บุบผาร้อยเสน่ห์ - ตอนที่ 1140
ทุกครั้งในวันที่จางเหยียงซานกลับมา อ๋องจิ้งที่ไม่สุงสิงกับใคร ออกมารับส่งอยู่อย่างใกล้ชิด
นี่เป็นสิ่งที่คนทั่วทั้งราชสำนักทราบกันโดยปริยายแล้ว แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจว่าจะมีผู้คนมากมายทราบว่าอ๋องจิ้งไม่มีภรรยาข้างกายมานานหลายปีแล้ว แต่กลับไม่ได้สนใจอายุอานามของอ๋องจิ้ง อยากที่จะนำตัวหญิงสาวอายุวัยยี่สิบแปดส่งมอบไปอยู่เคียงข้างเขา และแม้แต่ซ่านเชียนหยวนที่อยู่กับพวกเขามานมนานก็ทนไม่ไหว กลัวว่าซ่านจินจื๋อจะใช้มีดทำร้ายผู้คน ก็เลยส่งกลับไปทีละคนสองคน
เวลานี้ ซ่านเชียนหยวนเพิ่งส่งกลุ่มเสนาอามาตย์ออกไป และฝั่งนี้เพิ่งจะเห็นซ่านจินจื๋อเดินออกมาในชุดแขนยาวสีน้ำเงินเข้ม
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา อ๋องจิ้งที่เป็นคนเงียบสุขุมในสมัยก่อน ไม่มีความโศกเศร้าหรือปีติยินดีและก็เลิกเย่อหยิ่ง เพียงแต่ยุ่งเรื่องชาวบ้านมากขึ้น ไม่ว่าเขาจะผ่านถนนสายไหนหากมีเรื่องที่ไม่เป็นธรรมมีเรื่องร้องทุกข์ใดๆ ก็จะให้คนไปจัดการแก้ไข และยังเขียนฎีกาถึงฮ่องเต้ให้สั่งยึดตำแหน่ง ทำให้เจ้าหน้าที่ระดับล่างต่างใช้มือวางบนหมวดดำที่สวมอยู่บนหัวสั่นเทา
ก็มีเพียงแต่คนใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้ว่า เขายังคงเป็นอ๋องจิ้งที่มีนิสัยไร้เหตุผล
จางเหยียงซานที่นั่งอยู่บนรถม้ามองเห็นเขาเดินออกมาด้วยจิตที่อยู่ในภวังค์ อารมณ์ที่บ่มเพาะมานานหลายปีเริ่มแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ “อาจารย์ฝันถึงอาจารย์หญิงอีกแล้วใช่ไหม?”
เสียงร้องดังลั่น ทำให้เหล่าเสนาอามาตย์ที่กำลังคิดจะเดินไปข้างหน้าต่างก็ต้องร่นถอยออกไป
หมอเทพคนนี้ทำไมถึงเรียกอ๋องจิ้งว่าอาจารย์
มุมขมับที่เต้นกระตุกของซ่านเชียนหยวน เนื่องจากซ่านจิงจื๋อเมื่อก่อนมักจะง่วงนอนเพราะความปั่นป่วนในความฝันของเขา จางเหยียงซานเรียกเขาว่าอาจารย์ คนถูกเรียกว่าเป็นอาจารย์หญิงคือกู้อ้าวเวย ตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าจางเหยียงซานจะพูดจากระด้างกระเดื่องอย่างไร ซ่านจินจื๋อก็จะเห็นแก่ที่เรียกอาจารย์หญิงไม่เอาเรื่องเอาราวอะไร
ซ่านเซียนหยวนไม่กล้าเรียกเสด็จอาตื่น แต่มาวันนี้จางเหยียงซานกลับกล้า
ซ่านจินจื๋อได้เพียงแต่กวาดสายมองจางเหยียงซานด้วยสายตาที่อารมณ์เสีย แต่อารมณ์กลับไม่พรุ่งพล่านแล้วปีนขึ้นบนรถม้า
เมื่อปล่อยให้รถม้าเริ่มวิ่ง จางเหยียงซานกลับถามว่า “หลายเดือนมานี้อาจารย์หญิงมีความเปลี่ยนแปลงอะไรไหม?”
