บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1089
บทที่ 1089 การแสดงครั้งยิ่งใหญ่ก็เพื่อการรักษา
จางเหยียงซานมาอย่างเชื่องช้า ขอบตาดำคล้ำ
นอนไม่หลับทั้งคืน ตั้งใจศึกษาตำราแพทย์ทั่วยุทธจักร เหมือนทำเพื่อพัฒนาฝีมือทางการแพทย์ แต่แท้จริงแล้ว เป็นการหาวิธีเพื่อต่อชีวิตอาจารย์ผู้มีพระคุณ ในสายตาเขาไม่เคยเห็นซ่านจินจื๋อเป็นเสด็จอ๋องจิ้ง จึงเพียงแค่ยกมือทำความเคารพเท่านั้น ตำแหน่งลำดับศักดิ์เป็นเพียงแค่การแสดงถึงศักดิ์ศรีอันสูงส่ง
“เจ้าจำเป็นต้องเจอนางซักครั้งถึงจะได้หรือ?”ซ่านจินจื๋อขมวดคิ้วถาม
“แน่นอน ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะรู้แล้วว่าภายในร่างกายมีพิษมากน้อยแค่ไหน แต่หากไม่ได้ลองยาสมุนไพรหลายชนิด ยังไงก็เป็นการยากที่จะค้นหายาถอนพิษ และภายในโลงน้ำแข็งนั่นสะสมไปด้วยความเยือกเย็น ขาทั้งคู่ของนางก็ยังบาดเจ็บอยู่ ดีที่สุดคือเพียงแค่อาศัยโลงน้ำแข็งนั่นปกป้องร่างกายเท่านั้น อาศัยยาสมุนไพรหล่อเลี้ยงชีวิต แต่ไม่ใช่ความเยือกเย็น”
จางเหยียงซานนั่งกุมขมับอยู่บนเก้าอี้ หลี่ซินรีบเอาโจ๊กถ้วยหนึ่งมาวางไว้ข้างมือของเขา
“โลงน้ำแข็งนั่นไม่มีความเยือกเย็นจะใช้ได้หรือ?”
“ใช้ได้สิ ความเย็นของโลงน้ำแข็งร่วมกับการใช้ยาสมุนไพร ทำให้นางไม่ต้องดื่มน้ำทานอาหาร ราวกับว่านอนแกล้งตายอยู่ในนั้น หากใช้ยาสมุนไพรร่วมด้วย งั้นก็จะต้องส่งอาหารให้ทานเป็นครั้งคราว อาการฟื้นตัวก็จะค่อนข้างช้ากว่าการอาศัยความเยือกเย็น แต่เป็นวิธีการที่ปลอดภัยกว่า”จางเหยียงซานพูดอยู่ตั้งนาน เวลานี้เพิ่งคิดขึ้นมาได้ จึงมองดูเขาพร้อมพูดว่า “เรื่องเหตุไฟไหม้ในจวนอ๋องจงผิงถูกร่ำลือกันไปทั่ว องค์รัชทายาทแคว้นเอ่อตันหายสาบสูญ ข้าอาศัยในช่วงวุ่นวายไปสักครั้ง……”
“ไม่ได้”
ซ่านจินจื๋อวางถ้วยบนโต๊ะอย่างเสียงดัง ราวกับโกรธมาก
เฉิงซานที่อยู่ด้านหลังเดินเข้ามา พูดกับจางเหยียงซานว่า “ตอนนี้ด้านนอกชานเมืองมีคนแอบซุ่มดูอยู่ไม่น้อย ท่านไม่เป็นวรยุทธ ต่อให้ข้าพาท่านไป ก็อาจจะถูกติดตามก็เป็นได้”
“หรือจะปล่อยให้ยืดยื้ออยู่แบบนี้หรือ?”จางเหยียงซานถามกลับ
“ยังไงก็ไม่ได้”ซ่านจินจื๋อถอนหายใจอย่างแรง
