บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1118
บทที่ 1118 ยากที่จะพูด
ที่ขณะที่สลบอยู่ก็ไม่ได้หยุดพักเลย
ยู่จุนยกมือบีบไหล่ของกู้อ้าวเวยไว้ ค่อยๆเอายาขมถ้วยนั้นกรอกเข้าไปในปากของนาง ยารสขมไหลเปื้อนหมอนของนางไปเสียส่วนใหญ่ ไปยังไงก็ยังได้ดื่มลงไปบ้าง
หยูนซีถูกส่งกลับมายังตำหนักแต่แรกแล้ว บนใบหน้าเผยให้เห็นถึงรอยฝ่ามืออย่างชัดเจน เอนพิงอยู่บนเตียงแล้วก็มองดูยู่จุนอยู่อย่างเงียบๆ
“นางเป็นใครกันแน่?”หยูนซีมองดูการกระทำที่อ่อนโยนของยู่จุน ก็อดไม่ได้จึงถามขึ้น
มือยู่จุนหยุดชะงัก แล้วพูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “ตอนนั้นข้าแค่เห็นว่าตำแหน่งดวงดาวมีการเปลี่ยนแปลง ข้าก็ไม่รู้ว่าคนคนนี้เป็นวิญญาณบรรพบุรุษตระกูลหยุนสิงในร่างใหม่หรือไม่ หรือเป็นการแกล้งกระทำของนังเด็กนั่นในตอนนั้น โกหกข้าว่านางไม่ใช่คนในตอนนั้น”
ตอนนั้นยู่จุนเคยมอบยันต์ทองแผ่นหนึ่งให้กับกู้อ้าวเวย แล้วก็จากไป
ยันต์ทองแผ่นนี้ สามารถทำให้คนตายแล้วฟื้นหรือไม่ตอนนี้ยังไม่รู้ แต่หลังจากที่ยู่จุนฟื้นขึ้นมา ก็ได้ยินเรื่องราวต่างๆมากมายของกู้อ้าวเวย จึงรู้ว่านิสัยของนางเปลี่ยนไปจากเมื่อตอนเด็กอย่างมาก นิสัยก้าวร้าว ไม่โง่เหมือนเมื่อตอนยังเป็นเด็ก และไม่พูดเรื่องไร้สาระอีกว่าอยากเป็นปลา และก็ไม่ใช่นังเด็กที่จะหลงรักบัณฑิตจนๆได้อย่างง่ายดาย
ในขณะที่นางกับหยูนซีกำลังคิดอะไรกันอยู่เพลินๆ นางกำนัลที่อยู่ด้านนอกประตูก็รีบเข้ามาพูดขึ้นว่า “แม่นางยู่ เสด็จอ๋องจิ้งพาแม่นางคนหนึ่งที่ชื่อหลานเอ๋อร์มา บอกว่า…. ส่งมาให้คอยปรนนิบัติแม่นางกู้คนนี้”
นางกำนัลคุกเข่าก้มหน้า อย่างไม่กล้าเงยหน้าขึ้น
“หลานเอ๋อร์ยังไม่ตาย?”ยู่จุนตกตะลึง แล้วก็ให้คนพาเขามาเจอในห้องโถง
หยูนซีกลับยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉยอย่างไม่รู้เรื่องอะไร รับกู้อ้าวเวยมาดูแลต่อจากมือยู่จุน เมื่อเห็นยู่จุนจากไป ก็ได้แอบสั่งให้สาวใช้พาอี้จื๋อไปไว้ในตำหนักด้านหลัง ไม่ให้ใครได้เยี่ยม และก็ได้สั่งให้ทหารรักษาพระองค์มาเฝ้าไว้ กลัวว่าซ่านจินจื๋อจะมาแย่งชิงทั้งสองคนไป
ยู่จุนมองดูผู้หญิงที่ยืนอยู่ด้านหลังซ่านจินจื๋อ พิจารณาดูพร้อมพูดขึ้นว่า “นางไม่มีความจำเป็นต้องมีคนดูแลมากกว่านี้”
“หากนางเครียด ก็จะทำให้ยากต่อการรักษา” ซ่านจินจื๋อผลักหลานเอ๋อร์ไปตรงหน้าของนาง หลานเอ๋อร์ล้มนั่งลงตรงหน้ายู่จุน รีบขยับตัว คุกเข่าอยู่บนพื้นพร้อมพูดว่า “หลานเอ๋อร์ ไม่ได้ตั้งใจฆ่าเด็กใบ้คนนั้น”
ดวงตายู่จุนหรี่ลง แล้วก็หัวเราะ
“เจ้ารู้ไหมว่าเด็กใบ้คนนั้นเป็นใคร?”
