่า “ขอท่านหมอเทพ เห็นแก่เรื่องการใหญ่เป็นสิ่งสำคัญ”
เรื่องการใหญ่? เรื่องการใหญ่อะไร?
กู้อ้าวเวยไม่รู้เรื่อง ในสถานการณ์แบบนี้ในสถานการณ์ที่ไม่รู้เรื่องยังจะมีเรื่องการใหญ่อะไร
เมื่อกลับมา ฉีหรัวชักชวนกู้อ้าวเวยให้ไปคุยกันภายในห้าง แล้วจะเอานางยัดกลับเข้าไป นอนบนเตียงเหมือนเดิม
หลายวันนี้กุ่ยเม่ยอยู่ในวังไม่สะดวกไปมา ตอนนี้ได้สั่งให้ทุกคนออกไป เพื่อเขาจะได้สะดวกเข้ามา ต้มยาด้วยตัวเองแล้วก็ยกเข้ามา แล้วก็กำลังจะหยิบเอาโน๊ตข้อความนั้นมาสังเกตดูอย่างละเอียด กลับเห็นกู้อ้าวเวยฉีกกระดาษแผ่นนั้นทิ้ง ในนั้นเขียนไว้ว่า “รู้เรื่องมากไปจะไม่เป็นผลดีต่อพวกเจ้า”
กุ่ยเม่ยโกรธอย่างมาก “ควรที่จะให้ฉูห้าวมาสั่งสอนเจ้าถึงจะถูก”
“เขาเป็นน้องชายของข้า เจ้าเป็นพี่ชายของข้า ทำไมถึงไม่เห็นพวกเจ้าเอาข้าอยู่?” กู้อ้าวเวยอมยิ้มแล้วก็มุดเข้าไปในผ้าห่ม มองดูเขาด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ “ยังไงความหมายก็คือเรื่องนี้พวกเราไม่ต้องเข้าไปยุ่ง ให้ข้าคอยระวังในวันงานแต่งงาน เห็นที่ฮ่องเต้ก็คงไม่อยากที่จะให้เกิดเหตุสุดวิสัยในงานแต่งงานในครั้งนี้”
“ฮ่องเต้ทำให้เกิดเหตุสุดวิสัยในงานแต่งงานแล้วจะได้ผลดีอย่างไร?” กุ่ยเม่ยไม่เข้าใจ
“ไม่มีผลดีอะไร เพียงแต่ตอนนั้นก็จะมีวิธีบีบบังคับพวกเราเพิ่มขึ้น” ตอนนี้ฉูห้าวก็มาแล้ว นอกเสียจากเขาไม่อยากได้ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทั้งสองประเทศ จึงจะสร้างเรื่องได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้กลับพบว่าคนที่เบื้องหลังเป็นคนอื่น และก็หลบซ่อนได้เป็นอย่างดี เทียบกับพวกเราที่ต่อหน้าแล้วเป็นคนที่ช่วยเหลือเขา ยังไงก็ต้องกำจัดคนที่อยู่เบื้องหลังคนนะเสียก่อน ถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
กู้อ้าวเวยพูดขึ้นอย่างเอือมระอา
ก่อนหน้านี้ที่ฮ่องเต้ค่อยบีบบังคับ สิ่งที่เป็นกังวลก็คือกลัวนางไม่ยอมไปช่วยรักษาให้กลับยู่จุน ตอนนี้ถึงแม้นางจะยอมรับปาก ฮ่องเต้กลับกลัวว่านางจะคิดทำอะไรบ้างหรือเปล่า และก็เคยได้ยินมากจากซ่านเซิ่งหาน ว่าฮ่องเต้อยากที่จะแก้แค้นซ่านจินจื๋อจริง แต่ไม่รู้ว่าจะแก้แค้นยังไง
พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ อยากให้ซ่านจินจื๋อกับยู่จือเป็นเชื้อยาของเขากับยู่จุน ส่วนตนเองก็เป็นคนผสมยา หยูนซีรักฮ่องเต้มาก เท่ากับว่าจะไม่มีทางหักหลังฮ่องเต้ เหมือนกับฮองเฮาตงฟางซื่อในตอนนี้ เป็นผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างหนักแน่น
ตอนนี้ทั้งสองจำกัดซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดความสมดุลอยู่ไม่น้อย ฮ่องเต้ไม่มีเหตุผลที่จะทำลายความสมดุลนี้อีกแล้ว