ให้จางเหยียงซานไปก็ไม่ได้ ให้กู้อ้าวเวยมาก็ไม่ได้ หลายวันมานี้เหมือนพบเจอร่องรอยคนตำบลเหยสุ่ย แสดงว่าเมี่ยวหารกับซูพ่านเอ๋อยังไม่ได้ไปจากเมืองหลวง แม้แต่จะส่งสิ่งของลงไปยังต้องระวังแล้วระวังอีก ต่อให้เขามีวรยุทธแข็งแกร่ง ก็ยังไม่กล้าไปหาในตอนกลางคืน
เป็นการยากทั้งสองอย่าง แต่เวลานี้ร่างกายของกู้อ้าวเวย ก็อดทนได้อีกเพียงไม่กี่วันแล้ว
ปลายนิ้วแตะบนที่วางแขน จนได้ยินเสียงดัง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คืนนี้ก็ลองเสี่ยงไปสักครั้ง เอาถ่านกับยาสมุนไพรไปเพิ่มด้วย”ซ่านจินจื๋อเงยหน้ามองดูจางเหยียงซานแล้วพูดขึ้นว่า “ตอนนี้ฉีหรัวเป็นพระชายาของอ๋องจงผิงแล้ว แต่ยังไงก็ยังเป็นเฒ่าแก่ของสำนักเยียนหยู่เก๋อ หากเกิดอะไรขึ้นกับสวนดอกไม้นั่น จะต้องมีขุนนางไปดู”
พูดถึงตรงนี้ เฉิงซานก็ได้ถอยไปยืนด้านข้างประตูรอรับฟังคำสั่ง
“สั่งคนไปทำลายป้ายหน้าหลุมศพที่ไม่มีประโยชน์ของนาง แล้วล่อคนในหมู่ตึกนอกชานเมืองไปฆ่าที่สวนดอกไม้”
ซ่านจินจื๋อพูดสั่งด้วยเสียงต่ำ แล้วมองดูหลี่ซินพร้อมพูดว่า “ส่งคนไปสืบเรื่องเหตุไฟไหม้ในจวนอ๋องจงผิง แล้วคิดหาหนทางบอกกับฉีหรัว ให้นางเดือดร้อนให้เรื่องนี้ใหญ่โต บอกว่าหมู่ตึกนอกชานเมืองเกิดปัญหา ต้องส่งคนไปสืบค้น”
“พะยะค่ะ”หลี่ซินเฉิงซานทั้งสองคนรับคำแล้วถอยออกไป
เดิมจางเหยียงซานอยากที่จะเงยหน้าขึ้นมาบอกว่าตนจะไปเตรียมพร้อมก่อน กลับสพกับสายตาที่เยือกเย็นของซ่านจินจื๋อพอดี สุดท้ายจึงเตรียมที่จะออกไปอย่างไม่พูดไม่จา
ค่ำคืนดึกดื่น จดหมายฉบับหนึ่งถูกส่งเข้ามาในจวนอ๋องจงผิงภายใต้ความวุ่นวาย
นกพิราบสื่อสารบินมาเกาะบนไหล่ฉีหรัว ห้อยหัวลงมากินข้าวฟ่างก่อนแล้วค่อยกระพือปีกบินไป รอบๆไม่มีใครสังเกตเห็น ฉีหรัวถือจดหมายชิ้นเล็กไว้แล้วก็นั่งลง สาวใช้ด้านหลังถอยออกไปอย่างรู้ตัว ปล่อยให้นางได้เปิดอ่านอยู่คนเดียว เมื่ออ่านดูอย่างละเอียดแล้วก็ขมวดคิ้ว
ตอนนั้นสวนดอกนี้กู้อ้าวเวยเป็นคนให้นางซื้อไว้ ต่อมาก็กลายเป็นสุสานของนาง รอเมื่อนางหวนกลับมา สุสานนั้นก็กลายเป็นสุสานร้าง ส่วนสวนดอกนั่นก็เริ่มปลูกดอกไม้ดอกหญ้านานาชนิดเต็มไปหมด กลายเป็นที่ใช้สอยของสำนักเยียนหยู่เก๋อ ไปๆมาๆตอนนี้ กลับกลายเป็นสถานที่สำคัญ
