บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1062
บทที่ 1062 น้ำหนึ่งกำมือในใจ
ใครจะไปรู้ว่าเมื่อฟังเช่นนี้แล้ว ซ่านจินจื๋อกลับหัวเราะขึ้นมา
“ตอนนี้เจ้ากลับสงสัยในตัวเขาขึ้นมาแล้วหรือ”
“ข้าไม่ได้สงสัยในตัวเขา” กู้อ้าวเวยพูดปฏิเสธ มองดูสีหน้าซ่านจินจื๋อที่เปลี่ยนไป รีบพูดขึ้นก่อนที่เขาจะโมโหว่า “เขาไม่ได้หื่นเหมือนเจ้า ตั้งแต่ต้นจนถึงที่สุดก็เห็นอำนาจของประเทศเป็นสิ่งสำคัญ”
ตรงเอวถูกกอดรัดอย่างแน่น ผู้ชายเพียงทับไว้ไม่คลายมือ พูดขึ้นอย่างโหดร้ายว่า “เขาดีถึงเพียงนี้หรือ?”
“ดูเจ้าสิ ตอนนี้เจ้าสอบสวนแต่ข้า เคยสนใจเรื่องบ้านเมืองประเทศนี้ไหม?” อดร่างกายตัวเองลง แล้วกู้อ้าวเวยก็ค่อยๆหลบหลีกเขา แล้วก็พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ทั้งกายทั้งใจซ่านเซิ่งหาน มีเพียงประเทศชาติ มีเพียงตำแหน่งฮ่องเต้นั้น ความรู้สึกรักชอบที่มีต่อข้าครึ่งหนึ่งก็เพียงเพราะข้าเป็นหนึ่งในอำนาจนั้น ส่วนอีกครึ่งหนึ่ง ก็เป็นเพราะหัวใจดวงนั้นเงียบเหงามานานแล้ว อยากที่จะลิ้มลองกับการได้ดื่มสุราดีกับสาวงามซักครั้ง ต่อไปหากคิดอยากที่จะทำแบบนั้น ก็จะกลายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เสาะหาไม่ได้ ตามหาไม่ได้อีกแล้ว”
ดวงตากู้อ้าวเวยสดใสเหมือนดั่งดวงดาว ตอนที่ชมตนเองกลับไม่มีความภาคภูมิใจแม้แต่น้อย
กลับนวดต้นคอถึงกระดูกสันหลังของซ่านจินจื๋ออย่างปลอบโยน แล้วก็มองดูเขาอย่างยิ้มเยาะ
ในระหว่างที่เสื้อผ้าเสียดสีกัน กู้อ้าวเวยคิดอยากที่จะถือโอกาสถามอีกครั้งว่า จางเหยียงซานสั่งเรื่องการรักษาไว้ยังไงบ้าง ถึงได้ทำให้กุ่ยเม่ยโกรธจนมาตำหนินาง กลับคิดไม่ถึงว่าสีหน้าของซ่านจินจื๋อยิ่งเริ่มมืดมน ไม่พูดไม่จา ทำให้เดาไม่ถูก
หลังจากนั้นสักพัก ซ่านจินจื๋อค่อยผละออกจากอ้อมกอดของนาง พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “พักผ่อนให้ดี ข้าจะออกไปข้างนอกเสียหน่อย”
“ไม่ทานอาหารพร้อมข้าแล้วหรือ?” กู้อ้าวเวยเอนนอนอยู่บนเตียง มองดูเขาอย่างแปลกใจ
“เจ้าเข้มแข็งมากไม่ใช่หรือ? เดี๋ยวให้กุ่ยเม่ยมาอยู่เป็นเพื่อนเจ้า” ซ่านจินจื๋อพูดขึ้นอย่างเรียบเฉย
หากตั้งใจฟังให้ดี ก็จะได้ยินถึงความหึงหวงที่แฝงอยู่ในนั้น
กู้อ้าวเวยไม่ทันพูดรั้ง ซ่านจินจื๋อก็รีบก้าวเดินออกไปแล้ว แล้วก็สั่งให้จางเหยียงซานกับกุ่ยเม่ยเข้ามา ปล่อยให้โม่ซานที่เมื่อกี้ช่วยพูดสงบศึกเฝ้าอยู่ด้านนอก ทำให้สีหน้าของกุ่ยเม่ยดูย่ำแย่ หลังจากที่เอากับข้าวออกมาจากตระกล้าอาหารแล้ว ก็เอามือกอดอกนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านข้างมองดูนาง
“หมาโผโต้วฝุ(เต้าหู้ผัดซอสเสฉวน)ที่เจ้าสั่ง” เส้นเลือดสีแดงภายในดวงตากุ่ยเม่ยยังไม่จางหาย ท่าทีดูดุร้าย
กู้อ้าวเวยมองดูเต้าหู้ยำกับหอมแดงในถ้วย แล้วก็ถือว่าสิ่งนี้คือหมาโผโต้วฝุ(เต้าหู้ผัดซอสเสฉวน)ที่ต้องการทาน
ผู้ชายที่ขอโทษอย่างจริงใจก่อนเข้านอน ทำไมหลังจากที่นางนอนตื่นขึ้นมาแล้วถึงได้กลับกลายเป็นอีกแบบหนึ่ง