แต่ตอนนี้อำนาจของฝ่ายที่สามเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้อง เรื่องราวจึงเกิดขึ้นจนไม่สามารถจัดการได้แล้ว
ฉีหรัวก็ดูเข้าใจความเร้นลับในนั้น แล้วก็มองดูกู้อ้าวเวยอย่างไม่เข้าใจว่า “เมื่อเป็นเช่นนี้ ตอนนี้ข้ากับเจ้าก็ไม่มีอะไรต้องทำแล้ว”
“ตามที่เขียนคือความหมายแบบนี้ เพราะยังไงในวันมงคลต่อให้เกิดเหตุสุดวิสัยอะไร ก็จะลงมือได้แค่วันนั้น ตามความตื่นตัวของคนที่อยู่เบื้องหลัง พวกเรายากที่จะสืบหาร่องรอย” กู้อ้าวเวยพยักหัวอย่างจริงจัง ยกถ้วยยาที่อุ่นแล้วขึ้นมาดื่ม รสชาติฝาดขม นางก็แค่ขมวดคิ้วเราก็นอนกลับไปเหมือนเดิม
เสียงฝนตกดังอยู่ข้างหู ทำให้นางยิ่งหงุดหงิด
ระหว่างนั้นฉูห้าวเคยมาแล้วหนึ่งครั้ง บอกว่าจะแก้ไขสินสอดของฉีหรัว เพิ่มเติมเครื่องประดับของแคว้นเอ่อตานเพื่อแสดงถึงสถานะ
กู้อ้าวเวยนั่งพิงอยู่ข้างหน้าต่าง มองดูเม็ดฝนด้านนอกหน้าต่างที่ยังตกไม่หยุด
ฤดูหนาวใก้ลเข้ามา ไม่รู้ว่าทำไมแคว้นชางหลานถึงได้มีฝนตกหนักขนาดนี้
สายน้ำนี้ไม่รู้ว่าไหลไปบรรจบที่ไหน ไม่มีใครรู้
……
ในขณะเดียวกัน ซ่านจินจื๋อก็เพิ่งกลับมาจากจวนอ๋องจงผิง ได้ยินว่ากู้อ้าวเวยเป็นไข้หวัด
“ข้าแค่เพิ่งออกจากวังเอง นางก็ทำให้ตนเองเป็นเช่นนี้แล้วหรือ?”
ปากบ่นอยู่อย่างนั้น แต่แล้วก็สั่งให้เอาเสื้อผ้าผ้าห่มที่กู้อ้าวเวยใช้ปกติส่งไปให้ทั้งหมด แล้วเรียกเซียวเซียวกับหยินซึ่งเด็กทั้งสองคนมาเขียนจดหมายสองฉบับส่งไปด้วย
หยินซึ่งหวาดกลัวซ่านจินจื๋อมาตลอด จับมือเซียวเซียวแล้วกระซิบพูดว่า “พวกเราควรเรียกเขาว่าท่านลุงหรือว่า…”
“พวกเจ้าอยากเรียกว่าอะไรก็ได้ ต่อไปก่อนที่จะหาที่อยู่ใหม่ให้กับพวกเจ้าได้ ข้ากับเวยเอ๋อจะดูแลพวกเจ้าให้ดี” ซ่านจินจื๋อลูบหัวหยินซึ่งด้วยท่าทีอ่อนโยน
ไม่กระโดดโลดเต้นเหมือนพวกผู้ชาย หยินซึ่งคงเป็นเด็กผู้หญิงส่วนน้อยที่เขาเก็บมาเลี้ยง
ก่อนหน้านี้ที่รับเด็กเข้ามายังเรือนหลัง ส่วนมากก็เป็นผู้ชาย เด็กผู้หญิงบางส่วนคงถูกขายไปยังที่ต่างแล้ว เรื่องที่มีมาแต่โบราณแบบนี้ยังไงก็แก้ปัญหาไม่ได้ในเร็ววัน เขาก็ทำได้เพียงปกป้องคนที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น
หยินซึ่งหน้าแดง ขยับไปซบอกซ่านจินจื๋อ พูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ท่านลุง”
“เด็กดี” ซ่านจินจื๋ยื่นมืออุ้มนางขึ้นมา ในใจกลับอดคิดไม่ได้ที่อยากได้ลูกสาวอีกคน
กู้อ้าวเวยที่นอนอยู่บนเตียงจามขึ้นมาหนึ่งที แล้วก็ถูกกุ่ยเม่ยยื่นมือเอาผ้าห่มปิดไว้
“อย่าแพร่เชื้อให้คนอื่น”
“ฮือ” ทำไมพวกเจ้าชอบปิดปากข้าตลอด