บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1124
บทที่ 1124 พวกฝูงคนบ้า
เพื่อสองคำนี้ ไม่เป็นเพราะเหตุ และไม่พังเพราะผล
กู้อ้าวเวยมองดูม้าสีแดงที่เขาขี่ ไม่หยิ่งผยองเหมือนกับองค์ชายคนอื่น ดวงตากลมโตสีดำ ขนสีแดงพลิ้วไหวไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของกีบ มองจากระยะไกลเปรียบเสมือนม้าที่บอบบาง แต่รูปร่างหน้าตาดี เนียนลื่นเป็นเหมือนม้าที่ไม่เคยลำบาก
หยินเอ่อถูกยกให้กับผู้อื่นแต่แรกแล้ว ทำไมถึงถูกซ่านเชียนหยวนตามกลับมา นางไม่รู้เลย
ตอนนั้นซ่านเชียนหยวนยังเป็นคนที่ไม่ยิ้มแย้ม เป็นชายหนุ่มที่เต็มไปด้วยความอาฆาต ตอนนี้กลับสามารถเทียบเท่ากับซ่านจินจื๋อแล้ว อุปนิสัยกลับค่อนข้างซื่อไปบ้าง ตอนนี้กำลังยิ้มจนเห็นฟันทั้งหมด ยังโบกมึงเพราะพูดกับนางว่า “หรัวเอ๋อร์ไม่ให้ข้าก่อเรื่องสร้างความเดือดร้อนให้กับเจ้าอีก ข้าก็เลยคิดว่า นางปากแข็งแต่ใจอ่อนไม่กล้ามาหาเจ้า ข้าก็เลยตามมาดูพวกเจ้า คิดว่าน่าจะไม่เป็นอะไร”
สีหน้ากู้อ้าวเวยยิ้มแย้ม แขนวางอยู่บนหน้าต่างรถม้าพร้อมพูดกับเขาว่า “ทำไมจะต้องมาลำบาก?”
“มันบอกให้มา”
ซ่านเชียนหยวนลูบขนหยินเอ่ออย่างยิ้มแย้ม จนหยินเอ่อตกใจขยับกีบ เขาจึงรีบหนีบขาม้าไว้อย่างรวดเร็ว พร้อมพูดพึมพำด่าม้าตัวนี้ว่าทำไมถึงได้หยิ่งผยองเช่นนี้
ยู่จุนยังไม่เคยได้ยินถึงเรื่องราวของหมาตัวนี้ ตอนนี้ทำได้เพียงใช้เล็บฝั่งเข้าไปในเลือดเนื้อบนฝ่ามือ ค่อยสามารถสงบสติลงได้บ้าง แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “พวกเขาสองคนอาหลาน ต่างก็รักเจ้ามาก”
“ไม่ใช่”กู้อ้าวเวยฟุบอยู่ข้างหน้าต่าง พยายามยื่นตัวออกไปครึ่งหนึ่ง
ยู่จุนกับซ่านจินจื๋อต่างก็ไม่ปฏิเสธ ทุกคนเห็นเพียงอ๋องจงผิงดึงม้าสีแดงตัวน้อยที่ไม่เชื่อฟังอย่างคดเคี้ยวไปที่ด้านข้างของรถม้า ดวงตากลมโตจ้องมองดูกู้อ้าวเวย แล้วก็ขยับเท้า เดินไปหาซ่านจินจื๋อ อย่างไม่เชื่อฟังการควบคุมของซ่านเชียนหยวน แล้วค่อยสงบลง
มือทั้งสองข้างของกู้อ้าวเวย วางค้ำอยู่ด้านข้างหน้าต่าง มองดูซ่านจินจื๋ออย่างเหม่อลอย
ใบหน้าที่เย็นชานั้นตอนนี้กลับขุ่นมัว มองดูซ่านเชียนหยวนด้วยดวงตาที่ยิ้มเล็กน้อย ถอนหายใจอย่างหนักหนึ่งที แล้วก็หันหน้ากลับมาถามนางว่า “ม้าตัวนี้ เชื่อฟังอ้าวเวย”
ยู่จุนไม่เข้าใจ จึงถามขึ้นว่า “อย่างไร? นี่อ๋องจิ้งคิดจะให้นังหนูขี่ม้าไปหรือ?”