นางกัดตะเกียบไว้อยู่นาน แล้วยังไงก็คิดไม่ออกว่าเขาจะไปที่ไหนกันแน่
และในตอนนี้ ภายในเมืองเทียนเหยียนเกิดความโกลาหลวุ่นวาย ซ่านจินจื๋อกลับพาพวกลูกน้องมายังร้านสุกี้หม้อไฟเล็กของหลานเอ๋อร์
ตอนเช้ารุ่งฟ้ายังไม่ทันสว่าง ประตูหน้าร้านก็ถูกเคาะเสียงดัง
คนรับใช้เสี่ยวเอ้อที่เฝ้าเวรดึก กับพวกที่จัดเตรียมสิ่งของในยามเช้ารุ่งต่างก็ออกมาต้อนรับ เมื่อมองเห็นเป็นพวกทหารชุดดำทมิฬ มีหลายคนที่หวาดกลัวรีบวิ่งไปตามหลานเอ๋อร์มา
หลานเอ๋อร์รีบเปลี่ยนเสื้อผ้า ก็ถูกลูกน้องของซ่านจินจื๋อโยนทองคำสองแท่งใส่ในอ้อมแขน
จึงยิ้มแย้มสั่งให้คนรับใช้เสี่ยวเอ้อรับเงินไว้ ออกมาทักทายอย่างอิดออด หากพูดถึงเมื่อก่อน นายยังเคยอยู่ในจวนอ๋องจิ้งช่วงหนึ่ง จึงรู้ถึงนิสัยจอมเผด็จการของท่านอ๋องจิ้งอยู่แล้ว จึงรีบพูดขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องให้เกียรติมาถึงที่ด้วยธุระอะไร? หากเพื่อตรวจค้น บ่าวจะรีบสั่งคนพาทหารทุกท่านไปตรวจค้น”
“เรียกเจ้านายของเจ้าออกมาพบข้า”
ซ่านจินจื๋อยกมือ สะบัดแขนเสื้อ แล้วก็นั่งลงตรงที่นั่งกลางห้องกว้างทันที
คนรับใช้เสี่ยวเอ้อภายในร้าน รีบมารินน้ำชาให้อย่างรู้หน้าที่ สีหน้าหลานเอ๋อร์แข็งทื่อ กำลังคิดอยู่ว่าจะพูดอย่างไรเพื่อที่จะกลบเกลื่อนเรื่องนี้ กลับคิดไม่ถึงว่าซ่านจินจื๋อจะยกจอกแก้วขึ้นมาแนบริมฝีปาก ยังไม่ทันได้ดื่ม ดวงตาคู่คมก็กวาดหันมามองแล้วพูดว่า “หากไม่เช่นนั้น ข้าจะทำให้ร้านนี้ของเจ้าเป็นเหมือนดั่งชื่อเทียนเหยียน”
“ขอท่านอ๋องโปรดให้อภัย”
เมื่อคิดได้ว่าหลายวันนี้ในเมืองเกิดเหตุไฟไหม้ หลานเอ๋อร์รีบหันไปมองกระทะน้ำมันที่ยังไม่ได้เอาออกไปจากด้านข้างมือของซ่านจินจื๋อ แล้วก็คิดอะไรได้ขึ้นมา
ท่านอ๋องจิ้งมาด้วยท่าทีเหิมเกริม คิดว่าจะต้องมาอย่างตั้งใจแน่วแน่
หลานเอ๋อร์แอบกัดฟัน รีบกำผ้าแล้วโบกมือให้กับชายใบ้น้อยตรงสวนหลังบ้าน ได้ใบน้อยคนนั้นรีบเช็ดมือบนเสื้อผ้า แล้วก็เอาผ้าเช็ดโต๊ะผืนนั้นฟาดบนบ่า เดินมาโน้มตัวอยู่ด้านข้างหลานเอ๋อร์อย่างนอบน้อม
“ยังไม่รีบไปเชิญท่านนั้นมา เดินอ้อมไปทางด้านหลังเรือน ระวังตัวด้วย” หลานเอ๋อร์ถือผ้าแล้วก็ตีบนหน้าผากเขาเบาๆหนึ่งที
ชายใบ้น้อยรีบเอามือปิดปากแล้วก็วิ่งไป หากมองดูดีๆ ในปากนั้นยังมีลิ้นอยู่ แต่กลับเหมือนไม่มีลิ้น
เห็นเขาวิ่งไปแจ้งข่าวแล้ว ทางด้านหลานเอ๋อร์นี้ก็ไม่ทำเป็นอิดออด เดินมาตรงหน้า แล้วก็คุกเข่าอยู่ด้านข้างซ่านจินจื๋อ พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ตอนนั้นคุณหนูใหญ่หาคู่ครองที่ดีให้กับข้า ถือว่าเป็นคนที่มีบุญคุณต่อข้า ไม่ว่าวันนี้ท่านอ๋องจิ้งจะมาด้วยเรื่องอะไร หลานเอ๋อร์ขอสาบานว่า หากได้เจอหน้าคุณหนูใหญ่ จะต้องเอาความไปบอกท่านอ๋องแน่นอน จะไม่ปิดบังเด็ดขาด”
ซ่านจินจื๋อค่อยดื่มเหล้าจอกนั้นลงไป เมื่อพูดถึงกู้อ้าวเวย อารมณ์ก็ดีขึ้นมาไม่น้อย
“คำพูดนี้ หานเอ๋อเป็นคนสอนเจ้าหรือ?”