ลงนาม อย่าทำร้ายข้ารับใช้ผู้ชาย ฉีหรัวเอาจดหมายฉบับนี้สั่งคนส่งไปที่เชิงกำแพง
เมื่อซ่านเชียนหยวนกลับ ฉีหรัวไม่ได้เล่าความจริงทั้งหมดทุกอย่าง เพียงแค่ถามเขาว่า “แคว้นเอ่อตันมายุ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ น่าจะไม่ใช่เรื่องดี”
“เรื่องที่ไม่ดี ยังมีอย่างอื่นอีก”ซ่านเชียนหยวนดึงนางเข้ามาโอบกอดด้วยสีหน้าหนักใจ สั่งให้ทุกคนออกไป แล้วพาฉีหรัวเข้าไปภายในห้อง และกระซิบพูดขึ้นว่า “คืนนี้กุ่ยเม่ยจะส่งองค์ชายรัชทายาทแคว้นเอ่อตัน กลับประเทศไปอย่างปลอดภัย ทุกเส้นทางได้เตรียมการไว้หมดแล้ว เพียงแต่วันนี้ ยังได้ยินอีกเรื่องหนึ่ง ค่อนข้างน่าสงสัย”
“เรื่องอะไร?”ฉีหรัวยกมือปิดบานประตู แล้วก็โอบกอดซ่านเชียนหยวน ทั้งสองคนนั่งลงบนเตียงนุ่ม แขนแนบชิดกัน ต่างก็เอนพิงกันอยู่
“ก่อนที่เสด็จอาจะเข้าวัง ได้เคยพูดกับองค์ชายรัชทายาทว่า กู้อ้าวเวยคิดถึงชิงจืออี้จื๋ออย่างมาก ให้พาทั้งสองคนไปอย่างน้อยก็เป็นการเจอกันครั้งสุดท้าย เวลาเหลือไม่มากแล้ว”
พูดถึงประโยคสุดท้าย ซ่านเชียนหยวนกับฉีหรัวต่างก็สีหน้าเศร้าลง
พวกเขารู้จักซ่านจินจื๋อกับกู้อ้าวเวยมานานหลายปีแล้ว ทั้งสองคนนี้ระมัดระวัง กลัวที่จะเกิดอันตราย ตอนนี้ปัญหายังไม่ได้แก้ไข ก็จะเอาเด็กทั้งสองคนมาอยู่ด้วยกัน
“ไม่รู้ว่าในนี้มีแผนการอะไรแอบแฝง หรือว่าร่างกายกู้อ้าวเวย…”
ซ่านเชียนหยวนยังไม่ทันพูดจบ ฉีหรัวที่อยู่ด้านข้างได้ยกมือขึ้นมาปิดปากเขาไว้ เหลือกตาโตใส่เขา พร้อมพูดว่า “ห้ามพูดจาอะไรที่ไม่เป็นมงคล แต่เมื่อเจ้าพูดเช่นนี้ ก็ถือว่าสมเหตุสมผล”
ซ่านเชียนหยวนจึงหลีกเลี่ยงไม่พูดคำนั้น คิดว่ายังไงก็ต้องคิดในแง่ดี
เรื่องนี้ฟังแล้วก็สมเหตุสมผล ทั้งสองคนก็ไม่ได้คิดอะไรต่ออีก
เช้าวันรุ่งขึ้น ข้ารับใช้ผู้ชายที่อยู่ในสวนดอกไม้วิ่งกลับมาพร้อมเลือดเต็มกาย เดิมที่สวนดอกไม้มีข้ารับใช้ผู้ชายเปลี่ยนเวรยามเฝ้ากันอยู่แปดคน ตอนนี้มีเพียงสองคนกลับมารายงาน เมื่อเข้ามาถึงในสำนักเยียนหยู่เก๋อ ก็ล้มคุกเข่าอยู่บนพื้น
ฉีหรัวรีบสั่งให้สาวใช้ประคองทั้งสองคนลุกขึ้นมา พร้อมถามว่า “นี่เกิดอะไรขึ้น?”
