บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1136
“นี่เกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“จักรพรรดิไร้คุณธรรม สวรรค์จึงลงโทษให้เกิดภัยพิบัติเช่นนี้”
“ที่นี่มียารักษาโรค”
ด้านนอกจวนอ๋องจงผิงส่งเสียงดังอึกทึก พวกคนที่ใจร้อนต่างก็พุ่งเข้ามาด้วยดวงตาแดงก่ำ มีบางคนโชคร้ายถูกผลักล้มลงพื้น มีบางคนถูกเบียดติดแน่นอยู่ภายในนั้น มองหาความหวังสุดท้ายในการช่วยชีวิตอย่างไร้จุดหมาย
ฝูงชนที่ท่วมท้นสามารถโค่นล้มทุกคนได้ ซ่านจินจื๋อฟังเสียงด้านนอก แล้วก็ทำให้คิดถึงเลือดเนื้อที่ได้ฟันไปเมื่อกี้นั้น กองเป็นชั้นๆจนทำให้แทบใจไม่ออก
ไม่เหมือนกับกู้อ้าวเวย ที่ยังนอนอยู่ในโลงน้ำแข็ง อยู่ภายในห้องที่ตอนนี้ยังปลอดอยู่
ซ่านเชียนหยวนพาคนปีนกำแพงออกไปเพื่อส่งข่าวไปยังทุกที่ และไปสืบหาว่าพวกคนที่วางยาพิษพวกนี้ต่างหลบซ่อนอยู่ที่ไหน และยังมียาพิษเหลืออีกเท่าไหร่ ฉีหรัวเดินไปมาอยู่ภายในห้องอย่างร้อนใจ พวกเด็กๆต่างก็ถูกพาไปยังห้องด้านข้างไม่กล้าออกมา
“พวกเขาล้วนต่างก็ยังคงมีแววตาท่าทีที่ร้อนรน จางเหยียงซานเมื่อไหร่เจ้าถึงจะคิดค้นยาถอนพิษออกมาได้”ฉีหรัวคำรามพูดขึ้น เวลานี้ก็ทำได้เพียงแค่สั่งคนภายในจวนห้ามดื่มน้ำทานอาหาร รอคอยยาถอนพิษอยู่อย่างเงียบๆ
จางเหยียงซานยิ่งร้อนใจจนเหงื่อไหลท่วมตัว และพูดขึ้นว่า “ตอนนั้นที่คิดค้นยาบรรเทาอาการ ตอนนี้ก็ได้สั่งคนไปต้มอยู่ด้านหลังแล้ว แต่คนเยอะขนาดนี้ ต่อให้บรรเทาอาการก็ต้องใช้เวลาหลายวัน แต่ยาถอนพิษนี่….. อย่างน้อยก็ต้องรออีกสองวัน….”
เขากับกู้อ้าวเวยคิดไว้แต่แรกแล้วว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ จึงเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว
แต่วิธีการกระทำให้ความดีและความชั่วได้พังพินาศลงพร้อมกันยู่จุนเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน จนเกินกว่าที่พวกเขาจะรับมือไหว แม้กระทั่งยาสมุนไพรทดลองหลายตัวยังอยู่ระหว่างทางมาเมืองเทียนเหยียน ยาบรรเทาอาการตอนนี้ยังมีอยู่บ้าง แต่หากให้ออกไปตั้งแต่ตอนนี้
จะทำให้คนเห็นลมถือหางเสือ จะคิดว่าพวกเขารู้เรื่องยาพิษนี้มาแต่แรกแล้ว ยิ่งส่งผลกระทบต่อสภาพจิตใจคน ประชาชนก็จะไม่เชื่อถือพวกเขาอีก จะกลับกลายเป็นไม่มีประโยชน์