กู้อ้าวเวยแทบหยุดหายใจ ไอเล็กน้อยอยู่หลายที เห็นสายตาของซ่านจินจื๋อที่หันมามองอย่างเป็นห่วง จึงเพียงแค่ใช้ปลายนิ้ววางตรงริมฝีปาก อดกลั้นความไม่สบายไว้ ดวงตาคู่นั้นกลับเป็นประกาย พูดขึ้นอย่างจริงจังว่า “หากข้าหนีไป อี้จื๋อจะตกอยู่ในอันตราย”
“จะเอาร่างกายตัวเองมาล้อเล่นได้อย่างไร?”ยู่จุนดึงนางไว้
กู้อ้าวเวยสะบัดมือของนางออกยังไม่พอใจ แล้วก็เดินลงไปจากรถม้า
ภายใต้ความตกใจของทุกคน ซ่านจินจื๋อลงมาจากม้าอย่างคิ้วขมวด มาถึงข้างกายกู้อ้าวเวยอย่างรวดเร็ว ใช้มือข้างเดียวโอบกอดคนที่รูปร่างผอมบางมาแนบอก ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็สวมกอดอยู่หลวมๆ ดูเหมือนว่ากลัวว่าเข่าของนางจะพังลง
แขนประคองเข่าทั้งคู่ไว้ มืออีกข้างหนึ่งจับไหล่ของนางไว้
“เจ้า” ยู่จุนตกใจจนเหงื่อแตก เกาะอยู่ตรงหน้าต่างมองดูซ่านจินจื๋อ พร้อมพูดว่า “นี่เป็นการแสดงถึงความรักที่มีต่อภรรยาหรือ”
“ข้าไม่ได้เป็นภรรยาของเขา”
กู้อ้าวเวยกำหมัดทุบบนไหล่ซ่านจินจื๋อ
ซ่านจินจื๋อจึงวางคนลง ก้มตัวลงเพื่อช่วยจัดขอบกระโปรงของนางให้เรียบ อย่างไม่พูดไม่จา จนมาถึงด้านข้างหยินเอ่อ มองดูหยินเอ่อเดินมาหาซ่านจินจื๋ออย่างเอาใจ ทางนี้กลับโค้งตัวงอเอามือประสานกันไว้อย่างพอดี เป็นฐานให้กู้อ้าวเวยเหยียบขึ้นขี่ม้า
ซ่านเชียนหยวนแอบเม้นริมฝีปาก เดินขึ้นไปบนรถม้าอย่างใจกว้าง มองสบตากับยู่จุนที่โกรธจัด
เจ้าเด็กนี่
ยู่จุนโกรธจนกัดฟันไว้แน่น ถือว่าซ่านเชียนหยวนปฎิบัติต่อตระกูลหยุนตระกูลยู่อย่างไม่เลว ยังเป็นเพื่อนที่ดีของกู้อ้าวเวย จะทำร้ายซ่านจินจื๋อผู้ชายหลายใจคนนี้ก็ไม่ได้ เพื่อนที่ดีเช่นนี้ จึงต้องอดทนต่อไป
และวันนี้เป็นวันที่จะลองยาอายุวัฒนะ
หากประสบความสำเร็จ บางทีอาจจะไม่ต้องเอาความเสี่ยงทั้งหมดไว้บนตัวกู้อ้าวเวย
กู้อ้าวเวยที่อยู่ด้านนอกรถม้าดึงบังเหียน หนีบท้องม้าไว้ แต่ก็ยังรู้สึกไร้เรี่ยวแรง ร่างกายอ่อนแอเป็นอย่างแรก อีกอย่างก็คือเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางมาหลายปีนี้ ก็ไม่เคยให้นางต้องทำงานหลักอะไร แม้แต่ห้องครัวก็ต้องรอเพียงแม่ครัวทำเสร็จแล้วก็เอามาเสิร์ฟเท่านั้น ไม่ต้องลงมือทำด้วยตนเอง
บังเหียนหยาบกระด้าง เสียดสีจนฝ่ามือรู้สึกเจ็บ แต่ม้าก็เดินออกไปไม่กี่ก้าว ลมหนาวที่พัดมากระทบบนใบหน้าของนาง ทำให้นางรู้สึกดีไม่น้อย องครักษ์รอบๆต่างก็ล้อมไว้อย่างระมัดระวัง ซ่านจินจื๋อก็เคียงคู่มากับนางอย่างติดๆ
มองดูถนนตรอกซอยในเมืองเทียนเหยียน ร้านอาหารโรงน้ำชา ทำให้รู้สึกดีไปอีกแบบ
“เจ้าว่าหากมีโอกาส จะเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามแล้วไปท่องเที่ยวยุทธภพ จริงไหม?”