“หลานเอ๋อร์รู้อยู่แล้ว เมื่อก่อนหลานเอ๋อร์คอยรับใช้นายท่าน จึงพอรู้เรื่องตำบลเหยสุ่ยอยู่บ้าง คนตำบลเหยสุ่ยล้วนฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น และได้อ้างชื่อองค์ชายสามเพื่อข่มขู่ควบคุมหลานเอ๋อร์ หลานเอ๋อร์กลัวว่าเรื่องนี้จะมีการเปลี่ยนแปลง จึง….”
พูดเช่นนี้ เท่ากับหลานเอ๋อร์ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับองค์ชายสามเลย
ถ้าเป็นเพียงส่วนหนึ่งเล็กๆเท่านั้น คำพูดที่พูดพวกนี้กล่องไม่ส่งผลกระทบใดใด
แต่ยู่จุนก็รู้ว่าก่อนหน้านี้นางทำงานให้กับองค์ชายสาม ตั้งใจส่งมาเป็นไส้ศึก ตอนนี้เห็นนางมากับซ่านจินจื๋อ ก็ดูไม่ออกว่าทั้งสองคนสนิทสนมกัน จึงขมวดคิ้วพูดขึ้นว่า “แล้วทำไมเจ้ายังกล้าเข้ามาในวัง”
“ตอนนั้นคุณหนูกู้ช่วยชีวิตข้าไว้ ตอนนี้หลานเอ๋อร์ได้จัดการเรื่องภายในครอบครัวเรียบร้อยแล้ว ชีวิตที่เหลือนี้จึงขอใช้ทดแทนบุญคุณ”หลานเอ๋อร์เบิกตาโต เพื่อแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ
เด็กคนนี้ ดูไม่ออกว่าพูดความจริงดูเท็จ
ในใจซ่านจินจื๋อกับยู่จุน มีความเห็นเหมือนกัน
แต่ความเคารพของหลานเอ๋อร์ในตอนนี้ ซ่านจินจื๋อก็คิดอยากที่จะส่งหลานเอ๋อร์มา
ยู่จุนครุ่นคิดอยู่ในใจ แล้วก็ตัดสินใจรับคนคนนี้ไว้ สั่งคนพานางไปเปลี่ยนสวมชุดนางกำนัล แล้วก็มองดูซ่านจินจื๋อ พร้อมยิ้มพูดขึ้นว่า “ส่งคนมาถึงแล้ว เสด็จอ๋องจิ้งยังมีธุระอะไรอีกไหม?”
