บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1065
บทที่ 1065 คุยความลับกันอยู่อย่างสนิทสนม
หัวเรื่องที่ผู้หญิงคุยกันมักจะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
ภายในห้องตอนนี้ไม่ได้มีเพียงโม่ซานกับแมวสองตัว กู้ซวงที่รักษาตัวให้ดีแล้วแต่แรกก็ถูกโม่ซานเรียกมาด้วยกัน บอกว่านางอยู่ในจวนค่อนข้างระมัดระวังตัวมากเกินไป รักษาตัวหายดีแล้วก็ไม่ก้าวออกมาจากห้อง นางเองก็มีคำถามที่อยากจะถามกู้อ้าวเวย จึงได้ตามมา
ตอนนี้เมื่อได้ยินกู้อ้าวเวยพูด นางหัวเราะแล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อก่อนข้าก็คิดเช่นนี้ แต่ว่าข้าไม่เหมือนกับเจ้าที่ไปรับเด็กมากมายมาเป็นลูกบุญธรรม ตอนที่เจ้ารับเลี้ยงหยินซี่งกับเซียวเซียว ก็คงเพราะคิดถึงลูกชายสองคนนั้นของเจ้า แต่เสียดายอยู่ห่างไกลกันเกิน จึงต้องอาศัยสิ่งนี้มาลบล้างความรู้สึกผิดภายในใจ”
“จะบอกว่ารู้สึกผิดก็ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ว่าข้าค่อนข้างเข้มงวดกับชิงจือ หลังจากคลอดอี้จื๋อแล้วก็จากไปทันที ไม่รู้ว่าพวกเขายังอยากใกล้ชิดกับข้าอยู่ไหม ส่วนหยินซี่งกับเซียวเซียว….. แค่รู้สึกว่าเด็กทั้งสองคนไร้เดียงสาน่าสงสาร และข้าก็อยากได้ลูกสาวมาตลอด แต่ด้วยเพราะร่างกายนี้ ข้าไม่มีทางคลอดลูกสาวอีกแล้ว”
พูดถึงตรงนี้ กู้อ้าวเวยเองก็อดที่จะหัวเราะไม่ได้ นอนเอนอยู่บนเตียงมองดูโม่ซานแล้วพูดว่า “ตอนนั้นตอนที่เพิ่งตั้งครรภ์อี้จื๋อ อย่างแรกที่คิดก็คือหากไปจากโลกนี้แล้วก็จะต้องเหลือทิ้งไว้ให้ซ่านจินจื๋อคิดถึง ส่วนอีกอย่างหนึ่ง ก็เพราะไม่อยากให้ชิงจือไม่มีพี่ไม่มีน้องต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว แต่ตอนนี้มาคิดดูแล้ว บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าข้าอยากได้ลูกคนหนึ่งมาตลอด”
โม่ซานกับกู้ซวงสองคนต่างก็ไม่มีลูก เมื่อฟังแล้วในใจก็ค่อนข้างอึดอัดมาก
ยังไม่พูดถึงซ่านจินจื๋อที่ยืนอยู่หน้าประตู มือของเขาที่ยกขึ้นเตรียมผลักประตูค้างแข็งทื่ออยู่กลางอากาศ ปล่อยไม่ลงอยู่เนิ่นนาน
“ร่างกายเจ้าไม่แข็งแรง เหตุผลหลักเกี่ยวข้องกับท่านอ๋องใช่ไหม” โม่ซานพูดขึ้น
กู้ซวงเองก็รู้เรื่องนี้ กู้อ้าวเวยกลับหัวเราะแล้วพูดว่า “เกี่ยวข้องกับเขาแน่นอนอยู่แล้ว เมื่อก่อนเขาเป็นคนอารมณ์ร้อนมุทะลุขนาดนั้น เพื่อซูพ่านเอ๋อเรื่องอะไรเขาก็ยอมทำ”
“แต่ตอนนี้เจ้าก็กลับมาแล้ว” โม่ซานฟังแล้วก็แทบจะร้องไห้ออกมาและพูดขึ้นว่า “หากข้าเป็นเจ้า จะไม่มีทางกลับมาเด็ดขาด”
“เดิมข้าก็ไม่อยากกลับมา แต่ใครใช้ให้เขาชอบหญิงงามล่ะ? ไล่ตามข้าไม่ยอมปล่อย” กู้อ้าวเวยเองก็หัวเราะแล้วพูดว่า “ตอนนั้นในใจข้าตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นว่ายังไงก็จะไม่มีทางกลับมาเด็ดขาด ไม่ว่ายังไงก็จะไม่ไปเกี่ยวข้องกับเขาอีก แต่เพราะความใจอ่อนของข้านี้ ใจอ่อนให้เพียงด้านความรัก เวลาผ่านไป ข้าก็กลับมาอย่างว่าง่ายอีกแล้ว”