“ระหว่างทางยู่จือนำอ้ายจือมาครั้งหนึ่ง นางบอกว่าทุกอย่างเป็นไปด้วยดี เพียงแต่จะฟื้นหรือไม่ฟื้นนั้น ล้วนแล้วแต่โชคชะตาฟ้าลิขิต” ซ่านจินจื๋อพูดด้วยน้ำเสียงต่ำ ยกมือขึ้นมานวดขมับที่กำลังปวด แล้วในใจก็ตกอยู่ในภวังค์อีกครั้ง
“ข้าจะไปดูสักหน่อย วันก่อนค้นพบวิธีรักษาแบบโบราณ อาจจะใช้หลังจากทดสอบยาก็ได้”
จางเหยียงซานก็ถอนหายใจตาม ซ่านเชียนหยวนที่อยู่ด้านนอกรถม้าทำอะไรไม่ถูกจึงขึ้นไปขี่ม้าของซ่านจินจื๋อไว้ ด้วยอาการวิงเวียนศีรษะ ได้เพียงแต่ลูบไปที่มือเท่านั้น เงยศีรษะขึ้นมองท้องฟ้าสีดำ
ไม่รู้ว่าจะกลับไปถึงก่อนที่พายุหิมะขนาดใหญ่จะมาถึงหรือไม่
แม้ว่ากู้อ้าวเวยจะกลัวความหนาว แต่เสด็จอาก็คงไม่อยากให้นางตื่นมาในช่วงฤดูหนาว
เดินทางมายาวนานจนมาถึงอินโจว บ้านที่ซ่านจินจื๋อซื้ออยู่ใจกลางถนนที่ยาวเหยียด ออกจากบ้านก็เติมไปด้วยความครึกครื้น หลายปีที่ผ่านมาภายใต้การจัดการของฉีหรัวและซ่านจินจื๋อ จากที่อินโจวปีหนึ่งมีเทศกาลไม่เกินสิบเทศกาล ก็ได้เพิ่มจนถึงหกสิบกว่าเทศกาล มีทั้งเทศกาลฉีเฉียวไปจนถึงการบวงสรวงสวรรค์ชั้นฟ้าและทำลายภัยพิบัติในสมัยนั้นด้วยเทศกาลเจิ้งหมิง เกือบจะทุกวันจะสามารถเห็นบรรยากาศของเทศกาล การละเล่นก็มีมากมายไม่ซ้ำกัน
แต่มาวันนี้เมื่อครู่ที่เดินเข้ามาภายในอินโจว กลับมีหิมะตกโปรยปราย
หลายคนรีบเร่งฝีเท้ากลับ ในที่สุดก็เข้าเมืองได้ก่อนที่หิมะจะปิดถนน ซ่านจินจื๋อที่เต็มไปด้วยไอเย็นยืนผิงไฟอยู่หน้าบ้าน ซ่านเชียนหยวนและจางเหยียงซานก็ถูกบีบบังคับเช่นนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่า “อ้าวเวยกลัวความหนาว หากไอเย็นจากตัวไปทำให้เกิดความหนาวกับนางจะไม่ดี”
จางเหยียงซานยอมรับในเรื่องนั้นโดยปริยาย คำพูดที่จะปริมาถึงริมฝีปากของซ่านเชียนหยวน ก็ถูกกลืนลงไปพร้อมกับที่นางยังนอนอยู่ในโลงน้ำแข็งนั้น
ซ่านจินจื๋อคงจะนำเรื่องที่นางอาจจะฟื้นขึ้นมานำไปคิดทุกวี่วัน
หลายคนที่กำลังเตรียมตัวจะเข้าไปด้านใน กลับได้ยินเสียงผู้หญิงที่คุ้นเคยมาดังขึ้นมาว่า“ห้ามเข้ามา โม่ซานกำลังเปลี่ยนชุดแต่งงานแล้วกำลังจะให้อ้าวเวยดู”
“หรัวเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่” ซ่านเชียนหยวนคร่ำครวญอยู่ด้านนอก
ซ่านจินจื๋อก็ยังแปลกใจ จึงถามขึ้นว่า “โม่ซาน”