เมื่อครุ่นคิดอยู่อย่างรอบคอบ ซ่านจินจื๋อก็ได้ส่งคนไปจัดการเรื่องนี้ทีละเรื่องแล้ว
“หลายวันก่อน ข้าได้ส่งตัวยู่จือไปที่จวน หากอ้าวเวยสามารถฟื้นขึ้นมาได้สักพัก บางทีอาจจะสามารถเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้บ้าง” ซ่านจินจื๋อเช็ครอยเลือดบนใบหน้าอย่างขอไปที มองดูด้านนอกพร้อมพูดกับเฉิงซานว่า “เรื่องที่ข้ามอบหมายให้เจ้าทำ ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง”
แววตาเฉิงซานสั่นไหว ตอนนี้เมื่อคิดดูแล้ว การกระทำของท่านอ๋องก่อนหน้านี้ เพื่อเป็นการปิดบังคนของยู่จุนที่ส่งมา เขาโน้มตัวดึงดาบเล่มยาวตรงเอวมอบให้กับซ่านจินจื๋อ พร้อมคุกเข่าอยู่บนพื้น น้อมส่งอ๋องจิ้งเดินออกไปด้านนอกเพียงลำพัง หลังจากเงียบอยู่สักพัก แล้วตะโกนพูดขึ้นว่า
“ความผิดของตระกูลฉางในตอนนั้น ไม่จำเป็นต้องทำร้ายถึงคนรุ่นหลัง เป็นการไม่ยุติธรรม”
ซ่านจินจื๋อหยุดฝีเท้า หันกลับมาพูดกับเขาว่า “เรื่องนี้ปล่อยให้ฮ่องเต้ในอนาคตเป็นคนจัดการ”
เฉิงซานก้มหน้าก้มตาไม่พูดอะไร พร้อมกับก้มหัวโค้งคำนับอย่างเดียวเท่านั้น
ฉีหรัวมองเห็นภาพตรงหน้าทั้งหมด นั่งอยู่ตรงเก้าอี้ด้านข้างตรงโลงน้ำแข็ง ดวงตาหรี่ลงพร้อมพูดขึ้นว่า “เจ้าเป็นคนตระกูลฉาง?”
“ลูกน้องเสด็จอ๋องจิ้ง เป็นทายาทของตระกูลที่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จากทั่วทุกมุมโลก มารวมตัวกันอยู่ที่เมืองเทียนเหยียน”
เฉิงซานก้มหน้า น้ำตานอง
นิ่งอึ้งไปสักพัก แล้วฉีหรัวค่อยเข้าใจตอนนั้นที่ซ่านจินจื๋อสงบสงครามในสนานรบ ยังหนุ่มกระฉับกระเฉง อารมณ์ร้ายไม่มีเหตุผล ทำให้หลายสิบปีมานี้ไม่มีศัตรูกล้าเข้ามารุกล้ำ ไม่เพียงเพราะมีฝีมือทางการต่อสู้ ยิ่งมีความโน้มนำ ให้โอกาสคนที่กระทำผิด
สูดหายใจเข้าลึกๆหนึ่งที ฉีหรัวเพียงแค่ยกมือจับด้านข้างโลงน้ำแข็งพร้อมพูดว่า “ข้าในตอนนี้ แค่เห็นเพียงส่วนหนึ่งของยอดภูเขาน้ำแข็งนี้เท่านั้น เจ้าเองก็คงไม่รู้”
อ๋องจิ้งก็ไม่เคยพูดกับใคร
ส่วนด้านนอกประตูลาน ซ่านจินจื๋อยืนอยู่ตรงหน้าประตูอย่างไม่พูดไม่จา เฉิงยีเฉิงเอ้อเล่าคำพูดทั้งหมดเมื่อกี้ให้ฟัง และยังมีคนสิ้นหวังไม่กลัวตาย พุ่งขึ้นมาข้างหน้าพร้อมตะโกนด่าขึ้นว่า “เพราะพวกเจ้าเกิดอยู่ในราชวงศ์ จึงไม่เห็นพวกเราอยู่ในสายตาหรือ วันนี้ข้าจะต้องบุกเข้าไปให้ได้…..”