โม่ซานมองดูนางอย่างรังเกียจหนึ่งที กู้ซวงเองก็ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ข้าเห็นว่าท่านอ๋องจิ้งก็เหมือนคนบ้า ตอนนั้นทั้งๆที่เขาดีกับหลิงเอ๋อร์หมิ่นเอ๋อมาก ยังหลอกข้าข่มขู่ ไม่เหมือนเป็นคนดี”
คุยพูดไปพูดมา แม้แต่ท่านอ๋องก็ถูกพูดถึง
หงเซียวเหงื่อแตก ด้วยอารมณ์หลายวันนี้ของท่านอ๋อง คงไม่ปล่อยกู้ซวงไปแน่
สีหน้าของซ่านจินจื๋อดำจนสามารถมีน้ำไหลออกมา มือที่ยกอยู่ข้างนั้นกลับวางลงมา
“เดิมเขาก็ไม่ใช่คนดีอยู่แล้ว แต่ข้าคิดเพียงว่า วาสนาฟ้าลิขิต ในเมื่อต้องเกี่ยวข้องพัวพันกัน เขาเองก็รู้จักสำนึกผิดแล้วกลับใจ ข้าก็ไม่จำเป็นต้องปฏิเสธ หากจะเปรียบเทียบว่าใครดีที่สุด ยังไงก็ต้องเป็นซ่านเซิ่งหานอยู่แล้ว” กู้อ้าวเวยไม่รู้เลยว่าด้านนอกประตูมีคนอยู่ ยังพูดต่ออีกว่า “เขาไม่เคยทุบตีข้าตะคอกใส่ข้า แต่เสียดายข้าไม่ชอบอะไรที่เป็นไปตามใจปรารถนา ข้าชอบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมากกว่า”
เคียงบ่าเคียงไหล่?
ในใจซ่านจินจื๋อแอบพูดซ้ำสามคำนี้ เส้นเอ็นสีน้ำเขียวที่หน้าผากนูนขึ้น
ผู้หญิงทั้งสามคนที่อยู่ด้านในต่างก็หัวเราะกันขึ้นมา
กู้อ้าวเวยนวดลูบหูของเสี่ยวป๋าย พูดขึ้นอีกอย่างจนใจว่า “พูดมาตั้งเยอะขนาดนี้ พวกเจ้าจะบอกเรื่องสถานการณ์ในตอนนี้ให้ข้ารู้บ้างไม่ได้หรือ?”
“ไม่ได้ กุ่ยเม่ยบอกว่าพวกเราสามารถคุยอะไรกับเจ้าก็ได้ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นด้านนอกห้ามพูดเด็ดขาด”
โม่ซานยกแขนทั้งสองข้างขึ้นทำท่าห้ามอยู่บนหน้าอก ยังยิ้มมองดูกู้ซวงอย่างเจ้าเล่ห์และพูดว่า “แต่ว่าข้าจะต้องไปหาพี่ชายแล้ว ให้กู้ซวงอยู่เป็นเพื่อนเจ้านะ ยังไงนางก็ไม่รู้เรื่องอะไร เจ้าถามอะไรก็ไม่ได้”
กู้อ้าวเวยหน้าเศร้าลงทันทีพร้อมพูดว่า “พูดเรื่องในใจให้เจ้าฟังเยอะแยะขนาดนี้ ยังไม่ยอมบอกอะไรข้าซักอย่างหรือ?”
โม่ซานรีบลุกขึ้น เอาดาบเล่มยาวเล่มนั้นของตนสะพายไว้ด้านหลัง หัวเราะอย่างเจ้าเล่ห์พร้อมพูดว่า “บอกได้เพียงนิดเดียวว่า ตงฟางซวนเอ๋อถูกท่านอ๋องทรมานจนแทบขาดใจ ก่อนหน้านี้กุ่ยเม่ยก็อยากที่จะบอกเรื่องนี้แก่เจ้าแล้ว แต่กลับถูกเจ้าพูดแทรกขึ้นมาเสียก่อน”
“พูดได้เพียงแค่นี้ ไปก่อนละ”
พูดเพียงครึ่งเดียว แล้วโม่ซานก็รีบเปิดประตูแล้วก็จากไป
เมื่อมองเห็นผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านนอกประตู ยังไม่ทันได้ร้องตกใจ ก็เห็นมือหงเซียวทำท่าห้ามส่งเสียงดัง นางรีบเขย่งเท้าเหยียบบนประตูธรณีอย่างเบา เอามือปิดปากแล้วก็ปีนขึ้นไปบนหลังคาไปอย่างไร้เงา
เมื่อกี้ท่านอ๋องจะต้องได้ยินทุกอย่างแล้วแน่
โม่ซานคิดแต่จะเอาตัวเองให้รอด ไม่คิดที่จะไปบอกเตือนกู้ซวงกู้อ้าวเวย แทบหนีไม่คิดชีวิตกลับมาถึงจวนโม่
บานประตูถูกซ่านจินจื๋อค่อยๆปิดลง
ทั้งสองคนที่มีใบหน้าเหมือนกันที่อยู่ภายในห้องต่างก็คิดว่าเป็นเสียงลม กู้อ้าวเวยเงียบอยู่ตั้งนานแล้วค่อยพูดขึ้นว่า “หลายวันมานี้เจ้าได้ยินอะไรมาบ้าง?”