พวกคุณหนูสำนักเยียนหยู่เก๋อต่างก็หันมามอง ต่างก็กระซิบพูดคุยกันว่าเกิดอะไรขึ้น คนใช้ของสำนักเยียนหยู่เก๋อ วิ่งกลับมาพร้อมเลือดอาบกาย
“คุณหนู เมื่อคืนมีคนกลุ่มหนึ่งมาต่อสู้กันสวนดอกไม้ ทำลายสวนดอกไม้ไปกว่าครึ่ง เช้านี้ยังทิ้งศพไว้อยู่หลายศพยังไม่ได้จัดการ พวกข้าน้อยไม่กล้าไปยุ่งกับเรื่องนั้น แต่ก็ยังมีสองคนที่ถูกธนูยิงบาดเจ็บภายใต้ความวุ่นวาย ได้ทำแผลให้อย่างเรียบง่ายแล้ว พวกข้าน้อยจึงรีบกลับมารายงาน”
ข้ารับใช้ผู้ชายหนุ่มสองคนดูเหมือนจะตกอกตกใจอยู่ไม่น้อย ปล่อยให้สาวใช้สองคนประคองลุกขึ้นมา แต่ขาทั้งคู่ก็ยังสั่นเทา
สีหน้าฉีหรัวแสดงอาการตกตะลึง โยนลูกคิดในมือกลับไปที่เคาน์เตอร์ทันที พร้อมพูดขึ้นอย่างโมโหว่า “มาจุดไฟในจวนอ๋องจงผิงของข้าก่อน ตอนนี้แม้แต่สวนดอกไม้ของข้าก็ไม่ยกเว้น เสี่ยวช่วย รีบไปหยาเหมิน จะต้องสืบเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด แล้วไปที่จวนอ๋องจงผิง เล่าเรื่องทั้งหมดให้ท่านอ๋องรู้ ส่งคนไปเฝ้าสวนดอกไม้ไว้อย่างมิดชิด หากยังสืบความไม่ได้ห้ามให้ใครไปจากที่นั่น”
สาวใช้ที่ชื่อเสี่ยวช่วย รีบวิ่งออกไป
ในขณะที่ทุกคนกำลังตกตะลึง ก็มีข้ารับใช้ชายหนุ่มหลายคนวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วลุกลี่ลุกลน บนร่างกายบางคนเปื้อนไปด้วยเลือด แต่ร่างกายบางคนกลับมีเพียงฝุ่นขี้ดิน
“พวกเราเป็นสาขาสำนักเยียนหยู่เก๋อ อยู่ด้านนอกชานเมืองเทียนเหยียนไกลออกไปห้าสิบกิโลเมตร เมื่อคืนถูกไฟไหม้อย่างไม่รู้สาเหตุ”
“คุณหนู ห้องเก็บของทางด้านทิศใต้มีศพอยู่หลายศพ”
สามสี่คนเข้ามารายงานในสำนักเยียนหยู่เก๋อ ทำให้คุณหนูทุกคนต่างก็ได้ยิน ต่างก็วิพากษ์วิจารณ์กันขึ้นมาทันที จนเป็นที่ล่วงรู้กันไปทั่ว
ฉีหรัวโกรธจนหน้าแดง พูดขึ้นอย่างโมโหว่า “เอาเรื่องทั้งหมดไปรายงานให้กับหยาเหมิน”