“ยังมีเรื่องตำแหน่งฮ่องเต้ เจ้ายังไม่เคยให้คำมั่นสัญญา”
ซ่านจินจื๋อพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม มือกำหมัดไว้แน่นอย่างไม่รู้ตัว ดวงตาเยือกเย็นจนทำให้ยู่จุนขมวดคิ้วอย่างไม่เป็นสุข ขนลุกไปทั้งตัว
ยู่จุนนั่งลง เอนหลังแนบพิงเก้าอี้ อดกลั้นข่มความไม่เป็นสุขไว้
“นังหนูเลือกใคร ตำแหน่งฮ่องเต้นี้ ก็ให้คนนั้นได้เป็น” ไม่รอให้ซ่านจินจื๋อโกรธ ยู่จุนกลับหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “ยังไม่รู้ว่านางจะเลือกใคร เสด็จอ๋องจิ้งกลับไปก่อนเถอะ ข้ายังต้องฝังเข็มให้กับนาง จะประมาทไม่ได้”
ประโยคสุดท้ายพูดออกมาอย่างเน้นย้ำ ความหมายที่ต้องการสื่อไม่พูดก็รู้
ซ่านจินจื๋อหยุดฝีเท้าลง ยืนหายใจเข้าลึกๆอยู่กับที่เนิ่นนาน แล้วก็หันตัวเดินออกไปจากตำหนักที่กว้างขวางนี้ มุ่งหน้ารับลมหนาวแล้วก็ออกไปจากพระราชวัง แล้วรอคอยข่าวดี
กลางดึก บนถนนทอดยาวภายในราชวังที่เหน็บหนาว มีเสียงคนร้องห่มร้องไห้ดังขึ้น
พวกนางสนมทุกคนต่างก็เห็นเป็นเรื่องปกติ ปิดประตูไว้สนิท แล้วก็คิดว่ายู่จุนที่ไม่มีตำแหน่งอะไรภายในวังเป็นใครกันแน่ ตงฟางฮองเฮาในพระตำหนักของเฮาได้สูญสิ้นอำนาจแล้ว รอคอยผลสุดท้ายอยู่อย่างเงียบๆ พร้อมทั้งคอยพูดปลอบโยนพวกน้องๆที่มาเยี่ยม กลางคืนนอนไม่หลับ
และภายในวังนั้น กลับอบอุ่นอยู่ในผืนม่านลวดลายสัตบรรณ ร่วมหฤหรรษ์ค่ำคืนวสันต์กับองค์เหนือหัว
ฮ่องเต้แค่เพิ่งได้รับยาถอนพิษจากยู่จุน ก็มาร่วมหฤหรรษ์ทุกค่ำคืน ส่วนหยูนซีถูกทิ้งให้อยู่ดูแลกู้อ้าวเวยที่ยังไม่ฟื้นอยู่ในห้องด้านข้าง และก็มาถึงวันที่หิมะจะตกในรอบที่สามแล้ว ด้านนอกหน้าต่างเต็มไปด้วยฝนหิมะ หยูนซีมองดูนังหนูที่นอนอยู่บนเตียง กลับก็แค่ปิดครูของนางไว้ด้วยสัญชาตญาณ
นางอายุยังน้อย ไม่ควรถูกดึงเข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตั้งแต่แรก
ยิ่งดึก หยูนซีกลับรู้สึกเหมือนหูในมือขยับ เมื่อก้มมองดู ก็สบกับสายตาคู่หนึ่งพอดี
“เจ้าฟื้นแล้ว”หยูนซีคลายมือที่หูของนาง ก่อนที่นางจะพูดจา สาวใช้ด้านนอกประตูก็ขยับ บานประตูถูกเปิดออก เสียงนั้นไม่ดัง เหมือนมีคนหยิบของไปมา ยืนให้แก่กัน
กู้อ้าวเวยค่อยๆได้สติ นิ้วมือที่เย็นเฉียบ เหมือนยังมีรอยบีบอย่างแรงที่ซ่านจินจื๋อบีบนวดก่อนหน้านี้
ยังมีประโยคที่บอกว่าให้วางใจเบาแผ่วอยู่ในใจ เมื่อฟื้นตื่นขึ้นมา ดูแสงม่านค่อยๆสว่างขึ้น นางกลับขยับเข้าไปใกล้หยูนซี พร้อมพูดขึ้นว่า “เขายกข้าให้กับเจ้าแล้ว”
หยูนซีเงียบไม่พูดอะไร มองดูนางอยู่เนิ่นนาน แล้วก็ถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ว่า “เจ้าเป็นกู้อ้าวเวยในตอนเด็กคนนั้น หรือ…..”