กู้อ้าวเวยเดินช้าลง มองดูซ่านจินจื๋อพร้อมพูดขึ้น
ซ่านจินจื๋อพยักหัวอย่างหนักแน่น แล้วก็ได้ยินเสียงหัวเราะที่ไม่ได้ยินมานานนั้นดังหิวข้างหู หาดทรายสีทองที่ปกคลุมไปด้วยแสงแดดสาดส่องบนใบหน้าที่เบ่งบานของนาง ม้าที่อยู่ภายใต้ร่างกายของส่งเสียงขู่ฟ่อเป็นเสียงยาว กระจายกีบก้าววิ่งบนถนนสายยาวนี้ ร่างกายของกู้อ้าวเวยเกือบจะล้มลงบนหลังม้า ปิ่นเงินยังไม่ทันร่วงหล่นลง ผมสีดำดั่งผ้าไหมสีน้ำเงินก็ปลิวไสวไปตามลม ระหว่างช่องว่าง ยังสามารถมองเห็นเกลียวคลื่นที่ส่องประกายระยิบระยับบนแอ่งน้ำพุใสใต้ตาดอกท้อคู่งาม เต็มไปด้วยทรายสีทอง
ซ่านจินจื๋ออึ้งไปพักหนึ่ง แต่เขาก็ตามมาทัน
ไม่ได้ยินเสียงทุกคนกรีดร้อง จนม้าร้องตกใจ เห็นเพียงเสียงปิ่นสีเงินทีที่ร่วงหล่นลงพื้น และรอยยิ้มที่พัดมาในสายลม พร้อมพูดขึ้นว่า “หยินเอ่อ เจ้าได้ยินไหม?”
“รอก่อน”ซ่านจินจื๋อร้องขึ้นอย่างตกใจ ฟังเสียงนางหัวเราะอยู่บนหลังม้าและยืดตัวขึ้นตรง
หยินเอ่อเหมือนฟังรู้คำพูดของกู้อ้าวเวย เร่งความเร็วขึ้น ไม่คำนึงถึงการกระแทกของผู้คนบนหลังม้า กู้อ้าวเวยก็ปล่อยบังเหียนอย่างไม่สนใจอะไร อ้าแขนทั้งสองข้าง รู้สึกได้ถึงร่างกายเอียงไปอีกด้าน เส้นผมยุ่งเหยิงปิดกั้นการมองเห็น แต่ไม่สามารถหยุดมือที่ยื่นออกมาทางด้านข้างได้
ได้ยินเสียงร้องตกใจของคนด้านนอก ยู่จุนรีบดึงเปิดม่าน เห็นเพียงม้าสีแดงวิ่งหายลับไป วิ่งก้าวออกจากเมืองโดยไม่มีใครหยุด ส่วนบนพื้น กู้อ้าวเวยนั่งอยู่บนกายซ่านจินจื๋อพร้อมหัวเราะเสียงดัง ใบหน้าซ่านจินจื๋อได้รับบาดเจ็บจนมีเลือดไหล มือข้างหนึ่งยังคงโอบเอวกู้อ้าวเวยไว้ โบกมือสั่งห้ามคนที่จะเข้ามาช่วยพวกนั้นด้วยใบหน้าเย็นชา
“ไม่เหมาะสมยิ่งนัก” ยู่จุนพูดขึ้นอย่างโกรธเคืองว่า “กู้อ้าวเวย เจ้าช่างเอาแต่ใจเกินไปแล้วนะ”
“ข้าไม่เห็นรู้สึก” กู้อ้าวเวยนั่งลงบนเอวของซ่านจินจื๋ออย่างได้คืบจะเอาศอก ขยับไปด้านหลังแล้วก็ยกมือดึงชายเสื้อของเขาขึ้นมา โน้มตัวลง ปลายจมูกทั้งสองคนแนบชิดกัน เสียงลมหายใจนั่นดังไปถึงหูของซ่านจินจื๋อ พร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าอยากรู้สิ่งที่ข้าทำมาทั้งหมด ก็มาดูด้วยตนเอง”
พูดเช่นนี้ แล้วซ่านจินจื๋อก็ถูกคนคนนั้นผลักออกอย่างไรเยื่อใย
กู้อ้าวเวยปัดมือแล้วก็ลุกขึ้นมา ยกมือคว้าจับม้าของซ่านจินจื๋อ เหยียบบนมือของคนอื่นแล้วก็ขึ้นไปขี่อยู่บนม้า มองดูซ่านจินจื๋อ และมองดูยู่จุน พร้อมพูดว่า “เดิมม้าก็ควรวิ่งโลดแล่น จะปล่อยให้มันก้าวไปในโลกเดียวได้อย่างไร พวกเจ้าไม่เข้าใจเองเท่านั้น”
ดึงบังเหียนและควบม้าออกจากประตูเมืองไป ซ่านจินจื๋อรีบตามไป แล้วก็ไม่ขึ้นม้าอีก
ยู่จุนตบหนึ่งทีแล้วก็ดึงม่านลง มองดูซ่านเชียนหยวน พร้อมพูดว่า “พวกฝูงคนบ้า”
“ไม่ต่างกัน”ซ่านเชียนหยวนยิ้มแย้ม