ยังไม่ทันได้พูดจบ หัวก็ได้หลุดออกจากบ่า
หัววกลิ้งหล่นลงพื้น ตายตาไม่หลับ ซ่านจินจื๋อสะบัดดาบตรงหน้า เสื้อสีแดงทำให้ทุกคนที่ถูกแยกอยู่ด้านนอกตื่นตกใจ พูดขึ้นด้วยดวงตาเรียบเฉยว่า “คนที่รบกวนลูกศิษย์หมอเทวดาแก้ไขเรื่องนี้ จะถูกลงโทษทันที”
ทุกคำดังก้องอยู่ในหู แต่ก็ยังมีคนกล้าเข้ามาท้าทาย
ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ ก็มีคนตายแล้วมากมาย ไม่มีใครกล้าเดินก้าวมาข้างหน้าอีก ซ่านจินจื๋อจึงก้าวเดินไปข้างหน้าหนึ่งเก้า กลุ่มคนตรงหน้าต่างก็หลีกทางให้ องครักษ์ภายในจวนรีบฉวยโอกาสนี้ตั้งค่ายรับมือใหม่ ด้านหลังกลับมีเสียงผู้หญิงส่งเสียงร้องตะโกนพูดอย่างตกใจว่า “ขอเสด็จอ๋องจิ้งช่วยข้าด้วย”
เมื่อหันกลับไปมอง ก็เห็นฉางอีฉินที่หลายวันก่อนยังมีสภาพที่สติฟั่นเฟือน ตอนนี้กำลังประคองโต๊ะหินอ่อนไว้ด้วยเสื้อผ้าที่นุ่งห่มอย่างเรียบร้อย สายตามุ่งมั่น
เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับตระกูลฉาง เรื่องการวางยาพิษนี้ก็ด้วยเช่นกัน
ซ่านจินจื๋อพยักหัว เห็นนางเดินตามมาข้างหน้า จึงยกมือคว้าแขนของนางผ่านแขนเสื้อ พูดขึ้นด้วยเสียงเย็นชา อย่างไม่สนใจเสียงกลุ่มคนที่กำลังซุบซิบนินทาว่า “เจ้ารู้ไหมว่าหากตระกูลฉางจะวางยาพิษ จะใช้สถานที่ใด?”
“ข้ารู้ว่าตระกูลฉางบาปหนา….ข้าพาเจ้าไป”
ฉางอีฉินหัวเราะเยาะ พร้อมรีบไปจากที่นี่พร้อมกับเขา
หลายวันก่อนภายในเมืองเทียนเหยียนยังคงรุ่งเรือง เวลานี้กลับชุลมุนวุ่นวายไปหมด ยิ่งมีคนฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ขณะเกิดเหตุการณ์ชุลมุนนี้ ซ่านจินจื๋อแทบลากฉางอีฉินเดินผ่านถนนยาวสายนี้ พร้อมทั้งสั่งลูกน้องของตนเองฆ่าคนร้ายพวกนั้นเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
ขาทั้งคู่ของฉางอีฉินอ่อนแรง มองดูผู้คนสองข้างทางต่างก็มีเลือดไหลไม่หยุด ด้วยปลายนิ้วที่สั่นเทา
ตระกูลฉางเลือกวางยาพิษในน้ำ เมื่อซ่านจินจื๋อพาคนเดินทางมาถึง คนของตระกูลฉางยังหอบถังยาพิษขนาดใหญ่นั้นไว้ มองดูซ่านจินจื๋อพร้อมหัวเราะอย่างไม่หยุด และพูดขึ้นว่า “ราชวงศ์ตระกูลซ่านบิดเบือนข้อเท็จจริง วันนี้ข้าจะให้พวกเจ้าสูญเสียแผ่นดินนี้ ตายลงนรกไปพร้อมกัน”
พูดเสร็จ เปิดฝาถังยาพิษ แล้วคนคนนั้นก็กระโดดลงไปในน้ำ