“นางใช้ข้ามาไม่ใช่หรือ?”กู้อ้าวเวยหัวเราะ ในความคิดนึกถึงยันต์ทองสีเหลืองที่หล่นลงไปในเตาอั้งโล่อย่างเลือนลาง แล้วเมื่อตื่นขึ้นมาจากร่างกายนี้ ใบมีดสีเงินภายใต้ผ้าซาตินสีแดง ตรงหน้าอกยังมีรอยแหวกออกเป็นรู
เพียงแต่ความเจ็บปวดในใจหายไปแล้ว กลับเหมือนมีสิ่งของอะไรบางอย่างติดอยู่ในใจ เมื่อพระอาทิตย์ตก ยิ่งทำให้นางหายใจไม่ออกมากขึ้น
ถูกถามกลับเช่นนี้ หยูนซีกลับอึ้งไปเนิ่นนาน พร้อมจับมือของนางไว้แน่น
ค่ำคืนฤดูหนาวที่เงียบงัน วันที่สองซ่านต้วนโฉงยังต้องปลอมใจนางสนม ก่อนไปยู่จุนกลับยื่นยานอนหลับให้กับเขา ยกมือกุมใบหน้าของซ่านต้วนโฉงไว้ พร้อมพูดว่า “ข้าไม่ชอบให้เจ้าอยู่กับผู้หญิงคนอื่น เมื่อค่ำแล้ว ก็ให้พวกนางนอนหลับเสีย”
ซ่านต้วนโฉงที่ใต้ขอบตาทั้งคู่ดำคล้ำ ตอบตกลงทุกอย่าง
รอเมื่อซ่านต้วนโฉงไปแล้ว ยู่จุนค่อยมายังห้องด้านข้าง ทั้งสองคนยังคงอยู่ในท่านอนเมื่อคืนไม่เปลี่ยนแปลง เพียงแต่หยูนซีมองดูใบหน้าของกู้อ้าวเวย แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “นางไม่ใช่กู้อ้าวเวย ในโพรงนี้ ได้เปลี่ยนคนแล้ว”
ยู่จุนอึ้งไปก่อน แล้วก็ดีใจกระโจนมาตรงหน้าของนาง
“ข้าทำสำเร็จแล้ว ข้าทำให้บรรพบุรุษฟื้นคืนชีพแล้ว…. มีเพียงพวกบรรพบุรุษ ที่รับรู้ถึงความเหงาของพวกเราในหลายปีมานี้”
กู้อ้าวเวยกลับอมยิ้ม และพูดขึ้นด้วยท่าทีเรียบเฉยว่า “ข้าไม่ใช่บรรพบุรุษอะไร ข้าเป็นเพียงนังหนูที่ไม่มีชื่อคนหนึ่งเท่านั้น”
มองดูแววตายู่จุนที่ค่อยๆเศร้าลง กู้อ้าวเวยก็พูดเสริมขึ้นว่า “เจ้าจริงใจกับนังหนูกู้อ้าวเวยในตอนนั้นไหม? หรือเพียงต้องการให้บรรพบุรุษยืมร่างของนางเพื่อฟื้นคืนชีพ”
“ข้าเพียงแค่… อยากให้มีคนเข้าใจข้า เข้าใจกับสิ่งที่ข้าทำเพื่อตระกูลหยุนกับตระกูลยู่” ยู่จุนกำหมัดแน่น ไปหน้ากลับยังพูดขึ้นอย่างยิ้มแย้มว่า “เจ้าทำเพื่อซ่านจินจื๋ออย่างมากมาย ต้องการให้คนอื่นมาพูดอะไรไหม?”
กู้อ้าวเวยก็เงียบไม่พูดอะไร ทั้งสองคนต่างก็ซ่อนความคิดของตัวเอง ไว้ในส่วนที่ลึกที่สุด