บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1139
“เพื่อผู้หญิงคนหนึ่ง….”
“นางเป็นคนสอนให้ข้ารู้จักการเป็นคน”
ซ่านจินจื๋อพูดตัดคำพูดของต้วนโฉง เขาไม่อยากได้ยินให้ใครเรียกกู้อ้าวเวยว่าผู้หญิงคนหนึ่ง
ต้วนโฉงอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นค่อยพูดขึ้นด้วยเสียงต่ำว่า “พวกเจ้าทั้งสองคนร่วมกันวางแผน แล้วได้ความจริงใจสักนิดไหม”
“ไม่ว่าอย่างไร พวกเราสองคนก็เป็นได้เพียงเท่านี้แล้ว” ซ่านจินจื๋อยกมือทั้งคู่ประสานขึ้นเหนือหัว โค้งคำนับ ก้มหัวไม่มองดูต้วนโฉง พร้อมพูดขึ้นว่า “เซิ่งหานเป็นฮ่องแต่ได้เป็นอย่างดี แสดงพี่สามารถวางภาระลงได้”
“ใช่หรือ…..”ต้วนโฉงพูดพึมพำ
ทั้งสองพี่น้องไม่รู้ใจกันเหมือนเมื่อก่อนอีกแล้ว ความคิดอ่านก็ไม่เหมือนกันแต่แรกแล้ว
เดิมต้วนโฉงคิดว่าตนเองจะสิ้นชีพอยู่บนบัลลังก์ ไม่เคยคิดว่าตนเองจะต้องมาใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ในหมู่ตึกนี้
ซ่านเซิ่งหานยืนหยัดที่จะเอานกในกรงปล่อยไว้ด้านนอก เป็นการปลดปล่อยหรือเป็นการลงโทษ ไม่มีใครล่วงรู้
แล้วต้วนโฉงก็ไม่ได้เจอซ่านเชียนหยวน ในฐานะที่เขาเป็นพ่อที่ลำเอียง และเคยคิดที่จะกระทำให้ลูกของตนเองต้องตาย เพื่อให้ได้ล่วงรู้ถึงที่ซ่อนยาพิษของยู่จุน
แต่มาถึงวันนี้ ยาพิษที่ยู่จุนซ่อนไว้ กลับเป็นการซ่อนไว้ในใจคนอย่างไร้ร่องรอย
ยาพิษที่ตระกูลฉางซ่อนไว้ เป็นการสร้างไว้ในตำแหน่งฐานะทรัพย์สิน
จะหักห้ามได้อย่างไร? และจะเฝ้าระวังได้อย่างไร?
มีเพียงซ่านเซิ่งหานกับซ่านจินจื๋อ สองอาหลานร่วมมือกันแก้ไขเรื่องนี้ รู้ว่าภัยพิบัติเกิดขึ้นแล้ว จึงทำได้เพียงแก้ไขปัญหาเท่าที่ทำได้อย่างที่สุด ถึงแม้ซ่านเชียนหยวนจะเป็นเด็กที่ไร้ความสามารถที่สุดคนหนึ่ง กลับยังสามารถรักษาจิตใจรากเดิมไว้ได้ ถือว่าไม่ง่ายเลย
ลมฤดูใบไม้ผลิพัดปลายนิ้วมือเย็นเฉียบ ต้วนโฉงค่อยๆลืมตาขึ้น มองดูร่างเลือนลางตรงหน้า แล้วก็แยกไม่ออกว่าคือหยูนซีหรือยู่จุน เพียงแค่ยกแก้วขึ้น พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ขอโทษ….”
ข้ากระทำผิดต่อพวกเจ้า
เหล้าทุกดื่มลงไป สำลักจนน้ำตาไหล แล้วก็บีบจอกแตกอย่างไม่พูดไม่จา
และก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน ประตูลานถูกเปิดอีกครั้ง องครักษ์รีบวิ่งเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าต้วนโฉง พร้อมกระซิบพูดขึ้นว่า “นายท่าน ฮ่องเต้สั่งคนส่งองค์หญิงหลิงเอ๋อร์กับองค์หญิงหมิ่นเอ๋อมา ยังพูดว่า…. นี่เป็นบาปกรรมที่นายท่านก่อขึ้นมาเอง จึงควรทำหน้าที่รับผิดชอบให้ถึงที่สุด”
ต้วนโฉงอึ้ง น้ำตาไหลอาบแก้ม พยักหัวด้วยนิ้วมือสั่นเทา
และในเมืองเทียนเหยียนที่ไกลออกไปร้อยลี้ ซ่านเซิ่งหานกำลังพลิกอ่านหนังสือคัมภีร์โบราณในมือ และก็ไม่มีใครเขียนบันทึกองค์หญิงหลิงเอ๋อร์กับองค์หญิงหมิ่นเอ๋อไว้ มีบันทึกเพียงว่าองค์หญิงหลิงเอ๋อร์สิ้นพระชนม์ตั้งใจวัยเยาว์
หากไม่ใช่เพราะซ่านจินจื๋อบอก บางทีเขาก็อาจคิดได้ไม่ถึงขั้นนี้
เยว่ที่อยู่ด้านข้างเห็นซ่านเซิ่งหานอมยิ้ม จึงถามขึ้นอย่างแปลกใจว่า “ฮ่องเต้กำลังยิ้มอะไรหรือ?”
