บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1038
บทที่ 1038 หายตัวไป
“คนที่ได้รับบาดเจ็บคือเจ้า”
กู้อ้าวเวยขมวดคิ้วแล้วดึงคนตรงหน้าไปไว้ด้านหลังอย่างปกป้อง ดวงตาไร้ซึ่งความอ่อนหวาน เหลือไว้เพียงความเย็นชา
“คุณหนูใหญ่ตงฟางรู้ไหมว่าทำร้ายร่างกายองค์ชายมีโทษสถานใด?”
สีหน้าตงฟางซวนเอ๋อเปลี่ยนไปทันที มือกำอยู่บนใบมีด แต่สีแดงตกไหลลงพื้น
ส่วนซ่านเซิ่งหานที่ถูกกู้อ้าวเวยป้องไว้อยู่ไว้ข้างหลังไม่รู้จะทำอย่างไร สายตามองดูบนไหล่ของกู้อ้าวเวย แล้วพูดว่า “แค่บาดเจ็บเพียงเล็กน้อย”
“ใครใช้ให้เจ้าเข้ามายุ่ง” กู้อ้าวเวยโยนผงยาในมือลงพื้นอย่างโมโห มองดูตงฟางซวนเอ๋อแล้วพูดว่า “ทหาร คุณหนูใหญ่ตงฟางทำร้ายร่างกายองค์ชายสามบาดเจ็บ ส่งตัวออกไปจากวัง นี่เป็นคำสั่งของท่านอ๋องจิ้ง”
พูดเสร็จ กู้อ้าวเวยก็เอาป้ายที่ซ่านจินจื๋อ ให้ตนเองไว้วางบนโต๊ะ
ทหารอารักษ์ขาที่อยู่ด้านนอกประตู ก็เข้ามาพาตัวนางไป
กู้อ้าวเวย ล้วงเอายาห้ามเลือดในกระเป๋าออกมาวางบนมือของซ่านเซิ่งหาน
สิ่งที่นางไม่อยากทำที่สุดก็คือ ติดหนี้บุญคุณซ่านเซิ่งหานคนนี้
แต่ซ่านเซิ่งหาน กลับอมยิ้มแล้วพูดว่า “เดิมข้าตั้งใจจะมาบอกเล่าเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนฉีในวันนี้ แล้วก็เห็นตรงเอวตงฟางซวนเอ๋อ มีแสงประกายแวววาวของมีด ข้าจึงเข้ามา”
“ยังไงครั้งนี้ก็ขอขอบคุณ แต่ข้าก็ยังหาอยากให้เจ้ารู้ว่า ข้ากับเจ้าไม่มีความเกี่ยวพันกัน ข้าไม่อยากติดนี่อะไรเจ้า”
น้ำเสียงกู้อ้าวเวยอ่อนโยน ยังคงทำร้ายจิตใจซ่านเซิ่งหานไม่ลง
ซ่านเซิ่งหานยังคงมองนาอย่างลึกซึ้ง นางกลับให้อะไรเขาไม่ได้ แต่อย่างน้อย ก็ไม่ควรที่จะทำร้ายเขามากเกินไป
พูดจาอ่อนโยนเด็ดขาด แต่ซ่านเซิ่งหานก็ไม่เคยบีบบังคับด้วยกำลัง และก็ไม่เคยทำอะไรที่ไม่ดีเพราะนาง
ผู้ชายแบบนี้ ทำไมจะต้องมาเจ็บปวดเรื่องความรัก ใช้เวลาเพื่อให้ทุกอย่างราบรื่นดีกว่า ทิ้งไว้เพียงความเป็นเพื่อนกันก็เพียงพอแล้ว
“ข้ารู้ ครั้งนี้เป็นแค่เรื่องสุดวิสัย” ซ่านเซิ่งหานหัวเราะแห้งๆแล้วก็ละสายตาไป กำลังคิดจะพูดเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนฉี กลับได้ยินกู้อ้าวเวยพูดต่อว่า “ข้ารู้เรื่องทุกอย่างแล้ว”
“เจ้ากับเสด็จอาช่างใจตรงกันจริงๆ ข้าก็ไม่ต้องช่วยอธิบายอะไรแล้ว” ซ่านเซิ่งหาน ประกายแววอมยิ้มอย่างขมขื่น แล้วก็พูดกับนางว่า “เรือนสองชั้นในจวนของข้าถูกรื้อจนหมดแล้ว ตอนนี้เหลือเพียงกำแพงที่พังทลาย ต่อไป ข้าจะเห็นว่าเจ้าเป็นภรรยาของเสด็จอา จะให้ความเคารพและนับถือ”
พูดเสร็จ แล้วเขาก็ยกมือขึ้นประสาน สีหน้าขมขื่น
ทั้งๆที่ก็พูดว่าปล่อยวางมาตั้งหลายครั้งมากแล้ว
กู้อ้าวเวยก็ระมัดระวังขึ้นมาอย่างเกรงใจ นางยากที่จะยอมรับมิตรภาพอันร้อนแรงของผู้อื่นมาโดยตลอด จึงพูดขึ้นว่า “บนโลกนี้มีผู้หญิงที่ดีกว่าข้าตั้งมากมาย ต่อไปองค์ชายสามจะต้องได้เจอที่ดียิ่งกว่า”
“แต่มีเพียงสิ่งเดียว ที่ข้าอยากทำมาตลอด เจ้า…กับข้าได้….” ซ่านเซิ่งหานดูเหมือนละอายใจ ใบหน้าแดงระเรื่อ
น้อยครั้งมากที่จะได้เห็นซ่านเซิ่งหานปรากฏท่าทีแบบนี้ กู้อ้าวเวยกลับถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “เรื่องอะไร?”