คนใช้ตระกูลฉางต่างหวาดกลัวไม่กล้าเข้าไปใกล้ ซ่านจินจื๋อโยนฉางอีฉินลงบนพื้น มองดูผู้คนที่มาจากทุกทิศทุกทาง ที่มีคนคิดกบฏ พุ่งมาข้างหน้าเพื่อที่จะเอาถังยาพิษนั้น ซ่านจินจื๋อกำดาบยาวอยู่ในมือ มองดูคนใช้ที่เหลือเพียงไม่กี่คนนั้นกับประมุขตระกูลฉาง พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “ต่อให้เกลียดแค้นคนมากแค่ไหน ก็ไม่ควรที่จะทำร้ายคนบริสุทธิ์ พวกเจ้าทำได้ถึงขนาดนี้ได้อย่างไร คนที่วางยาพิษไม่ได้มีเพียงแค่พวกเจ้าถึงจะถูก”
“เสด็จอ๋องจิ้ง น่ากรงขามจริงๆ” ประมุขตระกูลฉางยกมือประสานพร้อมหัวเราะ ไม้ค้ำยันด้ามหนึ่งอดไม่ได้ที่จะปักลงทะลุพื้น พูดขึ้นด้วยสีหน้าแดงก่ำว่า “ขอเพียงมีเงิน ก็ย่อมมีคนมากมายที่ยอมวางยาพิษ”
“ต้องให้ไม่สามารถเข้ารับตำแหน่งเป็นขุนนางในราชสำนัก แต่พวกเขาก็จะมีทรัพย์สินมากมาย”ซ่านจินจื๋อเดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว แล้วก็มีคนมากมายพุ่งมาข้างหน้าปกป้องตระกูลฉางไว้ด้านหลัง
ประมุขตระกูลฉางหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ยกมือชี้ขึ้นบนฟ้า พร้อมพูดขึ้นอย่างโกรธแค้นว่า “อ๋องจิ้ง ฟ้าสวรรค์นั้นมีตา”
“ตอนนั้นตระกูลฉางของข้าคอยปรนนิบัติรับใช้ราชวงศ์ตระกูลซ่าน” เป็นคนที่มีความรู้มาก กลับต้องกลายเป็นขุนนางต้องโทษ ก่อนที่จะมีตระกูลตงฟาง เมื่อร้อยปีก่อนตระกูลฉางของข้าก็ได้ช่วยราชวงศ์ดำเนินกิจการยาอายุวัฒนะ จนมาถึงตอนนี้คร่าชีวิตผู้คนในตระกูลไปนับร้อยคน วันนี้ยังต้องเป็นขุนนางต้องโทษ ความยุติธรรมอยู่ที่ไหน
ประมุขตระกูลฉางพูดด้วยน้ำเสียงดังสนั่น ทุกคนที่ได้ยินต่างก็ตกตะลึง
ซ่านจินจื๋อกำดาบในมือไว้แน่น หลับตาแล้วก็ฟังเสียงลมพัดผ่านข้างหู สุดท้ายแล้วก็ลืมตาขึ้นจ้องมองดูเขาพร้อมพูดว่า “ความอยุติธรรมพวกนี้ ไว้ให้ลูกสาวของเจ้าไปถามฮ่องเต้องค์ใหม่เถอะ”
“เรื่องที่ข้าควรจะทำ คือเป็นคมดาบของแคว้นชางหลาน”
เมื่อพูดเสร็จ เสียงลมข้างหูก็เงียบสงบลง
ในระหว่างที่เลือดเนื้อกระเซ็น ซ่านจินจื๋อก็เป็นเหมือนดั่งเทพอสูรแห่งความตาย
ฉางอีฉินนิ่งอึ้งมองดูทุกอย่างที่เกิดขึ้นตรงหน้า ยากที่จะลืมอยู่เนิ่นนาน จนเมื่อซ่านจินจื๋อหยุดดาบ ศพด้านข้างเท้าก็กองเป็นภูเขา ถือดาบยาวที่เปื้อนเลือดเดินผ่านข้างกายนางไป พร้อมพูดขึ้นว่า “พวกเขาทำร้ายคน สมควรถูกฆ่า”
“แต่กรรมบาปของบรรพบุรุษเจ้า เป็นความผิดของฮ่องเต้ราชวงศ์ซ่าน ในฐานะที่เจ้าเป็นคนรุ่นหลัง จะกระทำให้เรื่องเงียบสงบหรือ?” เขามองดูฉางอีฉิน ถอดเสื้อคลุมแล้วโยนไปตรงหน้าของนางพร้อมพูดว่า “วันนี้เป็นวันฟื้นฟู อยู่กับญาติพี่น้อง”
ฉางอีฉินมองดูรอยเลือดบนเสื้อคลุมนั้น สุดท้ายแล้วก็เก็บขึ้นมากอดด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในตอนนั้น อีฉินจะทิ้งไว้บนโลกนี้”