“ยิ้มที่เขายุ่งเรื่องไม่เข้าเรื่องเท่านั้นเอง”ซ่านเซิ่งหานได้สติกลับมา แล้วก็หุบยิ้มบนใบหน้า
เยว่ฟังอยู่อย่างแปลกประหลาดใจ แต่กลับก็ยังตั้งใจอ่านหนังสือ เหลือบมองดูเขาเป็นบางครั้ง แล้วก็ลอบมองดูเฟิงฉีนกับเฟิงเยว่ เฟิงเยว่พยักหัวให้กับนาง นางค่อยรวบรวมความกล้าแล้วไอหนึ่งที พร้อมพูดกับเขาว่า “ฮ่องเต้….ข้า มีครรภ์แล้ว….”
“จริงหรือ”ซ่านเซิ่งหานรีบหันหน้ามา
ความดีใจนี้ทำให้เยว่ตกใจนิ่งอึ้งไปนาน รอเมื่อหมอหลวงด้านนอกประตูรีบเข้ามา พูดขึ้นว่า “กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงมีครรภ์สามเดือนแล้ว”
ซ่านเซิ่งหานดีใจอย่างมาก พระราชทานรางวัลให้กับวังหลังอย่างมากมาย
พวกบ่าวใช้ต่างคุกเข่าถวายขอบพระคุณ เยว่หน้าแดง ดึงแขนเสื้อซ่านเซิ่งหานไว้อย่างระมัดระวัง เมื่อสบตากับดวงตาคู่นั้น สุดท้ายก็ยังคงถามขึ้นอยากขับข้องใจว่า “ฮ่องเต้ ไม่ชอบนางแล้วหรือ?”
เยว่ได้เตรียมใจพร้อมรับคำตำหนิแล้ว แม้แต่เฟิงเยว่เฟิงฉีนก็แสดงสีหน้าโศกเศร้า
แต่หลังจากซ่านเซิ่งหานอึ้งไปสักพัก กลับคว้าจับมือของนางไว้ พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงเบาว่า “ทั้งเสด็จอา ทั้งน้องสี่ ล้วนบอกข้าเพียงว่า มีเพียงคนตรงหน้าที่สำคัญที่สุด”
เมื่อพูดสร็จ นังเด็กที่ปกติฆ่าคนได้อย่างไม่กระพริบตา ก็ร้องห่มร้องไห้ขึ้นมา
ซ่านเซิ่งหานจนใจ เฟิงเยว่กับเฟิงฉีนจึงพูดว่านางท้องจึงค่อนข้างอ่อนไหวง่าย
ซ่านจินจื๋อที่กำลังเดินทางไปอินโจว ได้เล่าความตั้งใจหลังจากนี้ของซ่านเซิ่งหานให้ซ่านเชียนหยวน ไม่ว่าต่อไปจะดีกับเยว่ที่เป็นคนซื่อสัตย์ และจะทำการกวาดล้างความไม่ดีในวังหลัง โดยเฉพาะตอนนี้ฉางอีฉินที่เป็นฮองเฮา กับเยว่กุ้ยเฟยต่างก็ไม่มีอำนาจใดหนุนหลัง
ซ่านเชียนหยวนฟังพร้อมกับบ่นพูดว่า “เสด็จพี่สามบอกว่าปล่อยมือก็สามารถปล่อยมึงได้เลย ช่างเก่งจริงๆ”
ฉีหรัวเองก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้ แต่เมื่อคิดดูแล้วก็พูดขึ้นว่า “แต่เดิมองค์ชายสามก็จะได้เป็นฮ่องเต้อยู่แล้ว กู้อ้าวเวยกับนางในตอนนั้นก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่ง ต่อมาเมื่อรู้ความรู้สึกในใจของเขา ยังเชื่อมั่นในตัวเขา เขาจะเข้าใจผิดก็เป็นเรื่องที่น่าเข้าใจ”
คนด้านข้างปิดปากของนางไว้ไม่ทัน
ทั้งสองคนทำได้แค่มองดูสีหน้าเคร่งเครียดของซ่านจินจื๋อ แล้วก็ลุกขึ้นเดินไปอยู่เป็นเพื่อนกู้อ้าวเวยบนรถม้า
ฉีหรัวกระพริบตา แล้วก็มองดูซ่านเชียนหยวนอย่างแปลกใจ พร้อมพูดว่า “ข้าพูดอะไรผิดหรือ?”