“องค์ชายสามจะสอนหลานเอ๋อร์พูดเช่นนี้ได้อย่างไร หากข้าเป็นคนสนิทของเขาจริงๆ ในมือก็จะไม่มีเพียงไม่กี่ร้านนี้ องค์ชายสามใช้หลานเอ๋อร์ เพียงเพราะหลานเอ๋อร์เป็นภรรยาที่มีหน้ามีตา มีความคิดรอบคอบ แต่ตอนนี้สามีของหลานเอ๋อร์สิ้นแล้ว หญิงหม้ายปัญหาเยอะ จะเชื่อใจข้าหรือ” พูดถึงตรงนี้ หลานเอ๋อร์ก็พูดขึ้นพร้อมน้ำตาไหลว่า “มีเพียงคุณหนูใหญ่ที่เป็นที่พึ่งของข้าในตอนนั้นอย่างจริงใจ คำพูดเมื่อกี้นั้น ไม่ผิดอะไรอยู่แล้ว”
เมื่อก่อนก็เคยได้ยินกู้อ้าวเวยพูดถึงหลานเอ๋อร์ บวกกับหลังมายัยไง่หงได้เล่าเรื่องระหว่างที่กู้อ้าวเวยกับหลานเอ๋อร์พบเจอกันแล้วคุยกัน ซ่านจินจื๋อเก็บงำอารมณ์โกรธ พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “ยอมรับผิดด้วยตัวเองเช่นนี้ ยังอยากที่จะบอกอะไรกับข้าไหม?”
“งั้นก็ต้องรู้ว่าท่านอ๋องจิ้งต้องการที่จะรู้เรื่องอะไร?” หลานเอ๋อร์ฉีกยิ้มขึ้นมาทันที แววตาฉายแววเป็นประกาย
สีหน้าเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จนทำให้พูดไม่ออก
แต่ซ่านจินจื๋อเพียงมองดูอย่างเฉยเมย แล้วก็ไม่พูดอะไรอีก
หลานเอ๋อร์เจอแบบนี้ จึงลุกขึ้นมาจากพื้นด้วยสีหน้าไม่สบอารมณ์ แล้วเดินไปรอรับใช้อยู่ด้านข้าง
เวลาเพียงไม่นาน อาศัยท้องฟ้ายังไม่สว่าง ชายใบ้น้อยก็ได้พาซ่านเซิ่งหานมา
อันนี้ไม่เหมือนกับเมื่อก่อน หลังจากที่กู้อ้าวเวยหายตัวไปแล้วทุกอย่างก็ไร้ร่องรอย ซ่านเซิ่งหานอาศัยความที่ว่าตนเองบาดเจ็บ ถือโอกาสพักรักษาอยู่ในจวน ตอนนี้สวมชุดเสื้อคลุมสีดำยาวเหมือนกับซ่านจินจื๋อ แต่ต้องเอวซ่านจินจื๋อไม่มีสิ่งของใดๆประดับ ปลายแขนเสื้อมีความรัดกุมไว้ทั้งหมด ซึ่งในนั้นมีด้ายสีทองและสีเงินสอดประสานกัน แม้ฝุ่นจะจับ แต่ก็ยังคงไม่กลบกลืนความเป็นนักสู้
ส่วนซ่านเซิ่งหาน นอกจากเสื้อคลุมสีดำ ไม่ว่าจะเป็นปลาคาร์ฟสีทองที่ปลายแขนเสื้อกว้าง หรือจี้ที่คาดเอวอันสองอัน เป็นการแต่งตัวเหมือนกับคนเรียนหนังสือ แต่องค์ชายที่ปกติอ่อนโยนและสง่างาม แต่ในเวลานี้กลับดูเหมือนผู้กำหมากรุกอยู่ในมือ สีหน้าไม่แสดงอาการตื่นตระหนก ค่อยๆเดินมานั่งตรงข้างซ่านจินจื๋อ ท่าทีน่าเกรงขาม
“เสด็จอามาในวันนี้ มีธุระอะไรหรือ?”
“เวยเอ๋อไม่อยากเป็นสุราดีที่เจ้าไม่ลืมเลือน เป็นเพียงน้ำหนึ่งกำมือในใจข้า” ซ่านจินจื๋อ พูดขึ้นอย่างเฉียบคม มีดเล่มยาวตรงเอวถูกดึงออกมากระแทกบนโต๊ะ โต๊ะไม้แตกหัก สั่นไหวไปมา เขากลับยังพูดออกมาทีละคำว่า “หากเจ้ารู้ตัว ก็รีบปล่อยคนออกมา”