“เสด็จอา ท่านลืมไปว่าไม่กี่วันก่อนกุ่ยเม่ยเพิ่งจะมาจากแดนไกลได้ยื่นหนังสือขอแต่งงาน เริ่มฤดูใบไม้ผลิก็จะแต่งงานกัน และนี่กุ่ยเม่ยก็ถือเป็นพี่ของกู้อ้าวเวย ปกติแล้วโม่ซานก็ชอบมา คิดว่าลองชุดแต่งงานก็ถือว่าคิดถูกเช่นกัน” ซ่านเชียนหยวนคว้าตัวเขาไว้
ถ้ารีบเข้าไปอย่างดื้อดึง ไปเห็นร่างหญิงสาวแล้วเกรงว่าจะไม่ดี
ซ่านจินจื๋อเมื่อคิดได้ว่าการแต่งงานของคนสองคน ก็ได้เพียงแต่รออยู่หน้าประตู
ด้านในประตูมีสาวใช้สองคิดซุปซิบกันสักพัก ถึงจะได้ยินโม่ซานเอ่ยปากพูด “พวกเจ้ากลับไปก่อนเถอะ กุ่ยเม่ยให้ข้านำจดหมายมากมายมาอ่านให้อ้าวเวยฟัง”
ซ่านจินจื๋อพูดขึ้นด้วยสีหน้าโกรธเคืองว่า “ข้าก็จะฟัง”
“พวกเราอยากจะพูดคุยเรื่องส่วนตัวกัน เพียงแค่วันเดียวก็ไม่ได้เลยหรือ” ฉีหรัวที่อยู่ด้านในพูดขึ้น แล้วก็ปิดประตูเสียงล๊อกประตูดังขึ้น
ซ่านจินจื๋อยังอยากที่จะบุกเข้าไปอีก กลับถูกซ่านเชียนหยวนที่อยู่ด้านข้างดึงไว้ พร้อมพูดขึ้นว่า “เสด็จอาอย่าขี้ใจน้อยไปเลย แค่วันเดียวเอง อย่างน้อยก็เห็นแก่หน้าพี่ชายกู้อ้าวเวย ยอมหน่อยเถอะ พวกหรัวเอ๋อร์ก็ไม่น่ามีเรื่องด้วย”
จางเหยียงซานก็พูดโน้มน้าวตามอย่างปวดหัว
ซ่านจินจื๋อหายใจเข้าลึกๆหนึ่งที แล้วก็เดินตามซ่านเชียนหยวนออกไปข้างนอก
“มีพิรุธ” และก็ทันเห็นเพียงซ่านจินจื๋อดวงตาเป็นประกาย ผลักซ่านเชียนหยวนก่อนที่จะเข้ามาห้าม หันตัวไปผลักประตูไม้บานบางนั่นเปิดออก
บานประตูทั้งสองล้มลงพื้น ฝุ่นฟุ้งกระจาย
จนผู้หญิงทั้งสองคนในห้องต่างก็ตกตะลึง และโลงน้ำแข็งในห้องก็ว่างเปล่า
“เจ้าเพิ่งออกไป นางก็ฟื้นแล้ว สองวันก่อนเพิ่งลุกฟื้นขึ้นมาเดิน และวิ่งอยู่ในลานทุกวัน”
“นางปีนกำแพงข้าห้ามไว้ไม่ไหว”
ผู้หญิงทั้งสองคนชี้ฝ่ายตรงข้ามแล้วก็พูดขึ้น ต่างก็อยากช่วยพูดให้กับกู้อ้าวเวย กลับไร้ประโยชน์อย่างน่าสงสาร
หัวใจแทบหยุดเต้น มือทั้งคู่ของซ่านจินจื๋อสั่นเทา ยืนนิ่งอยู่กับที่เนินนาน ดวงตาแดงก่ำ
ในที่สุดนางก็ฟื้นแล้ว……
แล้วก็หนีไปแล้ว…..
ทำไม?
ซ่านจินจื๋อหันตัวออกไปตามหานางด้วยร่างกายแข็งทื่อ แล้วก็มองเห็นเงาร่างสีชมพูยืนอยู่ตรงหน้าประตูลาน
“ฉีหรัวโม่ซาน รีบมาดูกระต่ายหิมะที่ข้าปั้น….”
นางหัวเราะอย่างสดใส ตรงแก้มยังมีลักยิ้มน้อยๆ ปลายนิ้วปลายจมูกแดงระเรื่อ มือทั้งสองข้างยังกำรูปปั้นกระต่ายหิมะ บนขนตาเปื้อนไปด้วยเกล็ดหิมะ เมื่อมองเห็นคนตรงหน้า อึ้งไปสักพักแล้วก็หัวเราะขึ้นมาอย่างดีใจ เอียงหัวมองดูซ่านจินจื๋ออย่างไกลๆ
“ข้าน่ามองขนาดนี้เลยหรือ?”