“เมื่อก่อนเจ้ากับข้าอาศัยอยู่ภายใต้ชายคาเดียวกัน ในใจข้าก็รักชอบเจ้าแล้ว” ซ่านเซิ่งหานพูดขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “แต่ว่าพวกเราไม่เคยได้ดื่มด้วยกันสองคนลำพัง หวังเพียงว่าจะได้ดื่มกับเจ้าสักครั้ง ชมด้วยจันทร์ไปด้วย พูดคุยกันไปด้วย”
“ทำไม?” กู้อ้าวเวยขมวดคิ้ว
เพิ่งพูดเสร็จ ก็แลเห็นแววตาซ่านเซิ่งหานฉายแววเยือกเย็น พูดขึ้นว่า “กำแพงสูงในพระราชวังคือมังกร ก่อนที่จะขึ้นไปเป็นฮ่องเต้ อยากที่จะสมหวังกับความปรารถนาง่ายๆนี้ กลัวว่าต่อไปเมื่อพบกัน ข้าก็คงพูดถึงเจ้าต่อหน้าเสด็จอาไม่ได้แล้ว”
ฟังแล้ว คำพูดนี้เมื่อใช้พลังทั้งหมดที่มีของซ่านเซิ่งหาน
สายตาของเขามองดูกู้อ้าวเวยอย่างคาดหวัง กู้อ้าวเวยจึงยากที่จะปฏิเสธ
ต่อไปเมื่อทุกสิ่งกระจ่าง เขาก็จะกลายเป็นฮ่องเต้ผู้สูงส่ง ต้องเผชิญหน้ากับนางสนมที่มีความคิดต่างๆมากมาย กลายเป็นสิ่งที่ยากต่อการแยกแยะผิดถูก และถูกกำหนดไว้แล้วว่ายากที่จะพบเจอกับความสงบสุข
ต่อให้เป็นเช่นนี้ ซ่านเซิ่งหานก็รู้ดีถึงความเยือกเย็นเงียบเหงาของการเป็นฮ่องเต้ แต่ก็ยังคงไม่เปลี่ยนใจ
กู้อ้าวเวยก็ยิ้มอย่างขมขื่น แล้วพูดว่า “ได้ คืนนี้เป็นไง?”
ซ่านเซิ่งหานยิ้มหน้าบานขึ้นมาทันที เหมือนฉูห้าวดีใจตอนที่ยังเป็นเด็ก พร้อมยิ้มพูดว่า “คืนนี้ ข้าจะรีบกลับไปเอาเหล้าดีมา”
กู้อ้าวเวยพยักหัว อยากช่วยเขาทำแผล คนคนนั้นกลับไปอย่างดีใจคนไม่ทันเห็นแม้แต่เงา
“จริงหรือ…แค่ดื่มเหล้าก็ดีใจถึงเพียงนี้แล้วหรือ?” ตลอดชีวิตนี้กู้อ้าวเวยก็คงไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกแบบนี้ ความรักที่ไม่ได้รับการตอบกลับ
แต่เรือนสองชั้นนั้นได้ถูกรื้อถอนทิ้งแล้ว ซ่านเซิ่งหานไม่เคยล่วงเกินตนเองเลย นางจึงค่อนข้างวางใจ
เมื่อเล่าเรื่องคืนนี้ที่จะไปดื่มด้วยกันให้กับฉีหรัวฟัง ฉีหรัวเพียงถามนางว่า “เจ้าเชื่อใจเขาถึงเพียงนี้หรือ?”
“ที่จริงคนในตระกูลซ่านล้วนเป็นคนดี แต่หวั่นไหวกับผู้หญิงง่ายไปหน่อย” กู้อ้าวเวยอมยิ้ม เอนพิงไหล่ฉีหรัวแล้วหลับตาพูดว่า “ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ พวกเราได้กลายเป็นครอบครัวกันแล้ว”
ฉีหรัวอมยิ้มแล้วพูดว่า “อ๋องจิ้งปกป้องกู้ซวงขนาดนั้น เจ้าไม่หึงหรือ?”