“เจ้าน่ะเจ้า” ซ่านเชียนหยวนจิ้มหน้าผากนางเบาๆ พร้อมพูดขึ้นอย่างจนใจว่า “ต่อให้เจ้ารู้ว่าการกระทำของกู้อ้าวเวย ทำให้เขาเข้าใจผิด ก็ไม่ควรพูดต่อหน้าเสด็จอา เจ้าไม่รู้ว่าเสด็จอาขี้น้อยใจหรือ เมื่อก่อนตอนที่กู้อ้าวเวยแกล้งตาย ประชาชนบนท้องถนนเพียงแค่พูดว่าพระชายาอ๋องจิ้งไม่สมกับพระนามอันทรงคุณธรรม”
“เขาเย่อหยิ่งจองหอง ทำไมไม่กล้าทำต่อหน้า?”
ฉีหรัวถามเช่นนี้ ซ่านเชียนหยวนกลับหัวเราะ พร้อมพูดว่า “ตอนนั้นเขาพูดว่า หากฟ้าสวรรค์มองเห็น ให้คิดว่าเป็นความผิดบาปของกู้อ้าวเวย”
ฉีหรัวอ้าปากค้างอย่างตกใจ คิดไม่ถึงว่าเป็นถึงอ๋องจิ้งคนหนึ่งกลับมีช่วงเวลาแบบนี้ด้วย
ซ่านเชียนหยวนเห็นนางฟังอย่างตั้งใจ ก็ไม่กลัวเสด็จอาที่เฝ้าภรรยาอยู่นั้นออกมาต่อยเขา เล่าเรื่องความลับของเขาทุกอย่างออกมาอย่างหมดสิ้น อยู่ตรงหน้ากองไฟ จนทำให้ฉีหรัวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
ซ่านจินจื๋อฟังซ่านเชียนหยวนเล่าเรื่องต่างๆนานาที่ผ่านมาอยู่อย่างเงียบๆ แล้วค่อยได้สติกลับมา
เรื่องสนุกพวกนี้เขาไม่เคยเล่าให้กู้อ้าวเวยฟังเลย
หากเล่าให้นางฟัง นางจะหัวเราะมีความสุขเหมือนกับฉีหรัวไหม?
คิดอยู่เช่นนี้ แล้วซ่านจินจื๋อก็เอนพิงโลงน้ำแข็งแล้วก็หลับไป
ในความฝัน เขายืนอยู่ตรงหัวเรือ ขอบทะเลสาปเป็นประกาย นกโบยบินกางปีกบินข้ามทะเลสาบ มองดูต้นท้อที่อยู่ฝั่งตรงข้าม มองดูดอกท้อปลิวไสวทั่วพื้นดิน หล่นลงบนผิวน้ำ และหล่นอยู่บนไหล่คนที่อยู่ใต้ต้นไม้
ผู้หญิงคนนั้นร่างกายเพียวบาง สวมชุดกระโปรงยาวสีชมพู ผมยาวประดุจน้ำตก มีเพียงกิ่งก้านดอกท้อปักอยู่เท่านั้น บนบ่าและบนหัวต่างมีดอกสีชมพู เชือกสีแดงที่ห้อยลงมาด้านข้างของข้อมือนั้นเด่นชัดเป็นพิเศษ ยืนหันหลังให้กับเขา เหมือนกำลังเงยหน้าขึ้น จ้องมองดอกท้อสวยสดบนหัว
เรือนิ่งอยู่เนิ่นนานไม่เข้าไปใกล้ ซ่านจินจื๋อยังคงมองอยู่ไกลๆ ฟังเสียงหัวเราะที่สดใสของนาง
ดูจังหวะการเคลื่อนไหวของนางอยู่อย่างสนุกสนาน แล้วก็ก้มลงเก็บกิ่งท้อ
มีเพียงใบหน้านั้นที่ค่อนข้างเลือนลางไม่ชัดเจน
ความฝันนี้ เขาฝันมาแล้วสามปี
ผู้หญิงในความฝันไม่เคยหันหน้ามา แต่เสียงหัวเราะนั่นก็ไม่เคยจางหาย
ซ่านจินจื๋อตื่นขึ้นมาจากความฝัน ร่างกายเยือกเย็น ทุกอย่างตรงหน้าเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เตียงสูงหมอนนุ่ม กลับทำให้เขานอนอยู่อย่างไม่มีความสุข ยกมือนวดท้ายทอย แล้วก็ได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เสด็จอา จางเหยียงซานเตรียมพร้อมแล้ว พวกเราต้องพาเขากลับไปแล้ว”
เมื่อได้สติกลับมา ซ่านจินจื๋อค่อยยกมุมปากอย่างจนใจ
วันนี้ ลูกศิษย์หลายคนของจางเหยียงซาน ได้เข้าไปในโรงหมอหลวง และเขาก็ได้รับแต่งตั้งให้เป็นหมอเทพสมดั่งความตั้งใจ อนุญาตให้ไปได้ทั่วสารทิศ รักษาโรคไปทั่วแผ่นดิน และก็ถึงวันที่เขาต้องมาหากู้อ้าวเวยในทุกครึ่งปี
เมื่อตอบรับแล้ว ซ่านจินจื๋อก็ลุกขึ้นมาเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างเป็นกังวล ข้างกายไม่มีคนคอยปรนนิบัติ
ไม่รู้ว่าในฤดูหนาวครั้งที่สามนี้ นางจะฟื้นขึ้นมาไหม