“หลายวันก่อนหน้านี้ข้าอยู่แต่ในจวนอ๋องจิ้ง” กู้ซวงเลิกคิ้ว
“งั้นเจ้าจะต้องได้ยินอะไรแล้วแน่ โม่ซานเป็นน้องสาวโม่อี ยังไงก็ไม่กล้าทรยศเขา เจ้าแอพบอกข้ามา จะไม่มีใครรู้” กู้อ้าวเวยพยุงกายลุก
กู้ซวงเผยสีหน้าค่อนข้างลำบากใจ ลังเลอยู่สักพัก แล้วก็พ่ายแพ้ต่อการถามคะยั้นคะยอของกู้อ้าวเวย
ถอนหายใจอย่างหนักหนึ่งทีแล้วพูดว่า “เรื่องของตงฟางซวนเอ๋อนั้น ข้าก็แค่ได้ยินมาบ้าง ตอนกลางคืนตอนที่นอน ได้ยินพวกคนใช้ในจวนพูดกัน แต่ไม่รู้ว่านางกระทำผิดอะไร วันนั้นท่านอ๋องเอานางมากักตัวอยู่ในจวน ร้องอยู่ทั้งคืนไม่หยุด อีกวันหนึ่งท่านอ๋องก็ออกมาจากในเรือนที่ขังตงฟางซวนเอ๋อ ชายแขนเสื้อยังเปื้อนไปด้วยรอยเลือด แลกก็ได้ตามตัวจางเหยียงซานไป หลังจากนั้นก็ไปยังชานเมืองพาตัวพวกเรากลับมา”
กู้อ้าวเวยฟังอยู่อยากใจสั่น คิดว่ายังไงตงฟางซวนเอ๋อก็เป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลตงฟาง แต่เมื่อฟังตามที่กู้ซวงพูดแล้ว ซ่านจินจื๋อคงลงโทษทรมานอยู่ไม่น้อย ฟังอยู่ตั้งนานก็ไม่รู้ว่าเพราะอะไร
“ดังนั้นวันนั้นที่เขารีบไป อาจจะเป็นเพราะตงฟางซวนเอ๋อ?”
“บางทีอาจจะเป็นเช่นนั้น” กู้ซวงพยักหัว เอาเสี่ยวฮัวว่างคืนไปบนเข่าของนางแล้วพูดว่า “ที่ข้าได้ยินมาก็มีเพียงเท่านี้ ไม่พูดกับเจ้าเยอะแล้ว ข้าต้องอาศัยช่วงเวลาที่ยังไม่ได้ไป อยู่บอกลาหลิงเอ๋อร์กับหมิ่นเอ๋อดีๆ ต่อไปยังมีเวลาอีกยาวอยู่เป็นเพื่อนเจ้า”
คิดว่าไม่ถึงว่านางจะยินยอมที่จะมาอยู่เป็นเพื่อนตน
กู้อ้าวเวยเพียงพูดลา แล้วก็เหมือนเห็นกู้ซวงยืนอยู่ตรงหน้าประตูสักพักแล้วค่อยจากไป
นางนอนเอนอยู่บนเตียงอย่างหงุดหงิด รู้ตัวอยู่แล้วว่าตนเองไม่ควรที่จะมีอารมณ์หวั่นไหว และก็ไม่ควรที่จะเคลื่อนไหว แต่ครั้งนี้ซ่านจินจื๋อปกปิดข่าวทั้งหมดไว้เป็นอย่างดี ให้นางหาไม่เจอช่องโหว่อะไรเลย แต่หากไม่ได้รับรู้ กลับยิ่งทำให้ใจนางไม่สบายใจ อยากที่จะสงบลง
เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งธูป กู้อ้าวเวยกำลังเปิดผ้าห่มออก อยากที่จะลงจากเตียงไปจับตัวเสี่ยวฮัวกับเสี่ยวป๋ายที่วิ่งหนีไปแล้วกลับมา
บานประตูเพิ่งถูกเปิดออก ซ่านจินจื๋อที่เปลี่ยนสวมชุดขาว ก้มตัวลงจับแมวสองตัวนั้นมากอุ้มไว้
กู้อ้าวเวยมองดูชุดที่ขาวไปทั้งตัวนั้น ดวงตาเบิกโตพร้อมพูดว่า “ทำไมเจ้าถึงได้เปลี่ยนชุด….”
“สวมเสื้อคลุมสีดำอยู่ตลอด ไม่สะอาดสะอ้าน” ซ่านจินจื๋ออุ้มแมวไว้แล้วก็เดินเข้ามา ก้มตัววางแมวสองตัวนั้นไว้ข้างเตียงแล้วถามว่า “ชุดนี้เป็นยังไง?”
ไม่เคยถูกซ่านจินจื๋อถามคำถามเช่นนี้ นางจึงยกมือช่วยเขาปัดรอยเท้าของแมวสองตัวนั้นให้สะอาด พร้อมพูดว่า “หล่อดี”