“หึง เขาก็ไม่รู้” กู้อ้าวเวยถอนหายใจหลายที ฉีหรัวก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
รอเมื่อถึงตอนพลบค่ำ ซ่านเซิ่งหานสั่งในครัวทำอาหารเลิศรสมากมาย แล้วก็หาเหล้าอย่างดีมา ตามกู้อ้าวเวยมายังตำหนักร้างที่ไม่มีคน ทั้งสองคนนั่งดื่มด้วยกันอยู่ในตำหนัก ซ่านเซิ่งหานพูดถึงเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นตอนที่เขาอยู่ในวังที่ผ่านมา
อย่างเช่นเรื่องที่ก่อเรื่องซนจนถูกอาจารย์ตี อ่านนิยายแล้วก็ไปแซวล้อเลียนพวกนางกำนัลที่อายุยังน้อย
กู้อ้าวเวยอึ้ง คิดไม่ถึงว่าเขาก็เคยมีช่วงเวลาที่ซนแบบนี้ แล้วก็พูดเพียงตอนที่หลังจากตอนเองเข้าไปอยู่ในจวนอ๋องจิ้งแล้วได้เจอกับเรื่องอะไรสนุกๆบ้าง
ลมหนาวปลายฤดูใบไม้ร่วงพัดเข้ากระดูก แต่ก็ไม่สามารถต้านทานสุรารสกลมกล่อมที่เข้าไหลเข้าไปอบอุ่นร่างกายได้
ยิ่งคุยกันเยอะ ก็ยิ่งดื่มเยอะยิ่งทานเยอะ จนเมื่อพระจันทร์สีเงินปกคลุมไปด้วยเมฆดำ ลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย กู้อ้าวเวยรู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง แล้วก็นอนหลับไป ข้างหูมีเสียงของซ่านเซิ่งหานร้องเรียกอยู่เบาๆ สุดท้ายก็เหลือไว้เพียงความเงียบ
ฉีหรัวตื่นขึ้นมาจากความฝัน ตกใจที่ตัวเองฟุบนอนอยู่บนโต๊ะทั้งคืน สมุดตรงหน้าจดเต็มไปด้วยสิ่งของที่ต้องจัดเตรียมในวันแต่งงาน นางไม่อยากให้เกิดปัญหาใดๆจึงรีบเอามาดู ตอนนี้ตื่นขึ้นมาแล้วก็ลืมไปจนหมด นวดรอบดวงตาแล้วเงยหน้ามองดูแสงอาทิตย์ด้านนอก แล้วก็เรียกนางกำนัลเข้ามาถามว่า “พวกองค์ชายสามดื่มเหล้ากันเสร็จหรือยัง?”
“ยังไม่ทราบเพคะ” นางกำนัลส่ายหัว มองดูตะวันเวลาก็น่าจะใกล้เที่ยงแล้ว
ในขณะที่ฉีหรัวกำลังครุ่นคิดอยู่ ก็เห็นหงเซียวเข้ามาอย่างรีบร้อน พูดขึ้นด้วยสีหน้าตื่นตระหนกว่า “แย่แล้ว เมื่อกี้พบว่าองค์ชายสามถูกตีสลบอยู่ในตำหนัก คุณหนูใหญ่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ในวังไม่มีใครพบเห็น”
ฉีหรัวตบโต๊ะลุกขึ้นทันที พร้อมพูดว่า “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร องค์ชายรัชทายาทแคว้นเอ่อตานนั่น….”
“เมื่อกี้องค์ชายรัชทายาทได้พาคนไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้แล้ว เมื่อกี้นี้ ฮ่องเต้มีราชโองการลับสั่งให้หาตัวคุณหนูใหญ่กลับมาให้ได้ องค์ชายรัชทายาทกำลังเขียนจดหมายกลับไปรายงาน” หงเซียวกระทืบเท้าอย่างร้อนใจ
ฉีหรัวไม่ทันได้สนใจอย่างอื่น สวมชุดเก่าเมื่อวานแล้วก็ออกไปหาฉูห้าว กลัวว่าฉูห้าวจะร้อนใจจนไปก่อเรื่อง อีกด้านก็ได้สั่งคนเอาเรื่องนี้ไปบอกซ่านจินจื๋อ
แล้วพาฉูห้าวมายังตำหนักร้างนั่น เหลือไว้เพียงป้ายที่ซ่านจินจื๋อมอบให้ไว้ที่วางอยู่บนโต๊ะ
รอบๆไม่พบรอยเลือด ส่วนองค์ชายสามซ่านเซิ่งหานยังนอนอยู่บนเตียงในห้อง
ฉีหรัวกำหมัดแน่น
ใครกันที่กล้าลักพาตัวคนไปจากพระราชวัง ที่มีการเฝ้ายามอย่างเข้มงวดได้อย่างไร้ร่องรอย