เมื่อเพิ่งพูดเสร็จ ในสายตากู้อ้าวเวย ก็ปรากฏเงาร่างของคนคนนั้น
มองดูคนคนนั้นวิ่งฝ่าพายุหิมะมา ยกมือจะโอบกอดนางไว้
ซ่านเชียนหยวนกับจางเหยียงซาน ต่างก็ดีใจจนแทบจะร้องออกมา กู้อ้าวเวยกลับก้มตัวลง หลบหลีกแขนทั้งคู่ของซ่านจินจื๋อ เห็นซ่านจินจื๋อคว้าได้ความว่างเปล่า ยังหัวเราะพร้อมพูดขึ้นว่า “กอดได้ แต่ห้ามแตะต้องกระต่ายหิมะของข้า ข้าอุตส่าห์แย่งช้อนของแม่ครัวมา ถึงสามารถทำได้กลมขนาดนี้…..เฮ้ยกระต่ายหิมะของข้า”
แล้วก็ถูกผู้ชายที่ร่างกายคล่องแคล่วกว่าอุ้มขึ้นมา
กู้อ้าวเวยร้องออกมาอย่างตกใจ แล้วก็ถูกซ่านจินจื๋ออุ้มเข้าไปในห้อง แย่งกระต่ายหิมะนั้นมาวางบนระเบียง แล้วก็โยนนางลงไปบนเตียง กดนางไว้ด้วยดวงตาแดงก่ำ พร้อมพูดขึ้นว่า “กระต่ายหิมะสำคัญกว่าหรือ? ฮือ?”
นี่คือกำลังหึงกระต่ายหิมะหรือ?
กู้อ้าวเวยหัวเราะชอบใจ ยกมือโอบกอดคอของเขาไว้ พร้อมหัวเราะพูดขึ้นว่า “แน่นอนสิ ข้านอนไปตั้งนานขนาดนี้ ฝันอยู่อย่างยาวนาน”
“ฝันว่าอะไร?”
“มีคนบ้ากามคนหนึ่งจ้องมองข้าอยู่บนเรือ แต่ไม่ยอมเรียกข้า” กู้อ้าวเวยขยับแนบชิดอกของเขา ซบอยู่ตรงลำคอของเขาพร้อมพูดว่า “ข้าถูกจ้องมองจนหงุดหงิด จึงตัดสินใจที่จะมาพูดกับเจ้าบ้ากามคนนั้นให้รู้เรื่องด้วยตนเอง จ้องมองข้าอยู่สามปี ยังส่งพวกลูกๆของข้าไปเรียนวิชาการต่อสู้ ยังไม่รับผิดชอบ?”
ซ่านจินจื๋อค่อยๆรวบแขนทั้งคู่ไว้แน่น โอบกอดแนบกายไว้อย่างเหมือนมุกสิ่งของล้ำค่า พร้อมพูดขึ้นว่า “ข้าโง่ แต่พวกลูกๆต่างก็ยินยอมสมัครใจ”
สัมผัสได้ถึงความเปียกชื้นบนไหล่ กู้อ้าวเวยจึงหัวเราะให้กับคนที่อยู่ในห้องอย่างจนใจ ตบหลังของเขา พร้อมพูดขึ้นด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ข้าอยู่ในโลงน้ำแข็ง ได้ยินสิ่งที่เจ้าพูดทุกคำ”
“อืม”
“เจ้าจัดงานเทศกาลในเมืองอินโจวมากมายขนาดนั้น ข้าอยากไปเที่ยว”
“ได้”
“ห้ามร้องไห้ เอากระต่ายหิมะของข้ามาคืนข้า”
“ข้าหึง”
กู้อ้าวเวยโมโห ซ่านจินจื๋อกลับหัวเราะชอบใจ
ตั้งแต่นั้นมา อินโจก็มีคู่รักที่ไม่แยกจากกันเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคู่
ผู้หญิงเย่อหยิ่งเอาแต่ใจชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น ผู้ชายอำนาจบาตรใหญ่หลงภรรยาและขี้หึง
(อวสาน)